โนอาห์ เฟลด์แมน ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายชื่อดังของฮาร์วาร์ดกล่าวถึงรอชิด ฆอนนูชีย์ หัวหน้าของกลุ่มเอนนาห์ดา ว่าเป็น “หนึ่งในนักประชาธิปไตยอิสลามคนสำคัญในโลก”
ในบทความที่ตีพิมพ์โดยบลูมเบิร์ก และหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ เฟลด์แมนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการจับกุมรอชิด ฆอนนูชีย์ โดยกล่าวว่า; ตูนิเซียเคลื่อนย้ายจากประชาธิปไตยอาหรับสปริงไปสู่เผด็จการด้วยการจับกุมและคุมขังรอชิด ฆอนนูชีย์ นักประชาธิปไตยอิสลามิสต์คนสำคัญของโลกและเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของพรรคฝ่ายค้านที่สำคัญที่สุดของประเทศ”
เฟลด์แมนกล่าวในบทความหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ ว่า “เป็นข่าวที่น่าตกใจสำหรับเกิดขึ้นกับระบอบประชาธิปไตยแบบอาหรับเพียงหนึ่งเดียวที่ยังใช้งานได้”
เฟลด์แมนซึ่งสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกด้านความคิดอิสลามจากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดในปี 1994 เชื่อว่า การเคลื่อนไหวเพื่อจับกุม รอชิด ฆอนนูชีย์ เป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวของประธานาธิบดีกัยส์ สะอีด เพื่อกำจัดเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมืองและปราบปรามประชาธิปไตยในตูนิเซีย ที่ตามมาด้วยการปิดสำนักงานใหญ่ของพรรคเอ็นนาห์ดา ซึ่งนำโดยรอชิด ฆอนนูชีย์ และฝ่ายต่อต้านสะอีด ที่เรียกว่า “Salvation Front ขบวนการปลดปล่อย”
เฟลด์แมนกล่าว; รอชิด ฆอนนูชีย์ เป็นผู้นำมุสลิมคนสำคัญที่สุดที่คุณไม่เคยได้ยินชื่อ
เรื่องราวชีวิตที่น่าทึ่งของรอชิด ฆอนนูชีย์ ประกอบด้วยเรื่องราวของการใช้เวลาส่วนใหญ่ในช่วงปี 1980 ในคุกเพราะต่อต้านเผด็จการตูนิเซีย จากนั้นลี้ภัยเป็นเวลา 2 ทศวรรษ รอชิด ฆอนนูชีย์กลับมายังตูนีเซียในปี 2011 หลังจากอาหรับสปริงได้เปิดศักราชใหม่ ในปีต่อมา ฆอนนูชีย์ได้ร่วมร่างรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยของประเทศที่นำโดยเอนนาห์ดา และยังเข้าร่วมในรัฐบาลยุคอาหรับสปริง
เฟลด์แมนกล่าวต่อไปว่า “ในช่วงที่เขาถูกเนรเทศ ฆอนนูชีย์ นักอิสลามสมัยใหม่ได้พัฒนาหลักทฤษฎีที่ว่า อิสลามและประชาธิปไตยเข้ากันได้อย่างไร และสอดคล้องกันได้อย่างไร หัวใจสำคัญของทฤษฎีนี้คือหลักการที่อิสลามประณามการบีบบังคับทุกชนิดรวมถึงการบังคับทางศาสนา “ในแง่นี้ ตาม ทัศนะของฆอนนูชีย์ “รัฐบาลที่ได้รับการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยในประเทศที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม ไม่ควรกำหนดกฎหมายทางศาสนา” แต่ฆอนนูชีย์เสนอว่า “นักการเมืองอิสลามิสต์ควรสนับสนุนรัฐบาลตามรัฐธรรมนูญที่มีแนวคิดเสรีนิยม ซึ่งปกป้องเสรีภาพทางศาสนาและอนุญาตให้พรรคการเมืองต่างๆ รับแรงบันดาลใจจากค่านิยมทางศาสนา”
เฟลด์แมนกล่าวต่อไปว่า ฝ่ายต่อต้านแนวคิดหลักการนิยม-ฟันดาเมนทัลลิสม์- ไม่เชื่อทัศนะของฆอนนูชีย์ และยืนยันว่า “เราไม่ควรเชื่อพวกเขา” เมื่อเอนนาห์ดาเริ่มมีส่วนร่วมในการเมืองตูนิเซียหลังอาหรับสปริง ฝ่ายตรงข้ามคาดการณ์อย่างน่ากลัวว่า “เมื่อได้ดำรงตำแหน่ง ฆอนนูชีย์จะยุติประชาธิปไตยและบังคับใช้หลักการอิสลาม” ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่อธิบายด้วยคำขวัญของเอนนาห์ดาที่ว่า “หนึ่งคน หนึ่งเสียง หนึ่งครั้ง”
“ในทางกลับกัน” เฟลด์แมนกล่าว “ภายใต้การนำของฆอนนูชีย์นั้น เอนนาห์ดาทำหน้าที่เป็นผู้รับผิดชอบในการร่างรัฐธรรมนูญตูนิเซีย ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่เป็นฉันทามติของทุกฝ่าย รัฐธรรมนูญไม่มีระบุคำว่า “กฎหมายอิสลาม” อย่าว่าจะถึงขั้นบังคับใช้”
เฟลด์แมนกล่าวต่อไปว่า “ยิ่งไปกว่านั้น ฆอนนูชีย์ยังชี้นำให้พรรคของเขาค่อย ๆ กลายเป็นประชาธิปไตยมากขึ้นเรื่อย ๆ และอิสลามน้อยลงเรื่อย ๆ ในที่สุดพรรคก็ประกาศว่า ต้องการเป็นพรรคของมุสลิมประชาธิปไตยตามแบบอย่างของพรรคคริสเตียนประชาธิปไตยในยุโรป เอนนาห์ดามีส่วนร่วมในกระบวนการเลือกตั้งซึ่งประสบความสำเร็จมาก แต่ก็ค่อยๆลดลงในการเลือกตั้งทุกครั้งต่อมา”
เฟลด์แมนซึ่งพูดภาษาอาหรับได้คล่องยืนยันว่า ฆอนนูชีย์”เต็มใจที่จะเจรจาและสร้างพันธมิตรกับพรรคต่างๆ ที่เป็นตัวแทนของความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่างกันในตูนิเซีย ทั้งหมดนี้แสดงถึงการทดลองรูปแบบหนึ่ง และการทดสอบว่าประชาธิปไตยแบบอิสลามเป็นไปได้จริงหรือไม่ ซึ่งคำตอบก็คือ เป็นได้และยังคงเป็นอยู่”
“คำเตือนถึงความเลวร้ายของลัทธิเผด็จการอิสลามได้รับการพิสูจน์แล้วว่าไม่เป็นความจริง โดยการทดสอบประสบการณ์ทางการเมืองในโลกแห่งความเป็นจริง”
“ในความเป็นจริง ยิ่งเอนนาห์ดาเข้าร่วมในการเมืองตูนิเซียมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งกลายเป็นเสรีนิยมมากขึ้นเท่านั้น ในทางกลับกัน ประธานาธิบดีคนปัจจุบันซึ่งเป็นเผด็จการอำนาจนิยมนั้น เป็นเซคคิวลาร์กลายๆ ไม่ใช่อิสลามิสต์ และเป็นอดีตศาสตราจารย์ด้านกฎหมายรัฐธรรมนูญ” เฟลด์แมนกล่าวอีก
เฟลด์แมนอธิบายว่า ข้อกล่าวหา”ยุยงให้เกิดความวุ่นวาย” ที่กระทำต่อ ฆอนนูชีย์ ในขณะนี้ เป็นเพียง “การโมเม”
เฟลด์แมนกล่าวต่อไปว่า “ในปีที่ผ่านมา สะอีดพยายามฟื้นฟูตูนิเซียให้กลับคืนสู่สถานะก่อนอาหรับสปริงในฐานะรัฐพรรคเดียว หลังจากประกาศภาวะฉุกเฉินและยุบสภานิติบัญญัติที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย และประกาศใช้รัฐธรรมนูญใหม่ เป็นรัฐธรรมนูญที่เพิ่มอำนาจของประธานาธิบดีด้วยการลอลงของอำนาจอื่น” โดยได้รับความเห็นชอบในการลงประชามติ ที่มีชาวตูนิเซียเพียง 30% เท่านั้นที่เข้าร่วม โดยฝ่ายค้านส่วนใหญ่คว่ำบาตร ”
เพื่อตอบสนองต่อภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นต่อประชาธิปไตยในประเทศ ฆอนนูชีย์ กล่าวในแง่การเมืองว่า “จินตนาการถึงตูนิเซียที่ไม่มีพรรคนี้หรือพรรคนั้น… ตูนิเซียไม่มีเอนนาห์ดา ตูนิเซียไม่มีอิสลามทางการเมือง ไม่มีฝ่ายซ้าย หรือองค์ประกอบอื่นใด มันเป็นโครงการสำหรับสงครามกลางเมือง”
การที่ฆอนนูชีย์กล่าวถึงสงครามกลางเมืองเป็นเหตุผลที่ชัดเจนในการถูกจับกุม
“ฆอนนูชีย์ ได้พิสูจน์ครั้งแล้วครั้งเล่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมาว่าเขาเป็นคนรักสันติ ข้อหายั่วยุเป็นเรื่องไร้สาระ การจับกุมฆอนนูชีย์ดังกล่าว บ่งชี้ว่าสะอีดพร้อมที่จะปิดปาก แม้แต่แกนนำฝ่ายค้านที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล”
เฟลด์แมนสรุปบทความ โดยกล่าวว่า: “สำหรับตัวฆอนนูชีย์เอง ชายผู้อ่อนโยนคนนี้ ที่เห็นความผันผวนในพัฒนาการของประเทศของเขา ยังไม่ท้อถอย “ฉันมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับอนาคต” “ตูนีเซียเสรี” ฆอนนูชีย์กล่าวหลังจากที่ผู้พิพากษาสั่งให้เขาเข้าสู่กระบวนการการสอบสวนคดีที่รอดำเนินการ
เฟลด์แมนแสดงความคิดเห็นต่อคำกล่าวของฆอนนูชีย์ว่า : “คำกล่าวนี้ยังเป็นความจริงอยู่หรือไม่ ?”
#เกาะติดการจับกุมรอชิด_ฆอนนูชีย์
โดย Ghazali Benmad