โครงสร้างอิสลาม
โครงสร้างอิสลามประกอบด้วยหลัก 3 ประการ ได้แก่ หลักศรัทธา (อัรกาน อัลอีมาน) หลักศาสนปฏิบัติ (อัรกาน อัลอิสลาม) และหลักคุณธรรม (อัลอิห์ซาน) ซึ่งมีรายละเอียดโดยย่อดังนี้
1. หลักศรัทธา (อัรกานุลอีมาน) มี 6 ประการ ดังต่อไปนี้
1.1 ศรัทธาในอัลลอฮ์
มุสลิมต้องศรัทธาว่า อัลลอฮ์คือพระผู้เป็นเจ้าเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น และต้องยึดมั่นในพระองค์อย่างแน่นแฟ้น ไม่เคลือบแคลงสงสัยหรือลังเล พระองค์ทรงไว้ซึ่งคุณลักษณะอันสมบูรณ์ที่สุด มุสลิมยึดมั่นว่าพระองค์ทรงบันดาลและเนรมิตทุกสิ่งสรรพ ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นมาเองโดยลำพังอำนาจของสิ่งนั้น แท้จริงแล้วพระองค์ทรงไว้ ซึ่งเดชานุภาพ ทรงไว้ซึ่งอำนาจอันสูงสุด ทรงเอกสิทธิ์ในการปกครองและการบริหาร ทรงเป็นที่พึ่งของทุกสิ่งสรรพ ทรงกำหนดการดำเนินชีวิตของมนุษย์และสัตว์รวมทั้งสรรพสิ่งทั้งมวล พระองค์ทรงพระปรีชา ทรงปกาศิต ทรงนิรันดร์ ทรงดำรงโดยพระองค์เองโดยไม่อาศัยปัจจัยอื่น ทรงแตกต่างไปจากทุก ๆ สิ่ง พระองค์ทรงเร้นลับ พระองค์ไม่ให้กำเนิด พระองค์มิถูกกำเนิด พระองค์มิใช่สสารวัตถุ มิใช่พลังงาน พระองค์ทรงมีอยู่อย่างแน่นอน ทรงพ้นไปจากญาณวิสัยของมนุษย์ที่จะพึงสัมผัส สื่อสัมผัสที่มนุษย์มีอยู่นั้น ไม่มีประสิทธิภาพพอที่จะสัมผัสพระองค์ ทรงเฝ้าติดตาม ตรวจสอบ ให้ความเมตตาและให้การตอบแทนอย่างยุติธรรม พระองค์ทรงมองเห็นทุก ๆ สิ่งแต่ไม่มีใครสามารถมองเห็นพระองค์ถึงกระนั้นก็ตาม ด้วยการใช้สติปัญญาใคร่ครวญ จะสามารถพิสูจน์ได้ว่าพระองค์ทรงมีอยู่จริง
นอกจากพระองค์เป็นผู้สร้างทุกสรรพสิ่งแล้ว พระองค์ยังทรงบริหารจัดการมันด้วย ซึ่งสิ่งถูกสร้างทั้งบนโลกและชั้นฟ้า ต่างน้อมรับในเดชานุภาพของพระองค์ นอกจากนี้ พระองค์ได้สร้างญิน[1] และมนุษย์เพื่อทำหน้าที่ให้ความเคารพภักดีต่อพระองค์เท่านั้น ด้วยเหตุนี้ พระองค์กำหนดให้อิสลามเป็นวิถีชีวิตแก่ญินและมนุษย์ เพื่อสร้างหลักประกันให้พวกเขาพบพานกับความสุขทั้งบนโลกนี้และโลกหลังความตาย
1.2 ศรัทธาในมะลาอิกะฮ์
มุสลิมเชื่อว่าพระองค์อัลลอฮ์ทรงบันดาลมะลาอิกะฮ์จากรัศมีเพื่อทำหน้าที่เป็นผู้รับใช้ของพระองค์ รับบัญชาจากพระองค์และปฏิบัติตามคำบัญชาของพระองค์อย่างเคารพภักดีที่สุด มะลาอิกะฮ์เป็นบริวารของอัลลอฮ์ที่ไม่สามารถมองเห็นตัวตน ไม่มีเพศ ไม่กินไม่นอน ไม่มีคู่ครอง ไม่มีบุตร สามารถจำแลงร่างได้ทุกอย่าง เป็นอีกโลกหนึ่งอันแตกต่างไปจากมนุษย์ มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นในสภาพเดิมของเขาได้ นอกจากจะแปลงร่างเป็นคนหรืออย่างอื่น ไม่มีใครสามารถรู้จำนวนอันแน่นอนของมะลาอิกะฮ์ นอกจากพระองค์อัลลอฮ์เท่านั้น พระองค์ทรงสร้างมะลาอิกะฮ์เป็นจำนวนมาก เพื่อรับใช้พระองค์ตามหน้าที่อันแตกต่างกัน และเพื่อแสดงอำนาจอันไร้จำกัดของพระองค์
เมื่อมนุษย์เชื่อว่ามีมะลาอิกะฮ์เป็นจำนวนมากทำหน้าที่ตามพระบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า ส่วนหนึ่งคอยสอดส่อง เฝ้าติดตามและรายงานความเคลื่อนไหวของมนุษย์ เขาจึงสามารถควบคุมจิตใจและความประพฤติของเขาไว้ด้วยสังวรตนเป็นอย่างยิ่ง คนที่คิดว่าจะทำความชั่วก็เกิดความกลัวที่จะทำเพราะทราบดีว่า ความชั่วนั้นมีมะลาอิกะฮ์คอยบันทึก เพื่อเสนอต่อพระผู้เป็นเจ้าอยู่ตลอดเวลา เขาจะมีกำลังใจทำแต่ความดี เพราะความดีที่เขาทำไม่มีทางสูญหายไปไหน เนื่องจากมีมะลาอิกะฮ์คอยบันทึกไว้ในทุกการเคลื่อนไหวและทุกเวลา และไม่มีการกระทำใดที่สามารถซุกซ่อนหรือคลาดจากสายตาของบรรดามะลาอิกะฮ์ได้
1.3 ศรัทธาในคัมภีร์
มุสลิมต้องศรัทธาว่า พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานคัมภีร์อันเป็นโองการของพระองค์แก่บรรดามนุษยชาติผ่านศาสนทูต ในแต่ละยุคแต่ละสมัย โองการของพระองค์เป็นบทบัญญัติที่มนุษย์จะต้องนำมาปฏิบัติเป็นธรรมนูญสูงสุดที่ใครจะฝ่าฝืนไม่ได้ในยุคที่ผ่านมา มีศาสนทูตได้รับพระคัมภีร์มาประกาศแก่มนุษย์ในยุคของท่านเหล่านั้นอยู่เป็นจำนวนมาก ตราบถึงยุคสุดท้ายคือ ยุคปัจจุบันอันเป็นยุคของท่านศาสดามูฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม
คัมภีร์ของพระผู้เป็นเจ้าที่ทรงประทานผ่านศาสนทูตมาสู่มนุษยชาติในแต่ละยุคแต่ละสมัยนั้น มีลักษณะที่สนับสนุนซึ่งกันและกันหรือเสริมให้สมบูรณ์ขึ้น จำนวนคัมภีร์ที่พระองค์ทรงประทานมา มีจำนวน 104 เล่ม ที่สำคัญมีดังนี้
1.3.1 เตารอฮ์ หรือโตราห์ในยุคของท่านศาสนทูตมูซา
1.3.2 ซะบูร ในยุคของท่านศาสนทูตดาวูด
1.3.3 อินญีล หรือไบเบิ้ล ในยุคของท่านศาสนทูตอีซา
1.3.4 อัลกุรอาน ในยุคสุดท้ายคือยุคปัจจุบันทรงประทานผ่านท่าน ศาสนทูตมูฮัมมัด (ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน)
1.4 ศรัทธาต่อศาสนทูต
ศาสนทูตผู้ที่อัลลอฮ์ทรงเลือกให้เป็นผู้ประกาศอิสลาม มีคัมภีร์และหลักศาสนปฏิบัติเฉพาะในยุคของตนเรียกว่า “รอซูล” ส่วนผู้ที่อัลลอฮ์ทรงเลือกให้เป็นผู้ประกาศอิสลาม แต่ไม่มีคัมภีร์และยังยึดหลักศาสนปฏิบัติเดิม ก็จะเรียกว่า “นบี”
ผู้เป็นศาสนทูต เป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติแบบมนุษย์ธรรมดาทั่วไป มิใช่เป็นผู้วิเศษหรือมะลาอิกะฮ์ ศาสนทูตจึงดำเนินชีวิตเหมือนสามัญชนคือ กิน นอน ขับถ่าย มีต้นตระกูลและแต่งงานมีลูกหลานสืบสกุล แต่ศาสนทูตมีคุณลักษณะอันสมบูรณ์เหนือกว่ามนุษย์ทั่วไป อันเป็นคุณลักษณะทางด้านความประพฤติและคุณธรรมอันสูงส่ง 4 ประการ คือ
1.4.1 ความซื่อสัตย์สุจริต เป็นที่ไว้วางใจของบุคคลทั่วไปไม่คดโกง ไม่ตระบัดสัตย์
1.4.2 มีสัจจะ พูดจริงทำจริง ไม่โกหก ไม่หลอกลวงใคร
1.4.3 มีสติปัญญาเป็นอัจฉริยะ
1.4.4 ทำหน้าที่เผยแพร่โองการจากพระผู้เป็นเจ้าแก่ประชาชนทั่วไป โดยไม่ปิดบัง และด้วยความตั้งใจสูง มีมานะอดทน เพียรพยายาม ไม่ย่อท้อต่อการขัดขวางของผู้ใดทั้งสิ้น
นอกจากนี้ศาสนทูตสามารถสื่อสารกับอัลลอฮ์ทั้งโดยตรงหรือผ่าน มะลาอิกัตญิบรีล ซึ่งเรียกว่า วะห์ยู ได้รับการปกป้องมิให้กระทำผิดบาปหรือ มะอฺศูม พร้อมได้รับการสนับสนุนด้วยสิ่งมหัศจรรย์ที่มนุษย์ทั่วไปไม่สามารถเลียนแบบได้ เพื่อยืนยันว่าบรรดาศาสนทูตได้รับการแต่งตั้งจากอัลลอฮ์โดย สัจจริง ซึ่งเรียกว่า มุอฺญิซัต
การที่พระผู้เป็นเจ้าทรงคัดเลือกศาสนทูตขึ้นมาจากมนุษย์ธรรมดา ก็เพื่อให้ศาสนทูตเป็นตัวอย่างแก่ประชาชนทั่วไปนำไปประพฤติปฏิบัติตาม หาก ศาสนทูตเป็นผู้วิเศษหรือเป็นมะลาอิกะฮ์ ซึ่งดำเนินชีวิตไปอีกแบบหนึ่ง ประชาชนก็ไม่สามารถจะหาตัวอย่างการดำเนินชีวิตที่ใกล้เคียงกับตนเอง แล้วคำสอนของ ศาสนทูตก็จะไร้ผล หรือเป็นนิยายในพงศาวดารเท่านั้น
ศาสนทูตที่มีปรากฏชื่อในอัลกุรอานมีจำนวน 25 ท่าน คืออาดัม อิดรีส นูห์ ฮู๊ด ศอลิฮ์ อิบรอฮีม ลูฎ อิสหาก ยะอกู๊ป ยูซุฟ มูซา ฮารูน อิลยาส ยูนุส ชุอัยบ์ ดาวูด สุลัยมาน อัลยะซะอ์ ซุลกิฟล์ ซะกะรียา อัยยู๊บ ยะห์ยา อิสมาอีล อีซา และมูฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม
มุสลิมไม่เลือกศรัทธาระหว่างบรรดาศาสนทูตเหล่านี้ จะไม่เลือกที่รัก มักที่ชัง เพราะทุกท่าน ประหนึ่งเป็นพี่น้องหรือญาติธรรมที่รับภารกิจมาจากพระเจ้าองค์เดียวกัน มีหน้าที่เหมือนกัน คือเชิญชวนผู้คนให้เคารพภักดีอัลลอฮ์เพียงพระองค์เดียว และห่างไกลจากการสิ่งกราบไหว้บูชาทั้งหลายเว้นแต่อัลลอฮ์
1.5 ศรัทธาในวันโลกหน้า
คำว่า “โลกหน้า” ถูกระบุในคัมภีร์อัลกุรอ่านด้วยชื่อเรียกที่หลากหลาย เช่น วันแห่งการฟื้นคืนชีพ, วันแห่งการพิพากษา และวันแห่งการตอบแทน เป็นต้น
การศรัทธาต่อการมีอยู่จริงของชีวิตในโลกหน้า ถือเป็นข้อหนึ่งที่สำคัญยิ่งของหลักการศรัทธา 6 ประการของอิสลาม คือศรัทธาอย่างแน่วแน่ว่าพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพจะทรงให้มนุษย์ฟื้นคืนชีพอีกครั้งหลังตายจากโลกนี้ไปแล้ว เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อการกระทำของตนบนโลกนี้ และเพื่อรับผลตอบแทนในการกระทำของตนได้ก่อไว้ โดยคนดีทั้งหลายจะได้รางวัลโดยได้พำนึกอยู่ในสวรรค์และคนชั่วจะถูกลงโทษในนรกสถาน อันเป็นการตัดสินที่ยุติธรรมยิ่งแล้วของพระเจ้า
มุสลิมต้องศรัทธาว่า โลกนี้พระผู้เป็นเจ้าได้สร้างขึ้นเป็นการชั่วคราว เพื่อใช้เป็นสนามทดสอบและเป็นแหล่งเพาะปลูก เพื่อรับผลในโลกหน้าอันจีรังและนิรันดร์ต่อไป ดังนั้นโลกที่เราอาศัยอยู่ในปัจจุบันนี้ จึงต้องมีวาระดับสลาย ไม่วันใดก็วันหนึ่ง แต่ไม่มีใครสามารถตอบได้ว่าวันดับสลายของโลกจะเกิดขึ้นเมื่อใด ชีวิตมนุษย์ก็มีอายุขัยที่แน่นอน ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า เมื่อถึงเวลาก็ต้องจากไป ละทิ้งทุกอย่างทั้งเงินทอง ลาภยศ ลูกน้องบริวาร เหลือแต่คุณงามความดีหรือความชั่วร้ายที่เขาได้ปฏิบัติ ซึ่งการกระทำของเขา จะไม่สูญเปล่า อัลลอฮ์จะทรงตอบแทนอย่างเหมาะสมและยุติธรรมที่สุด
เมื่อมนุษย์เชื่อว่า โลกนี้มีวาระดับสลาย และจะมีโลกหน้าสำหรับเป็นที่อยู่อาศัยอันแท้จริง และเป็นนิจนิรันดร์ มนุษย์ก็จะอยู่ในโลกนี้ด้วยความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน ไม่มีความโลภ ไม่มีความเห็นแก่ตัวพร้อมกับสะสมแต่ความดีงาม แม้ว่าการทำดีนั้น จะไม่ได้รับผลตอบแทน ในช่วงที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ แต่ก็มั่นใจได้ว่าต้องได้รับอย่างแน่นอนและชัดเจนในโลกหน้า ผู้ทำความดีจึงไม่ท้อแท้ที่จะทำความดี มีกำลังใจอันสูงส่งที่จะทำความดีและ ไม่คิดที่จะละเลยต่อการทำความดีจนตลอดชีวิต เพราะอัลลอฮ์ได้ยืนยันว่า ผู้ใดที่กระทำความดีงามหรือความชั่วร้ายแม้เท่าธุลีผง เขาจะได้เห็นมันและจะได้รับการตอบแทนอันคู่ควรและยุติธรรม
มุสลิมศรัทธาว่า ความสุขสบายบนโลกนี้ แม้จะมากมายเพียงใด ก็มีอัตราเพียง 1% จากความสุขสบายที่อัลลอฮ์เตรียมไว้ในสวรรค์อีก 99% เช่นเดียวกันกับความยากลำบากบนโลกนี้ ที่แม้แต่จะทุกข์ร้อนเพียงใด ก็มีอัตราเพียง 1% จากความทรมานที่พระองค์เตรียมไว้ในขุมนรกอีก 99%
การศรัทธามั่นต่อการมีอยู่จริงของชีวิตในโลกหน้าจะก่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อการชี้นำชีวิตมนุษย์ผู้ศรัทธาอย่างอัศจรรย์ยิ่งในแง่มุมต่างๆ เช่น ทำให้มนุษย์มีระเบียบวินัย และมีความมุ่งมั่นอย่างสม่ำเสมอในการเชื่อฟังต่อพระเจ้าและสร้างสมความดีงาม ตลอดทั้งระวังตนและออกห่างจากความเห็นแก่ตัว การฉ้อโกง และการคิดชั่วทำชั่วต่าง ๆ ทั้งหลาย เป็นต้น เป็นสิ่งเตือนสติสำหรับผู้ที่ใช้ชีวิตอย่างประมาท หมกมุ่นอยู่กับเรื่องราวทางโลกและลุ่มหลงในมายากิเลสแทนที่การแข่งขันในการทำความดีและการใช้ชีวิตที่ใกล้ชิดกับพระเจ้า ทำให้ตระหนักรู้ถึงสัจจะของชีวิตอันแสนสั้นนี้ และชีวิตแห่งความเป็นจริงในโลกหน้าที่ถาวรตลอดกาล ซึ่งบุคคลใดเชื่อในวันสุดท้ายแล้วแน่นอนเขาก็จะมั่นใจอย่างแน่วแน่ว่าความสุขทุกอย่างในโลกนี้ย่อมเทียบกับความบรมสุขในปรโลกไม่ได้เลยแต่น้อย หรือแม้นหากได้รับความทุกข์ทรมานใด ๆ บนหนทางของความถูกต้องในวันนี้ก็ย่อมไม่เท่ากับความทุกข์ทรมานจากการลงโทษที่อาจได้รับในวันนั้น
1.6 ศรัทธาในกฎแห่งสภาวการณ์
สภาวการณ์ทั้งหลายถูกกำหนดมาเป็นกฎอย่างตายตัวและแน่นอน ซึ่งต้องดำเนินไปตามที่กำหนดนั้น เช่น แดดเผา ไอน้ำขึ้นไปรวมตัวกันอยู่บนอากาศ เป็นก้อนเมฆ เมื่อลมพัดก็กระจายตกลงมาเป็นฝน ฝนตกลงมาบนพื้นดิน ทำให้อุดมสมบูรณ์ มีพันธุ์ไม้และพืชนานาชนิดงอกงามขึ้นมา มนุษย์และสัตว์ได้รับประโยชน์จากพืชพันธุ์เหล่านั้น ล้วนเป็นกฎกำหนดสภาวะซึ่งพระผู้เป็นเจ้าทรงกำหนดไว้
การดำเนินชีวิตของมนุษย์ก็เช่นเดียวกัน ถูกกำหนดไว้อย่างเป็นระบบที่แน่นอน ไม่มีใครสามารถฝืนกฎเกณฑ์ดังกล่าวได้ ทุกคนจะต้องดำเนินไปตามกฎสภาวการณ์จากมนุษย์คนแรกจนถึงคนสุดท้าย มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย มีทุกข์ มีสุข มีดี มีจน การสลับหมุนเวียนสภาวการณ์เหล่านี้ในชีวิตของมนุษย์นั้น มุสลิมศรัทธาว่าเป็นไปโดยกำหนดของพระองค์อัลลอฮ์ ตะอาลา ทั้งสิ้น หาใช่เป็นไปโดยอำนาจของมนุษย์เองไม่ และมิใช่อำนาจของผู้วิเศษ ฟ้าดิน ดวงดาว ไสยศาสตร์ หรือโดยอำนาจอื่นใดก็ตาม อิสลามจึงไม่มีสัตว์นำโชคหรือสัตว์พาซวย ความโชคดีหรือโชคร้าย ไม่เกี่ยวกับวัน เวลา สถานที่ หรือรูปร่างหน้าตา แต่ทั้งหมดเป็นไปโดยอำนาจอันสมบูรณ์สุดของพระผู้เป็นเจ้าทั้งสิ้น มนุษย์ทุกคนต้องขอพรให้ได้รับสิ่งดี ๆ และให้คลาดแคล้วจากเภทภัยต่าง ๆ จากอัลลอฮ์เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น การที่มุสลิมเชื่อศรัทธาในกฎข้อนี้ มิได้หมายความว่า เขาต้องเป็นคนงอมืองอเท้า รอโชควาสนา โดยไม่ใช้ความพยายามใด ๆ เนื่องจากไม่มีใครสามารถหยั่งรู้ในอดีตกาลและไม่มีความสามารถทำนายอนาคต
ดังนั้นเขาต้องใช้ความพยายามทำปัจจุบันให้ดีที่สุด เขาจะไม่ย่อท้อ ผิดหวังหรือตีโพยตีพาย เมื่อประสบกับความยากลำบาก และไม่เหิมเกริมลำพองตนเมื่อได้รับความสุขสบาย เพราะทุกอย่างล้วนเป็นการกำหนดของพระองค์ทั้งสิ้น
[1] เป็นสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติชนิดหนึ่ง อาศัยอยู่บนโลกมนุษย์ แต่อยู่อีกมิติหนึ่ง มีสังคมเหมือนกับมนุษย์ มีการดำเนินชีวิต มีเกิด มีตาย มีปัญญา มีศรัทธา มีปฏิเสธ มีความสามารถเหนือมนุษย์ สามารถทำในสิ่งที่หลากหลายมากกว่า อัลลอฮ์สร้างมันจากไฟไร้ควัน มีภารกิจให้เคารพภักดีต่ออัลลอฮ์เฉกเช่นมนุษย์ทุกประการ
โดยทีมวิชาการ