บทความ บทความวิชาการ

อัตลักษณ์ 7 ประการของชีอะฮ์อิมาม 12

อัตลักษณ์ 7 ประการ ของชีอะฮ์อิมาม 12 มีดังต่อไปนี้ :


1. ทรยศหักหลัง

เรื่องราวการทรยศหักหลังในประวัติศาสตร์อิสลาม ล้วนแล้วแต่มีมือทมิฬของกลุ่มชีอะฮ์เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องทั้งนั้น ตั้งแต่การทรยศท่านอะลี บินอะบีฎอลิบ ท่านหะซันบินอะลีหรือแม้กระทั่งท่านหุเซ็นบินอะลี رضي الله عنهم  กลุ่มชีอะฮ์ยังทรยศต่อราชวงศ์บะนีอุมัยยะฮ์ เป็นหนอนบ่อนไส้ให้แก่กองทัพมองโกลบุกถล่มราชวงศ์บะนีอับบาสิยะฮ์ที่กรุงแบกแดด ชีอะฮ์อุบัยดียะฮ์(ฟาฏิมียะฮ์)ได้ร่วมมือกับกองทัพครูเสดเพื่อทำสงครามกับกองทัพศอลาฮุดดีน ชีอะฮ์เกาะรอมิเฏาะฮ์ได้ปล้นหินดำที่กะอฺบะฮ์ในปีฮ.ศ. 294 และยึดอยู่ในครอบครองนานกว่า 20 ปี พร้อมสังหารผู้ประกอบพิธีฮัจญ์อย่างโหดเหี้ยม กษัตริย์อิสมาอีล เศาะฟะวีย์ได้ร่วมมือกับแม่ทัพโปรตุเกส ในความพยายามขุดทำลายสุสานนบี แต่ไม่สำเร็จ พวกเขายังได้ประสานความร่วมมือกับกองทัพออสเตรียเพื่อประกาศสงครามกับกองทัพอุษมานียะฮ์ พวกเขาคือหอกข้างแคร่ที่คอยทิ่มแทงประชาชาติอิสลามทุกครั้งยามที่มีโอกาส หรือไม่ก็เป็นเม็ดกรวดในรองเท้าที่คอยสร้างอุปสรรคในการเดินทางของประชาขาติอิสลามตลอดเวลา

แม้กระทั่งโคมัยนีผู้เคยประกาศว่าสหรัฐอเมริกาคือซาตานที่ยิ่งใหญ่ แต่เมื่อปีค.ศ. 1985 โคมัยนีได้สร้างข่าวฉาวระดับโลกในคดี Iran – Contra Affair  ที่จับได้ว่าสหรัฐอเมริกาแอบส่งขีปนาวุธอันทันสมัยผ่านอิสราเอลให้เเก่อิหร่าน เพื่อสนับสนุนอิหร่านทำสงครามกับอิรัก ปีค.ศ. 1982 กลุ่มก่อการร้ายชีอะฮ์”อะมัล “(ความหวัง) แห่งเลบานอน ได้ร่วมมือกับกองทัพคริสเตียนสุดโต่ง ด้วยการสนับสนุนจากยิวสังหารชาวปาเลสไตน์ที่ค่ายอพยพศ็อบรอและชาติลลา เลบานอน หลังจากที่พวกเขาโอบล้อม ปิดตายค่ายนี้เพื่อสังหารชาวมุสลิมเป็นเวลานานถึง 3 วัน

ในปีค.ศ. 2003 กองทัพชีอะฮ์ได้กรีธาทัพบุกอิรักและเข่นฆ่าชาวสุนนะฮ์อิรักร่วมกับกองทัพสหรัฐอเมริกา จนกระทั่งสหรัฐอเมริกาออกมาขื่นชมว่า หากไม่มีกองหนุนจากอิหร่าน สหรัฐฯคงไม่มีโอกาสรับชัยชนะในสมรภูมิอิรัก

ในปีค.ศ. 2013 กองทัพชีอะฮ์บดขยี้กรุงดามัสกัสและเมืองต่างๆทั่วซีเรียจนแหลกลาญ แม้กระทั่งที่เยเมน กบฏชีอะฮ์ฮูซีย์ได้สร้างวีรกรรมเถื่อน จนเยเมนทั้งประเทศกลายเป็นรัฐแห่งความหวาดกลัวและสยดสยอง

ที่กล่าวมา เป็นเพียงแค่บางเสี้ยวบางส่วนเท่านั้น ไม่ใช่รายงานทั้งหมด

2. เบี่ยงเบนทางเพศที่รุนแรง

ภายใต้กรอบศาสนาที่บิดเบี้ยว พวกเขาสามารถเป่าหูบรรดาสาวกให้เชื่อว่าการผิดประเวณีคือหนึ่งในการเคารพภักดีอันสุดประเสริฐ ภายใต้วาทกรรม”มุตอะฮ์” ชีอะฮ์สามารถประดิษฐ์ชุดความเชื่อที่โน้มน้าวให้บรรดาสาวกจมปลักในทะเลอารมณ์ทางเพศอย่างเบิกบานสบายอุรา

“น้ำแต่ละหยดที่ชาวมุตอะฮ์ใช้เพื่ออาบน้ำญะนาบะฮ์ จะกลายเป็น 1 มะลาอิกะฮ์ที่กล่าวขออภัยโทษแก่ผู้ทำมุตอะฮ์จนกระทั่งวันกิยามะฮ์ “ มีในตำราชีอะฮ์ที่อุปโลกน์คำพูดของนบีที่กล่าวความว่า “ผู้ใดทำมุตอะฮ์ 1 ครั้งเขาจะได้รับฐานะเทียบเท่าฮุเซ็น ผู้ใดที่ทำมุตอะฮ์ 2 ครั้งเขาจะได้รับฐานะเทียบเท่าหะซัน ผู้ใดที่ทำมุตอะฮ์ 3 ครั้งเขาจะได้รับฐานะเทียบเท่าอะลี และผู้ใดที่ทำมุตอะฮ์ 4 ครั้ง เขาจะได้รับฐานะเทียบเท่าฉัน”

ถามว่า แล้วหากมีคนทำมุตอะฮ์มากกว่า 5 ครั้ง เขาจะประเสริฐยิ่งกว่านบีเชียวหรือ (ขอให้อัลลอฮ์ทรงคุ้มครองจากความเชื่ออันพิเรนท์นี้ด้วยเถิด)

https://www.youtube.com/watch?app=desktop&v=ymvJ-CAFcTs

(อ่าน http://www.alkalema.net/sharaf/sharaf4.htm)

นี่คือข้ออ้างบางส่วนที่ถูกอุปโลกน์ขึ้นมาเพื่อสร้างความชอบธรรมในการกระทำอันผิดจรรยาบรรณของความเป็นมนุษย์ที่ไม่มีศาสนาไหนสั่งสอน ยกเว้นลัทธิโซโรเอสตอร์ที่มีอิทธิพลยุคเปอร์เซียในอดีตเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้ ปัญหาโสเภณีและเรื่องการนอกใจระหว่างสามีภรรยา จึงเป็นเหตุการณ์ปกติในสังคมชีอะฮ์ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะพวกเขาได้จาบจ้วงและใส่ร้ายครอบครัวของนบีว่า มีภรรยาใจคดและไม่ซื่อสัตย์ต่อนบี ดังนั้นอัลลอฮ์จึงลงโทษให้ครอบครัวของพวกเขาเป็นผู้แบกรับการใส่ร้ายนี้ไว้บนบ่าของพวกเขาเอง ซึ่งถือเป็นการลงโทษอันสาสมแล้ว เพราะการตอบแทนจะคู่ควรกับผลการกระทำเสมอ والجزاء من جنس العمل

3. อาฆาตแค้นต่อชาวอาหรับ

พวกเขาถือว่าชาวอาหรับเป็นสาเหตุที่ทำให้อาณาจักรเปอร์เซียอันยิ่งใหญ่ในอดีตต้องล่มสลาย เริ่มต้นตั้งแต่นบีฯ บรรดาเคาะลีฟะฮ์รอชิดีน ราชวงศ์บนีอุมัยยะฮ์ และราชวงศ์บนีอับบาสิยะฮ์ล้วนแล้วแต่เป็นชาวอาหรับที่ลบล้างอดีตอันรุ่งโรจน์ของอาณาจักรเปอร์เซีย ความอาฆาตเเค้นนี้เปรียบเสมือนไฟที่ไม่เคยดับมอด จนกระทั่งกลายเป็นกองเพลิงที่พร้อมเผาไหม้ชาวอาหรับทุกคนให้แหลกเป็นจุณ ในตำราของพวกเขาระบุว่า ภารกิจแรกของอิมามมะฮ์ดี เมื่อฟื้นคืนชีพจากหลุมสิรดาบที่อิรักแล้ว เขาจะนำทัพไปหลั่งเลือดชาวอาหรับจำนวน 100 เผ่าพันธุ์ทันที อิมามมะฮ์ดีของพวกเขาจะไปขุดหลุมสุสานของนางอาอิชะฮ์ และทำให้นางฟื้นคืนชีพอีกครั้ง เพื่อให้โอกาสแก่อิมามมะฮ์ดี เฆี่ยนโบยนางจำนวน 100 ครั้ง ในข้อหาลอบมีชู้สมัยนบีโดยที่นบีไม่ทันลงโทษนาง (ขออัลลอฮ์คุ้มครองจากคำอุปโลกน์นี้ด้วยเถิด)

แม้กระทั่งอ่าวอาหรับ ชาวอิหร่านปฏิเสธและขยะแขยงใช้ชื่อนี้ แต่เลือกเรียกใช้ชื่ออ่าวเปอร์เซียแทน ถึงแม้จะเสนอให้เรียกอ่าวอิสลามก็ตาม ผลพวงของการเกลียดชังชาวอาหรับเข้ากระดูกดำเช่นนี้ อัลลอฮ์จึงประทับตราบนลิ้นและหัวใจของพวกเขาด้วยความรู้สึกเกลียดชังอัลกุรอาน ด้วยเหตุนี้เราจึงพบว่า บรรดาผู้รู้ระดับอะยาโตลาฮ์ อ่านอัลกุรอานด้วยน้ำเสียงที่ผิดเพี้ยนและติดสำนวนเปอร์เซียมากกว่า

ชีอะฮ์จึงไม่ค่อยเน้นการเปิดและพัฒนาสถาบันท่องจำอัลกุรอาน และไม่ค่อยมีนักท่องจำอัลกุรอานเหมือนในสังคมชาวสุนนะฮ์ ซึ่งมีนักท่องจำอัลกุรอานทุกเพศทุกวัย ทุกสาขาอาชีพ แม้กระทั่งในกลุ่มคนตาบอดหรือคนพิการ หากมีบ้าง ก็จะมุ่งแต่การอ่านอัลกุรอานด้วยท่วงทำนองที่ฟังไพเราะเสนาะหู เพื่อตบตาชาวสุนนะฮ์ ทั้งๆที่การอ่านอัลกุรอานของพวกเขา ไม่เคยข้ามผ่านลูกกระเดือกของตนเอง

4. ใช้อารมณ์เหนือปัญญา

พวกเขาใช้น้ำตาของพี่น้องนบียูซุฟ มากลบเกลื่อนความบิดเบือนความเชื่อที่พวกเขาอุปโลกน์ขึ้นมา เพราะเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนโกหกเจ้าเล่ห์ ที่มักใช้น้ำตาเป็นอาวุธ เพื่อปกปิดความปลิ้นปล้อนมดเท็จของตนเอง แทบไม่น่าเชื่อว่าในรอบปี ชีอะฮ์มีพิธีกรรมมากกว่า 30 ประเภทที่สามารถบีบน้ำตาสาวกได้อย่างแนบเนียนชนิดดาราเจ้าน้ำตายังต้องชิดซ้าย

บรรดาผู้รู้จึงจำเป็นต้องควบคุมสมองของชาวชีอะฮ์ทั่วไป มิให้ถูกขับเคลื่อนอย่างปกติ เพราะหากพวกเขาคิดได้ แม้เพียงเสี้ยววินาที พวกเขาจะรู้ได้ทันทีว่าแท้จริง พวกเขาถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือ เพื่อปกป้องระบบคุมุส (20%) นั่นเอง

5. โกหกปลิ้นปล้อน (ตะกียะฮ์)

ชีอะฮ์ไม่เชื่อว่าโกหกแล้วได้โล่อย่างเดียว แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาศรัทธาว่า โกหกยังได้บุญอันมหาศาลและเป็นหลักสำคัญทางศาสนาอีกด้วย

พวกเขาใส่ร้ายอิมามญะอฺฟัรโดยระบุว่าอิมามญะอฺฟัรเคยกล่าวว่า “9ใน10 ของศาสนานี้อยู่ในการตะกียะฮ์ และไม่มีศาสนาสำหรับผู้ที่ไม่ตะกียะฮ์”

ตะกียะฮ์คือการอำพรางตัวตนที่แท้จริงและแสดงออกพฤติกรรมที่ตรงกันข้ามกับความเชื่อที่แท้จริง ซึ่งก็คือการโกหกปลิ้นปล้อนนั่นเอง แต่พวกเขาเลี่ยงใช้คำนี้ เหมือนเลี่ยงใช้คำว่า ซินา โดยเรียกมุตอะฮ์แทน

พวกเขาแสดงตัวตนว่าจะปกป้องพิทักษ์อัลกุดส์และปาเลสไตน์ แต่ในความเป็นจริง พวกเขาด่าทอและสาปแช่งบรรพชนที่พิชิตปาเลสไตน์ โดยเฉพาะท่านอุมัร อัลค็อฏฏอบ อัมร์บินอ้าศ และมุอาวิยะฮ์บินอะบูสุฟยาน رضي الله عنهم และในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา พวกเขาไม่เคยทำสงครามกับกองทัพครูเสดหรือชาติตะวันตกเพื่อกอบกู้อัลอักศอ แม้เพียงครั้งเดียว

พวกเขาแอบอ้างภราดรภาพแห่งอิสลามและต่อต้านการเชิญชวนสู่ความคลั่งไคล้ในชาติพันธุ์และความเชื่อ ทั้งๆที่พวกเขาคือแกนหลักที่ทำให้เกิดไฟฟิตนะฮ์และสงครามยืดเยื้อระหว่างมุสลิมด้วยกัน ตั้งแต่อดีตจนกระทั่งปัจจุบัน

ส่วนการโกหกในเรื่องศาสนา โดยเฉพาะหะดีษนบี ถือเป็นความสามารถเฉพาะตัวของชีอะฮ์ที่คนอื่นเลียนแบบได้ยากมาก บรรดาอุละมาอฺชาวสุนนะฮ์ต่างตักเตือนให้ประชาขาติมุสลิมระมัดระวังอย่าตกเป็นเหยื่อของความบิดเบือนของชีอะฮ์ มาโดยตลอด (ดู https://www.anasalafy.com/play.php?catsmktba=56436 )

6. ฝังใจเรื่องอภินิหารและสิ่งงมงาย

จากอัตลักษณ์ข้อ 4. ทำให้ชีอะฮ์กลายเป็นชนที่หมกมุ่นในเรื่องอภินิหารและสิ่งงมงาย

ฐานความเชื่อสำคัญที่สุดของชีอะฮ์ คืออิมามมะฮ์ดี ผู้ถูกรอคอย โดยชีอะฮ์เชื่อว่ามีทารกน้อยชื่อมูฮัมมัด อัลอัสการีย์ ซึ่งมีบิดาเป็นอิมามคนที่ 11 เกิดจากมารดาคริสเตียน ได้หลบซ่อนในถ้ำสิรด้าบที่อิรัก ตั้งแต่ปี ฮ.ศ. 260 จนกระทั่งปัจจุบันเป็นระยะเวลานานกว่า 1,182 ปีแล้ว พวกเขาสร้างนิยายอันแปลกพิสดาร ที่เชื่อว่าทารกคนนี้ได้หลบซ่อนเร้นกาย เพราะหนีจากการไล่ล่าของทหารราชวงศ์อับบาสิยะฮ์ในขณะนั้น ทั้งๆที่ในความเชื่อของพวกเขาถือว่าทารกคนนี้มีอิทธิฤทธิ์อภินิหารมากมายเหนือมนุษย์มนายิ่งกว่าในละครจักร์ๆวงศ์ๆ แต่ทำไมต้องหลบซ่อนยาวนานถึงเพียงนี้ โดยเฉพาะปัจจุบันราชวงศ์อับบาสิยะฮ์ก็ได้ล่มสลายไปตามกาลเวลาแล้ว ประกอบด้วยปัจจุบันชีอะฮ์มีศักยภาพที่เข้มแข็งที่เสริมด้วยอาวุธปรมาณูและนิวเคลียร์ที่สร้างความหวาดกลัวทั่วคาบสมุทรอาหรับในขณะนี้ แต่แปลกใจ อิมามมะฮ์ดียังไม่ปรากฏตัวซะที

ละครอิมามมะฮ์ดี จึงกลายเป็นละครซีรีย์ที่ถูกแสดงยืดเยื้อยาวนานหลายศตวรรษด้วยประการฉะนี้แล

ยังไม่รวมชุดอภินิหารและสิ่งงมงายมากมายที่มาพร้อมกับความเชื่อของผลไม้และสิงสาราสัตว์ที่ยอมรับการเป็นอิมามและที่ปฏิเสธอิมาม เช่นแตงโมที่มีเนื้อสีแดงคือแตงโมที่ยอมรับการเป็นอิมาม ส่วนแตงโมที่มีเนื้อสีอื่นนั้นคือแตงโมที่ปฏิเสธการเป็นอิมาม แม้กระทั่งฆาตกรที่ลอบสังหารท่านอุมัรที่มะดีนะฮ์ แต่กลับมีสุสานที่ได้รับการบูชาเป็นวีรบุรุษที่อิหร่าน มีคนตั้งประเด็นว่า ในสมัยนั้นฆาตกรถูกส่งตัวไปที่อิหร่านได้อย่างไร เพราะในช่วงนั้นที่อิหร่านยังไม่มีผู้นับถือลัทธิชีอะฮ์ พวกเขาจึงอุปโลกน์เรื่องราวว่า หลังจากที่อะบูลุลุอะฮ์ ได้สังหารท่านอุมัร์สำเร็จแล้ว เขาจึงรีบไปขอความช่วยเหลือจากท่านอะลี ซึ่งท่านอะลีจึงรีบตบอะบูลุลุอะฮ์จนปลิวว่อนไปตกในเมืองแห่งหนึ่งที่อิหร่านในปัจจุบัน บางรายงานระบุว่าท่านอะลีจึงกระทืบอะบูลุลุอะฮ์ แรงกระทืบของท่านอะลีทำให้อะบูลุลุอะฮ์จมหายในดินจนกระทั่งไปโผล่ที่เมืองแห่งหนึ่งในอิหร่าน ซึ่งเขาได้ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นจนกระทั่งเสียชีวิต

หากท่านผู้อ่านยังสงสัยว่า ชาวชีอะฮ์เขื่อเรื่องงมงายนี้ได้อย่างไร ก็ลองไปอ่านอัตลักษณ์ข้อ 4. อีกครั้ง

7. จอมซาดิสม์กระหายเลือด

มีบางคนเชื่อว่า การที่ชีอะฮ์ทรมานร่างกายตัวเองจนถึงขั้นเลือดอาบอย่างน่าหวาดเสียว เป็นสัญลักษณ์ทางศาสนาที่สื่อถึงความเศร้าอกเสียใจที่พวกเขาทรยศหักหลังท่านหุเซ็น ซึ่งถือเป็นความเชื่อที่ถูกต้องเพียงบางส่วนเท่านั้น เพราะที่อันตรายมากกว่านั้นคือผลวิจัยของนักจิตวิทยาที่ค้นพบว่า ผู้ใดที่มีความคุ้นชินกับการหลั่งเลือดตัวเองด้วยวิธีสยดสยองแล้ว จะเป็นเรื่องง่ายดายสำหรับเขาที่จะหลั่งเลือดคนอื่นเพราะมันเป็นการสะสมพฤติกรรมซาดิสม์ที่สนุกสนานกับเชือดเฉือนเลือดเนื้อ ดั่งสุนัขที่ดมคาวเลือดอยู่ตลอดเวลา มันจะกลายเป็นสุนัขที่ดุร้าย ที่พร้อมขย้ำผู้คนได้ทุกเมื่อ เราจึงไม่แปลกที่เกิดเหตุการณ์ชวนให้ขนลุกที่เกิดขึ้นกับพี่น้องสุนนะฮ์ชาวซีเรีย อิรัก เลบานอนและเยเมนที่เกิดจากพฤติกรรมซาดิสม์ของกองกำลังชีอะฮ์

ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาเชื่อว่า อิมามมะฮ์ดีจะปรากฏตัว ท่ามกลางทะเลเลือดของชาวสุนนะฮ์ ดังนั้น ยิ่งเลือดชาวสุนนะฮ์ถูกไหลหลั่งมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นตัวเร่งให้อิมามมะฮ์ดีปรากฏตัวเร็วมากขึ้นเท่านั้น

นี่คือคุณสมบัติ 7 ประการที่เป็นอัตลักษณ์เฉพาะของชีอะฮ์เท่านั้น

วิธีเดียวที่จะทำให้อัตลักษณ์ทั้ง 7 ประการนี้ถูกคลุกเคล้า จนกลายเป็นเนื้อเดียวกันกับชีอะฮ์ คือการด่าทอเศาะฮาบะฮ์ โดยเฉพาะเหล่ามารดาผู้ศรัทธาตลอดจนบิดเบือนอัลกุรอานและสุนนะฮ์

ด้วยกรรมวิธีนี้เท่านั้น ที่จะดึงให้คนๆหนึ่งกลายเป็นชีอะฮ์โดยบริบูรณ์

https://www.anasalafy.com/play.php?catsmktba=56436&fbclid=IwAR2mN8q7Fuo983KrxV77pggb_bBB2lpvVrc5W0q0XhxCFdZXPshzrAlWgsU


โดย ทีมงานวิชาการ