เคยสังเกตไหม ว่าทำไมกับบางคนเรารู้สึกดีที่ได้อยู่กับเค้า รู้สึกว่าเค้า “รู้ใจ” เค้าตอบโจทย์ความเป็นเรา อยู่ด้วยกันแล้วไม่เหนื่อยใจ เค้าคือคนที่ “พูดจาภาษาเดียวกัน” แต่บางคน อยู่กินกันก็หลายปีดีดัก ความเข้าใจคืออะไรยังต้องเปิดพจนานุกรม เพราะไม่เคยได้รับได้รู้จักจากอีกฝ่ายเค้าเลย
จะดีแค่ไหนหากคนใกล้ตัวในชีวิต คู่สมรส ลูกๆ รู้สึกว่าเราเป็นคนที่เข้าใจเค้าที่สุด รู้ใจสุดๆ ที่เค้าไม่ต้องไปหาเศษหาเลยจากที่ไหนแล้ว เพราะที่มีอยู่ที่บ้านก็เติมเต็ม love tank ที่เค้ามีได้พอดีอยู่แล้ว
ดร.แกรี่ แช้ปแมนนักจิตวิทยาชื่อดังบอกไว้ว่า มนุษย์เราสื่อภาษารักด้วยกัน 5 แบบภาษา จะมนุษย์หน้าไหน ก็ย่อมต้องการความรักที่ไม่หนีไปจาก 5 รูปแบบภาษานี้ ไหนลองมาเช็คของตัวเองกันซิ
1 สัมผัสกาย ได้โอบกอดหอมแก้มแล้วรู้สึกดีๆ (physical touch)
2 คำพูดดีๆ ที่ฟังแล้วรู้สึกดีๆ (words of affirmation)
3 เวลาดีๆ ที่ได้อยู่ด้วยกัน ทำอะไรด้วยกันแล้วรู้สึกดีๆ (quality time)
4 ของขวัญ ทำเซอร์ไพร้สด้วยอะไรที่ทำให้รู้สึกดีๆ (gifts)
5 การให้ความช่วยเหลือ เสนอตัวออกแรงทำนั่นโน่นนี่แล้วรู้สึกดีๆ (act of service)
ในห้าภาษารักนี้เราทุกคนไฝ่หามันทั้งหมดนั่นแหละ บ้างก็ต้องการสองข้อ สามรึสี่ข้อแตกต่างกันไป แต่ทั้งหมดทั้งปวง จะมีอยู่ภาษาหนึ่งที่ทำให้คนๆหนึ่งรู้สึก “คลิ้กเป็นพิเศษ” ที่ประมาณว่าหากได้ยินภาษารักข้อนั้นแล้วรู้สึก “ตอบโจทย์” ที่สุด รู้สึกว่าเค้าคนนั้น “เข้าใจ” ฉันเป็นที่สุด that’s why I love to be with her/him …ประมาณนั้น …
ยกตัวอย่างเช่น กรณีของฉันเองนะ
ลูกสาวคนโตของฉัน ก่อนหน้านี้ฉันเข้าใจว่าเค้าเป็นคนเข้าใจยากคนหนึ่ง จนกระทั่งได้ลองศึกษาเค้าตามภาษารักที่หนังสือแนะนำมาและลองมาชั่งตวงดูจึงได้รู้ เค้าไม่ค่อยชอบให้กอดเท่าไหร่นะ หรือถ้าได้ถูกกอดเค้าจะเฉยๆ อ่านไม่ออกว่านั่นคือการแสดงความรัก คำพูดดีๆก็ไม่ค่อยจะเวิอร์คสำหรับเค้านักในบางครั้ง บางทีเราช่วยอะไรเค้า เค้าก็ชอบนั่นแหละ แต่เค้าก็ไม่ได้เห็นว่ามันเป็นอะไรที่ต้องซาบซึ้งนัก แต่.. เมื่อใดที่ฉันมีอะไรเซอร์ไพร้สให้เค้า เค้าจะหัวใจพองโตขึ้นมาทันที เค้าจะอมยิ้มแฮปปี้ และว่านอนสอนง่ายขึ้น เป็นเด็กดีที่ทำเอาแม่คนนี้ใจละลายไปทันทีทันใด
…นั่นแสดงว่าภาษารักที่ตอบโจทย์เค้ามากที่สุดคือ gifts …
ตรงกันข้ามกับลูกสาวคนเล็ก ที่เป็นคนชอบนัวเนีย ถ้าจะชนะใจเค้าคนนี้ไม่ยากนัก เค้าชอบให้ฉันกอด บอกรักเค้า และเค้าก็ชอบกอดฉันทุกครั้งที่เค้ารู้สึกดี นั่นแสดงว่า physical touch สัมผัสกายคือภาษารักของเค้า เด็กคนนี้จะไม่เชื่อฟังถ้าใช้คำพูดที่แทงใจดำ แต่หากเปลี่ยนเป็นคำชมแล้วบอกว่าเรารู้สึกดีกับเค้ายังไง เค้าจะกลายเป็นเด็กน่ารักคนหนึ่งที่พ่อแม่ร๊ากเค้าจนไม่รู้จะพูดยังไงดีแล้ว
…นั่นแสดงว่า words of affirmation คือภาษารักที่เค้าเข้าใจมากที่สุด…
ไม่เฉพาะกับลูกๆนะ ภาษารักทั้งห้านี้สามารถใช้วัดใจใครก็ได้ในวงจรความรักของเรา รวมไปถึงสามีภรรยาและคนใกล้ตัวที่เราอยากดูแลและรู้สึกดี
คู่รักบางคู่ ดอกไม้มันไม่เวิอร์คอ่ะ ผู้ชายบางคนก็พยาย๊าม พยายามจะเข้าใจความเป็นผู้หญิงของภรรยาตัวเอง เข้าใจว่าผู้หญิงทั้งโลกจะใจอ่อนด้วยดอกไม้และของขวัญทำเซอร์ไพร้ส์ แต่เปล่า พอเราคุยกับภรรยาของเค้า กลับได้คำตอบว่าฉันไม่ได้ต้องการอะไรจากเค้าเลย แค่ให้เค้ารู้สึกอยากจะช่วยฉันทำงานบ้านมันก็วิเศษเหลือคณาแล้ว ผู้หญิงแบบนี้ต้องการ act of service เป็นการบอกภาษารัก (เห็นไหม ศึกษากันสักนิดตั้งแต่แรกก็คงดี แค่ช่วยล้างจานก็ชนะใจเหลือเฟือแล้ว)
ผู้หญิงบางคนได้สามีมั่งคั่ง ขนาดได้รถได้บ้านใหญ่โตอย่างที่หลายคนเค้าปรารถนา ก็ยังเรียกร้องและตัดพ้อว่าสามีตัวเองไม่เข้าใจ เพราะจริงๆแล้วภาษารักที่ตอบโจทย์เธอไม่ใช่ของนอกกาย แต่เป็นเวลาต่างหากที่เธอโหยหาและรู้สึก “คลิ้ก” ทุกครั้งเมื่อสามีมีเวลาให้กัน (รู้งี้คงไม่ต้องลงทุนไปซะเยอะ แค่มีเวลาทำอะไรด้วยกันกับเค้าก็เหลือเฟือแล้ว)
ผู้ชายบางคน เค้าไม่ได้ต้องการให้ภรรยาช่วยงานอะไรเค้าเลยนะ แต่ภรรยาไม่เข้าใจ คิดว่าการที่เธอลงทุนออกไปทำงานนอกบ้านช่วยหาเงินกับเค้า ลงทุนเป็นแม่บ้านทำทุกอย่างให้ดูดีมันพอจะชนะใจเค้าได้ แต่พอได้ฟังสามีมาระบายจึงได้รู้ว่าการทำนั่นนี่ให้น่ะ มันไม่ได้ตอบโจทย์เค้าเลย เค้ากลับบอกว่า “บ้านน่ะ ให้ผมจ้างใครมาทำความสะอาดให้ก็ได้ เค้าจะได้เลิกบ่นให้ผมฟังซะทีว่าเหนื่อยนั่นนี่ งานนอกบ้านผมทำคนเดียวก็พอเพียงจะเลี้ยงปากท้องทั้งครอบครัวได้ แต่สิ่งที่ผมอยากได้จากเค้า คือกำลังใจมากกว่า ถามผมซักคำว่าเหนื่อยไหม มีคำพูดดีๆให้กันบ้าง รู้สึกดีนะที่มีผมในชีวิต นี่แหละที่ผมไม่เคยได้ยินจากเค้าเลย”
…บางครั้ง แค่ words of affirmation ก็ชนะใจผู้ชายประเภทนี้แล้ว…ถามว่าทำยากไหมล่ะ? ก็น่าจะไม่นะ แค่ภรรยาเอ่ยปากบอกความรู้สึกตัวเองบ้างไรบ้าง จับให้ถูกจุดว่าสามีตัวเองชอบอะไรแบบไหน แค่นี้ความสัมพันธ์มันก็ชุ่มชื่นขึ้นเยอะแล้ว เหตุทั้งหมด เพราะเธอไม่เข้าใจภาษารักของสามีตัวเองใช่ไหม?
ดังนั้น การตอบสนองให้ความรักแก่คนที่เรารักจะเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น หากเรารู้ “กึ๋น” ว่าเค้ารู้สึกดีกับภาษาใดเป็นที่สุด ภาษารักข้อใดที่ตอบโจทย์ความเป็นเค้ามากที่สุด จะรู้ได้อย่างไรนั้นหรอ? อันนี้ต้องใช้เวลาศึกษาและใช้หัวใจสังเกตแล้วล่ะ ลองทำทุกข้อทั้งหมดให้เค้าได้สัมผัส (ไม่ต้องทำทีเดียวกันทุกข้อนะ) แล้วค่อยๆดูว่าวิธีไหนที่ชนะใจเค้ามากที่สุด ที่เค้ารู้สึกดีและแฮปปี้มากที่สุด หากเราเจอข้อนั้นแล้ว นั่นแหละคือภาษารักที่เค้าเข้าใจมากที่สุด แล้วคนใกล้ตัวอย่างเราก็จะเป็นคนๆหนึ่งที่เค้ารักมาก รู้ใจเค้ามาก ที่สำคัญ เค้าจะเห็นความรักจากเราได้ง่ายขึ้น ความสัมพันธ์ของสองเราก็ไม่ต้องมาเหนื่อยหน่ายกับสิ่งที่มันไม่ใช่ หรือเสียเวลากับการเติมเต็มแต่ไม่ตอบโจทย์ซะที
แค่เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่ “เข้าใจ”เค้า ก็เพียงพอแล้ว เค้าคงไม่ขออะไรมากมาย เพราะที่สุดแล้ว มนุษย์เราก็ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าความเข้าใจ ไม่ใช่หรือ?
..ลองเอาไปใช้และ “ศึกษา” คนที่เรารักดูนะ 🙂
(ใจบันดาลแรง จากหนังสือ five love languages of children ที่ได้คุยกันใน mother circle ที่โรงเรียนลูก เอามาผสมด้วยรักและประสบการณ์ของตัวเองในฐานะ “ศิราณี” ของใครหลายๆคน) ^_<
เขียนโดย ครูฟาร์ Andalas Farr