บทความ บทความวิชาการ

มุสลิมอุยกูร์…ชะตากรรมสีเทาบนแผ่นดินสีแดง ของชนชาติมุสลิมที่ถูกกลืน

เรามักได้ยินข่าวคราวของชาวมุสลิมอุยกูร์ที่ต้องเผชิญชะตากรรมลำบากในประเทศจีนอยู่บ่อยครั้ง แต่หลายคนอาจสงสัยว่าชาวอุยกูร์คือใคร? พวกเขาเป็นคนจีนแต่ดั้งเดิมหรือไม่? และหากเป็นคนจีน ทำไมพวกเขาถึงต้องถูกละเมิดสิทธิ์จากรัฐบาลของตัวเองด้วย? Gulnaz Uyghur นักเขียนและนักเคลื่อนไหวอิสระชาวอุยกูร์ มีเรื่องราวและข้อเท็จจริงของชาวอุยกูร์มาบอกเล่าให้ฟังกัน

#รู้จักชาวอุยกูร์

ชาวอุยกูร์คือชนเชื้อสายเติร์กที่นับถือศาสนาอิสลาม ครั้งหนึ่งในอดีตพวกเขาเคยมีประเทศเป็นของตัวเองที่รู้จักกันในนาม “เตอร์กิสถานตะวันออก” บรรพบุรุษของชาวอุยกูร์ร่ำรวยซึ่งวัฒนธรรม พวกเขารักการแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสันโดดเด่นที่มีลวดลายงดงามเป็นอัตลักษณ์ของตนเอง ชาวอุยกูร์รักงานประพันธ์บทกลอนกวี ชื่นชอบการประดับตกแต่งมัสยิดให้สวยงามและน่าอยู่ พวกเขาเคร่งครัดในบัญญัติศาสนาอิสลาม มีความพิถีพิถันในศาสตร์การปรุงอาหาร และมีความสุขกับการใช้ชีวิตในดินแดนมาตุภูมิที่ร่ำรวยซึ่งอารยธรรมที่พวกเขาได้ดำรงรักษาด้วยหัวใจสืบทอดกันมา

แต่แล้ววันนี้ แผ่นดินมาตุภูมิแห่งเตอร์กิสถานตะวันออกกลับต้องตกอยู่ในสภาพที่บอบช้ำดั่งมีโซ่ตรวนมาล่ามไว้ อัญมณีล้ำค่าของแผ่นดินกลับถูกปล้นสะดม ความเรืองรองในอดีตถูกลบล้างด้วยหมึกสีแดง หมึกสีเลือดที่แปดเปื้อนด้วยฝีมือของรัฐบาลจีน

เหตุการณ์น่าสลดทั้งหมดเริ่มอุบัติขึ้นเมื่อปี 1949 เมื่อประธานาธิบดีเหมา เจ๋อ ตุง ได้ออกคำสั่งให้กองทัพปลดปล่อยประชาชน (People’s Liberation Army: PLA) เข้าไปบุกรุกดินแดนในประเทศเตอร์กิสถานตะวันออก แม้ว่าดินแดนแห่งนั้นจะมีความแตกต่างจากจีนแผ่นดินใหญ่มากมายทั้งในด้านภาษา,วัฒนธรรมและวิถีชีวิต แต่สิ่งที่ทางการจีนหมายตาคือทรัพยากรธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์บนแผ่นดินผืนนั้น ซึ่งมันก็ไม่ต่างอะไรจากการล่าอาณานิคมทั่วไปที่ล้วนหมายปองความมั่งคั่งในทรัพยากรธรรมชาติของประเทศที่ถูกยึดครอง นั่นคือจุดเริ่มต้นแห่งวันที่ท้องฟ้ากลายเป็นสีหม่นเทา วันที่น้ำในบ่อเริ่มแห้งเหือดหายไป …

.

จากนั้นไม่นานทางการจีนก็เริ่มผลักไสไล่ส่งชาวอุยกูร์ให้ออกจากพื้นที่ที่เป็นบ้านเกิดของตนเอง เนื่องจากต้องการขยายอาณาเขตดังกล่าวให้เป็นแหล่งโรงงานของประเทศจีน บ้านเกิดเมืองนอนที่บรรพบุรุษของชาวอุยกูร์เคยหวงแหนและร่วมสร้างร่วมทุกข์สุขด้วยกันมา บ้านเมืองที่เคยรุ่งเรืองในอดีตเหล่านั้นกลับถูกลิดรอนไปด้วยน้ำมือของคนแปลกหน้า ชาวอุยกูร์ต้องยอมจำนนจากการถูกบังคับให้ย้ายถิ่นฐานไปตั้งรกรากในดินแดนที่ตนไม่เคยรู้จักคุ้นชินเลย พวกเขาถูกกดดันให้ทิ้งบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง

หลังจากบุกรุกดินแดนและบ้านเมือง ทางการจีนก็เริ่มบุกรุกวิถีชีวิตของชาวอุยกูร์เป็นลำดับ พวกเขาเริ่มสร้างข้อจำกัดในการใช้ชีวิตในวิถีอิสลาม ชาวมุสลิมอุยกูร์ถูกสั่งห้ามไม่ให้ไว้เครา ห้ามคลุมศีรษะด้วยฮิญาบ ห้ามสอนอัลกุรอานให้ลูกหลาน หรือห้ามแม้กระทั่งแต่งงานกันด้วยพิธีในแบบอิสลาม และที่แย่ที่สุดคือทางการจีนบังคับให้หญิงสาวชาวอุยกูร์แต่งงานกับหนุ่มชาวจีนเชื้อสายฮั่นเพื่อละลายชาติพันธุ์เดิม

.

จากนั้นไม่นานทางการจีนได้เริ่มออกนโยบายให้ชาวจีนเชื้อสายฮั่นเข้ามาตั้งรกรากอยู่อาศัยในถิ่นฐานของชาวอุยกูร์มากขึ้น ธุรกิจของชาวจีนเริ่มครองเมือง ร้านรวงของชาวอุยกูร์เริ่มได้รับผลกระทบจนส่งผลให้สภาวะเศรษฐกิจของพวกเขาเริ่มแย่ลง การประกอบอาชีพและช่องทางทำมาหากินก็เริ่มถูกจำกัดและร่อยหรอลง จนชาวมุสลิมอุยกูร์บางส่วนต้องยอมจำนนต่อการรุกล้ำของชนชาวจีนด้วยการยอมรับปรับใช้วัฒนธรรมและภาษาของพวกเขาในที่สุด

กลุ่มคอมมิวนิสต์ลัทธิเหมาไล่ล่าเก็บชีวิตชาวอุยกูร์อย่างไม่เกรงกลัวใคร ราวกับว่าเป้าหมายเดียวที่ต้องทำให้ได้คือเปลี่ยนชาวอุยกูร์ให้กลายเป็นชาวจีนทั้งบาง กว่าล้านชีวิตที่สูญเสียจากโศกนาฏกรรมป่าเถื่อนครั้งนั้นล้วนเป็นชาวมุสลิมอุยกูร์แทบทั้งสิ้น เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้เมล็ดพันธุ์แห่งความหวาดกลัวเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของชาวอุยกูร์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และแม้กาลเวลาจะผ่านไปหลายปีสถานการณ์รุนแรงในสังคมของชาวอุยกูร์ก็ดูเหมือนจะยิ่งแย่ลงไปทุกที นักเคลื่อนไหวชาวอุยกูร์กว่าหลายชีวิตถูกฆาตกรรม ถูกจำนองกักขังอย่างไร้สาเหตุ บ้างต้องลี้ภัยอยู่ต่างประเทศ หรือถูกทางการจีนอุ้มหายตัวไปก็มี

ทางการจีนจับตามองชาวอุยกูร์แทบทุกลมหายใจ การปราบปรามที่รุนแรงในแต่ละครั้งล้วนมีศาสนาเป็นข้ออ้างพื้นฐาน เนื่องจากรัฐบาลคอมมิวนิสต์ของจีนไม่ต้องการให้ประชาชนศรัทธาต่อสิ่งอื่นใดนอกจากพรรคของตน ทางการจีนต้องการให้ชาวอุยกูร์เคารพบูชา “สี จิ้นผิง” มากกว่า “อัลลอฮ” พระเจ้าของชาวมุสลิมอุยกูร์ ซึ่งหากใครได้มีโอกาสไปเยือนเตอร์กิสถานในปัจจุบัน (หรือที่หลายคนรู้จักกันในนาม “ซินเจียง”) คุณจะเห็นทหารจีนยืนอยู่แทบทุกซอกทุกมุม ที่นั่นมีด่านตรวจทุกระยะ 100 เมตร มีทหารคอยยืนตรวจการอยู่ทั้งนอกและในบริเวณมัสยิด หลายครั้งที่ชาวอุยกูร์ถูกเรียกให้ตรวจดีเอ็นเอโดยไม่ทราบสาเหตุ พวกเขาถูกยึดพาสปอร์ต ทางเดียวที่พวกเขาสามารถออกนอกประเทศได้คือลักลอบหนีออกมาอย่างเสี่ยงชีวิต ปัจจุบันหญิงชาวอุยกูร์ถูกสั่งห้ามไม่ให้สวมเสื้อคลุมยาวหรือกระโปรงยาว สิ่งที่เห็นมากกว่าการรุกล้ำดินแดน คือการรุกล้ำสิทธิส่วนบุคคล

และดูเหมือนว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นยังไม่สาแก่ใจจอมเผด็จการอย่าง “สี จิ้นผิง” เมื่อทางการจีนออกมาตรการจับชาวอุยกูร์มาคุมขังไว้ในแคมป์ที่ไม่ต่างอะไรจากคุกนาซี แคมป์โหดแห่งนี้เป็นรู้จักกันในนาม “แคมป์ปรับทัศนคติ” เป็นที่ที่ชาวอุยกูร์จะถูกล้างสมองให้ลืมอิสลามและอัตลักษณ์ดั้งเดิมของตนเอง ชาวอุยกูร์ถูกจองจำในคุกนรกแห่งนี้กว่าล้านชีวิต นอกจากชาวอุยกูร์แล้วยังมีชาวคาซักสถานที่ถูกคุมขังในแคมป์แห่งนี้ด้วย ผู้รอดชีวิตจากแคมป์นี้ต่างบอกเล่าเป็นเสียงเดียวกันถึงภาพอันสุดแสนทรมานของพี่น้องชาวอุยกูร์ที่อยู่ในนั้น ครั้งหนึ่งเคยมีภาพหลุดถึงความป่าเถื่อนของคุกแห่งนี้ที่ถ่ายได้จากสัญญาณดาวเทียม แต่ทางการจีนกลับปฏิเสธถึงความจริงดังกล่าว

และนี่คือเหตุผลที่ทำให้ชาวอุยกูร์พลัดถิ่นที่อาศัยกระจัดกระจายทั่วโลกต่างร่วมมือร่วมใจกันออกมาประท้วงเพื่อให้ชาวโลกได้รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับพี่น้องชาวอุยกูร์ในประเทศจีน ทุกคนต่างเฝ้ารอและวิงวอนให้ทางการจีนยกเลิกมาตรการแคมป์นรกนั้นโดยเร็วที่สุด และคืนแผ่นดินมาตุภูมิให้ชาวอุยกูร์ในเร็ววัน

Gulnaz Uyghur ยังได้มีข้อเสนอแนะในฐานะคนทั่วไปที่เริ่มเข้าใจถึงความเป็นไปของเหตุการณ์ในอุยกูร์ ว่าเราสามารถช่วยเหลือพวกเขาได้อย่างไรบ้าง การเผยแพร่ข่าวสารและเรื่องราวของชาวอุยกูร์ให้รู้เป็นวงกว้างเป็นการช่วยเหลือในระดับหนึ่ง เพราะความจริงที่น่าเจ็บปวดคือ มีคนจำนวนไม่มากนักที่รู้เรื่องราวความเป็นไปที่เกิดขึ้นกับชาวอุยกูร์ในเมืองจีน หลายคนอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีชนกลุ่มน้อยอย่างชาวอุยกูร์เป็นเพื่อนร่วมโลกใบนี้.

Gulnaz Uyghur เสนอให้ประชาชาติทั่วโลกร่วมยกประเด็นอุยกูร์เป็นวาระที่เราทุกคนควรมีส่วนรู้เห็นและร่วมกันแก้ปัญหา ร่วมกันปลุกจิตสำนึกแห่งความเป็นเพื่อนมนุษย์ ให้โลกได้รับรู้ถึงความป่าเถื่อนและเห็นแก่ได้ของรัฐบาลจีนที่รุกล้ำล่วงละเมิดสิทธิของเพื่อนร่วมโลกอีกกว่าล้านชีวิต

เสนอให้ทุกคนร่วมกันปกป้องชาวมุสลิมอุยกูร์ที่เข้ามาลี้ภัยในพื้นที่ เพราะอาจเป็นไปได้ว่าชาวอุยกูร์ที่เข้าไปหลบภัยต่างแดนต้องเจอกับสภาวะเครียดและกดดันในชีวิตเป็นอย่างมาก ลองเข้าไปยื่นความช่วยเหลือด้วยการถามไถ่ทุกข์สุขหรือรับฟังปัญหาของพวกเขาอย่างเป็นมิตร แสดงน้ำใจด้วยการหยิบยื่นให้ความช่วยเหลือเท่าที่จะสามารถทำได้

และเหนือสิ่งอื่นใด อย่าลืมพี่น้องชาวอุยกูร์ในดุอาอ์ ให้พวกเขาได้เป็นส่วนหนึ่งในดุอาอ์ที่เราวิงวอนต่อพระเจ้าในฐานะเพื่อนพี่น้องร่วมสายเชือกเดียวกัน


แปลและเรียบเรียง : Andalas Farr

ที่มา

https://themuslimvibe.com/muslim-current-affairs-news/why-are-uyghur-muslims-protesting-all-over-the-world-and-what-can-you-do-to-help-them