บทความ บทความวิชาการ

ออตโตมันโฟเบีย : โรดแมปโลกใหม่ของอิสลาม ตุรกี อาหรับ และตะวันตก

***

ศาสตราจารย์ ดร.มุฮัมมัดฮาบีบ อัลมัรซูกีย์

นักคิดตูนีเซีย

สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญตูนีเซีย

อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยตูนีเซีย

และมหาวิทยาลัยอิสลามนานาชาติ มาเลเซีย

 ***

การที่ประเทศกรีซกลัวความก้าวหน้าและความทะเยอทะยานของตุรกีที่จะกลับคืนสู่ความยิ่งใหญ่และบทบาทเหมือนเช่นในอดีต เป็นที่เข้าใจได้  เพราะกรีซยังไม่ลืมว่าในอดีตยุคหนึ่งเคยตกอยู่ภายใต้การปกครองของออตโตมัน แม้จะลืมไปว่าออตโตมันได้ให้เสรีภาพในการนับถือศาสนาแก่พวกเขา อันเป็นไปตามหลักการศาสนาอิสลาม  ที่ขัดแย้งอย่างสิ้นเชิงกับความคลั่งในศาสนาคริสต์ออโตด๊อกซ์ของพวกเขา

การที่ฝรั่งเศสหวาดกลัวตุรกีด้วยเหตุผลเดียวกัน ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เนื่องจากฝรั่งเศสยังไม่ลืมว่าความใฝ่ฝันของบรรพบุรุษของพวกเขาจบลงพร้อมกับการเข้ามาของออตโตมัน แม้ว่าฝรั่งเศสจะลืมไปว่าบรรพบุรุษของพวกเขาได้รับการคุ้มครองโดยอาณาจักรออตโตมันเช่นกัน

การที่โปรตุเกสกลัวตุรกีก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะอาณาจักรออตโตมันเป็นผู้ขับไล่พวกเขาออกจากอ่าวอาหรับ ทะเลแดง และทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

การที่เยอรมันกลัวออตโตมัน ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะว่าออตโตมันเป็นผู้ทำให้กษัตริย์ชาร์ล  ที่ 5 ผู้สถาปนายุโรปสมัยใหม่  ต้องถูกขับไล่พ้นไปจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และออตโตมันยังทำให้สงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ผู้นับถือศาสนาอิสลามที่เกิดขึ้นกับอาหรับในแอนดาลุสเซียสิ้นสุดลง และยับยั้งแผนการของไกเซอร์ในภูมิภาคนี้

การที่ชนชาติเปอร์เซียกลัวตุรกีก็เป็นที่เข้าใจได้ เพราะว่าพวกเขาต่อต้านอิสลามสายสุนหนี่มาตลอด ตั้งแต่ในอดีตจนกระทั่งปัจจุบัน และไม่มีใครกำหราบพวกเขาได้  ยกเว้นเซลจู๊กเติร์กในยุคแรก และออตโตมันเติร์กในยุคหลัง

แต่การที่อิสราเอลกลัวตุรกีเป็นสิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้เลย ยกเว้นเรื่องของการ ไม่รู้จักบุญคุณคนและอันธพาลทางเชื้อชาติ เพราะว่าออตโตมันเป็นผู้คุ้มครองยิวในโลกในช่วงสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และสงครามศาสนาในยุคครูเสด

ที่ยิ่งไม่เข้าใจไปกว่านั้น คือการที่ชนชั้นปกครองของอาหรับกลัวตุรกี และมุ่งมาดปรารถนาที่จะต่อต้านทำลายตุรกี

เป็นปริศนาที่ยากจะเข้าใจ เป็นเรื่องที่ อาหรับคนหนึ่ง หากว่ามีความเป็นลูกผู้ชายแม้เพียงสักเศษเสี้ยว ก็ย่อมไม่อาจปฏิเสธความจริงได้ว่า หลังจากสิ้นสุดราชวงศ์อุมัยยะฮ์หลักและอุมัยยะฮ์สายย่อย หากว่าไม่มีเติร์กช่วยคุ้มครองไว้ อาหรับก็จะไม่สามารถดำรงอยู่ได้มาถึงวันนี้

หากไม่มีออตโตมัน มุสลิมสุนหนี่และอาหรับก็จะไม่มีหลงเหลืออีก

หากไม่มีออตโตมัน ก็จะไม่มีมุสลิมสักคนคงเหลือในภูมิภาคอาหรับ เพราะว่า สงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ผู้นับถือศาสนาอิสลามที่เกิดขึ้นยุคนั้น-หมายถึงอาหรับในแอนดาลุสเซีย- ร้ายแรง ยิ่งกว่าสงครามครูเสดเพราะสงครามครูเสดเกิดขึ้นในยุคที่อิสลามเจริญสูงสุดและเข้มแข็งที่สุด ในขณะที่ สงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ผู้นับถือศาสนาอิสลามในแอนดาลุสเซีย เกิดขึ้นในช่วงที่อาหรับตกต่ำที่สุด ทั้งทางจิตวิญญาณและวิทยาการทางวัตถุ

หากว่าไม่มีออตโตมัน แน่นอนพื้นที่ทะเลในเขตทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทั้งหมด ก็จะตกอยู่ภายใต้อำนาจของโรมันเหมือนเช่นในอดีต ที่ทะเลแห่งนี้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นภาษาโรมันว่า “ทะเลมารานุตรา” และกษัตริย์ชาร์ล ที่ 5 ต้องการเข้ามาปกครองเหมือนเช่นในอดีตอีกครั้ง

เขตทะเลอาหรับ ทะเลแดง และอ่าวเปอร์เซีย  ก็เช่นเดียวกัน  หากว่าข้อตกลงสัญญาพันธมิตรระหว่างซาฟาวิดและโปรตุเกส เกิดขึ้นจริงอย่างที่คาดหวัง แน่นอนอิหร่านปัจจุบันก็จะได้ครอบครองเขตพื้นที่ทั้งหมดที่ตกอยู่ภายใต้อาณานิคมของเปอร์เซียโบราณก่อนอิสลาม รวมถึงเขตอาณานิคมของไบเซนไตน์

อิสราเอลปัจจุบัน มาแทนที่อาณาจักรไบแซนไทน์ในอดีต และรัสเซีย โดยวลาดิเมียร์ปูติน อาจวางแผนที่จะฟื้นคืนบทบาทไบเซนไทน์ในภูมิภาคนี้ในอดีตเช่นกัน

แต่ที่สามารถเข้าใจได้ก็คือ  จุดยืนของผู้ปกครองโลกอาหรับปัจจุบัน ย่อมเป็นจุดยืนโดยธรรมชาติของผู้ปกครองที่ อังกฤษแต่งตั้งขึ้น เพื่อการทรยศหักหลังออตโตมัน และเป็นพันธมิตรร่วมกันโค่นอาณาจักรออตโตมันในอดีต

และเข้าใจได้ว่าอาหรับชาตินิยมบางกลุ่ม และซากเดนของเผด็จการฟาสซิสต์ และกลุ่มซ้ายจัดที่เป็นทาสของเผด็จการทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะในอาหรับอย่างเดียว

เข้าใจได้ที่คนเหล่านี้ล้วนหวาดกลัวต่อการหวนคืนของตุรกีสู่การเป็นอิสลามเหมือนเช่นบรรพบุรุษ รวมถึงความยิ่งใหญ่ของพวกเขา ซึ่งสิ่งนี้หมายถึง  ความเพ้อฝันของอาหรับเหล่านั้น ที่จะใช้ชีวิต อย่างเกษมสำราญ บนเปลือกของเศษซากของอารยธรรม อ้างว่าเป็นความทันสมัยและวัฒนธรรมยุคใหม่ ทั้งๆที่ความจริงแล้วไม่มีอะไรมากไปกว่าเรื่องของการแสวงหาความสุขสำราญไปวันๆ

ผู้เขียนไม่เคยเห็นชนชั้นนำของประเทศไหนที่โง่เง่าเช่นนี้ ที่เห็นว่าความทันสมัย คือการใช้ชีวิตในฐานะผู้บริโภค ไม่ใช่ผู้ผลิตที่มีเกียรติศักดิ์ศรี  มีจิตวิญญาณเสรี และไม่ตกเป็นเบี้ยล่างของผู้ใด

สิ่งที่ไม่เข้าใจอีกประการหนึ่งคือ ทั้งๆ  ที่ตุรกีไม่มีอะไรน่ากลัวสำหรับชาวอาหรับ ถ้าหากพวกเขามีสมองเพียงเล็กน้อย เพียงแค่รวมรัฐเล็กๆ 4 รัฐในโลกอาหรับ ก็เพียงพอที่จะสามารถเป็นผู้มีอำนาจทางเศรษฐกิจ หรือแม้กระทั่งอำนาจทางทหารที่ทัดเทียมกับตุรกีหรือมากกว่าเป็นเท่าตัว  เพราะรายได้มวลรวม GDP ของประเทศเหล่านั้นมีมากกว่าล้านล้านดอลลาร์

เพียงแค่พวกเขามีความใฝ่ฝันเหมือนบรรพบุรุษ ก็จะสามารถหลุดพ้นจากการเป็นเด็กๆ ไร้สมองของพวกเขา เพราะรายได้จีดีพีของพวกเขาเหนือกว่าจีดีพีของตุรกี

จริงๆ แล้วอาหรับไม่จำเป็นต้องกลัวตุรกี แต่สามารถใช้เป็นที่พึ่ง ปกป้องประชาชาติอิสลามในโลกอาหรับรวมถึง ประชาชาติทั้งมวล ตั้งแต่อาหรับภาคตะวันตกไปจนกระทั่งอินโดนีเซีย รวมถึงมุสลิมพลัดถิ่นในพื้นที่ต่างๆทั่วโลกหากว่าอาหรับผู้สถาปนารัฐอิสลามยุคแรกและตุรกีผู้พิทักษ์ยุคหลัง จับมือกันจริงๆ เหมือนเช่นในอดีต

หากทว่าในความเป็นจริง บรรดาผู้นำอาหรับ -ไม่รวมประชาชนชาวอาหรับ -ที่ไร้ความใฝ่ฝันกลับชอบที่จะแตกแยก

พวกเขามี 2 กลุ่ม  กลุ่มทาสและกลุ่มผู้อยู่ภายใต้อารักขา

ผู้นำอาหรับส่วนหนึ่งเป็นทาสของซาฟาวิด  บางส่วนเป็นทาสของไซออนิสต์ พวกเขาจ่ายค่าคุ้มครองอีก  2 เท่า ให้แก่รัสเซียและอเมริกา ตลอดจนแขนขาของทั้งสอง ทั้งอิหร่านและอิสราเอล  และมีความสุขอยู่กับการกลับไปสู่ความแตกแยกเหมือนชนเผ่าอาหรับโบราณ

สิ่งเหล่านั้นทำให้ผู้ปกครองอาหรับในวันนี้ กดขี่ประชาชนอย่างโหดร้ายทารุณ ทั้งทางการเมืองและทางเศรษฐกิจ มีการอุปโลกน์ผู้นำจอมปลอมและพวกกเฬวรากให้กลายเป็นวีรบุรุษกลวงๆ ให้เป็นชนชั้นนำทางการเมืองและทางการศึกษา  ทั้งๆที่ ผู้นำเหล่านั้นนำพาประเทศไปสู่ความตกต่ำ ความใฝ่ฝันสูงสุดของผู้นำเหล่านั้นคือการรับเอาความเจริญรุ่งเรืองที่ผิดที่ผิดทาง  เนื่องจากพวกเขาคิดว่าความเจริญรุ่งเรืองเป็นสิ่งของสำเร็จรูปที่สามารถนำเข้ามาได้  พวกเขายังสับสน ยังเข้าใจผิดคิดว่านั่นเป็นความเจริญ

อัลลอฮ์สร้างคนมาหลากหลายประเภทจริงๆ


ถอดความโดย Ghazali Benmad