มหานครปารีสเมืองที่ผสมผสานระหว่างเมืองที่เป็นจุดหมายปลายทางสำหรับผู้หลงใหลกลิ่นน้ำหอม และผู้นำแฟชั่น แต่ในขณะเดียวกัน คือเมืองแห่งความสยดสยองที่ชวนขนลุก ซึ่งใต้เมืองน้ำหอมอันแสนโรแมนติกนี้ กลับเป็นสุสานที่อัดแน่นไปด้วยกระดูกและหัวกะโหลกหลายล้านชิ้นจากร่างไร้วิญญาณกว่า 6 ล้านชีวิตที่ถูกเรียงพะเนินเต็มผนังใต้ดินที่ลึกกว่า 20 เมตรและมีความคดเคี้ยว เวิ้งว้างและมืดมนชวนหลอนที่ยาวกว่า 300 กิโลเมตรทีเดียว ซึ่งครั้งหนึ่ง กลิ่นเน่าเหม็นของซากศพได้โชยไปทั่วเมืองจนสร้างความเดือดร้อนแก่ชาวบ้านที่อาศัยในบริเวณนั้น นอกเหนือจากเป็นแหล่งเชื้อโรคที่คร่าชีวิตผู้คนมากมาย
มหานครปารีสคือภาพที่สะท้อนถึงโลกแห่งความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่เหินห่างราวฟ้ากับก้นเหว ระหว่างกลุ่มอภิสิทธิ์ชนที่เดินเหินบนหน้าแผ่นดินอย่างหยิ่งทรนงและสุขสำราญสนุกสนาน กับอีกกลุ่มชนที่ใช้ชีวิตบนคราบน้ำตาและหยาดเลือดที่ต้องทนทุกข์ทรมาน ยอมเป็นทาสรับใช้ตลอดชีวิต
ฝรั่งเศสหนึ่งในประเทศล่าอาณานิคมในศตวรรษที่ 19 ที่เคยนำเอาคนพื้นถิ่นในแอฟริกาและที่อื่นๆซึ่งกองทัพเรือของฝรั่งเศสเดินทางไปถึง มาจัดแสดงให้ชาวยุโรปผิวขาวได้ชมในสวนสัตว์มนุษย์ ราวกับคนเหล่านั้นเป็น “สัตว์ประหลาด” ชนิดหนึ่งมาแล้วเมื่อราว 200 ปีก่อน (ดู https://news.goosiam.com/html/0005067.html ) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ประจวบเหมาะกับในปี 1786 ที่เจ้าของเหมืองหินปูนผู้ศรัทธาในคริสต์ศาสนาในกรุงปารีสได้อุทิศเหมืองให้ใช้เป็นสุสานแห่งใหม่ เนื่องจากกำแพงของสุสาน Les Innocents ได้ถล่มลงในปี 1780 ด้วยสาเหตุฝนตกหนักอย่างยาวนาน การขุดเคลื่อนย้ายศพจากสุสานต่างๆทั่วปารีสมาไว้ที่เหมืองนี้ จึงเริ่มขึ้น จนกระทั่งเสร็จสิ้นในปี 1860 ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า การเคลื่อนย้ายศพ ต้องใช้เวลานานถึง 80 ปีทีเดียว ( ดู https://travel.kapook.com/view225119.html)
ท่านผู้อ่านไม่เคยฉุกคิดเลยหรือว่า ชายใจบุญคนนั้นสร้างเหมืองที่ลึกลงใต้ดินกว่า 20 เมตรได้อย่างไร เขาใช้กรรมวิธีไหนที่สามารถขุดเจาะอุโมงค์อันคดเคี้ยวลึกลับยาว 300 กิโลเมตร ฝรั่งเศสในยุคนั้นมีเครื่องมือและเทคโนโลยีการขุดเจาะอันทันสมัยแล้วหรือ รีว่ากระดูกและหัวกะโหลกนับล้านชิ้นเหล่านั้นคือคำตอบอันแสนลึกลับนี้
ระหว่างปี 1789-1799 ได้เกิดการปฏิวัติฝรั่งเศส ซึ่งถือเป็นยุคสมัยแห่งกลียุคทางสังคมและการเมืองที่เปลี่ยนถึงรากฐานในฝรั่งเศสอย่างรุนแรงที่สุด ถือเป็นยุคสมัยแห่งความน่าสะพรึงกลัวของฝรั่งเศสโดยแท้จริง (ดู https://th.m.wikipedia.org/wiki/การปฏิวัติฝรั่งเศส)
หากพี่น้องสังเกตให้ดีๆ จะพบว่าการริเริ่มใช้เหมืองหินปูนเป็นสุสานระหว่างปี 1780- 1860 คือช่วงเวลาไล่เลี่ยกับการปฏิวัติฝรั่งเศสที่ปะทุขึ้นระหว่าง 1789-1799 และเป็นช่วงเวลาไล่เลี่ยกันกับงานเวิลด์แฟร์ ที่แสดงนิทรรศการสวนสัตว์มนุษย์ ซึ่งถูกจัดขึ้นในกรุงปารีสในปี 1889 โดยเป็นที่ทราบว่า สวนสัตว์มนุษย์เป็นที่นิยมอย่างมากในยุโรปในระหว่างปลายศตวรรษที่ 1800 จนถึงช่วงกลางศตวรรษที่ 1900
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยุคล่าอาณานิคมของฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 19 ที่คลุมทวีปแอฟริกาซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศอิสลาม ส่วนหนึ่งได้แก่ ยึดครองแอลจีเรียตั้งแต่ 1830 -1962 (332ปี) ยึดครองตูนิเซียตั้งแต่ 1881 – 1956 (75ปี) ยึดครองมอร็อกโกตั้งแต่ 1912 -1956 (44ปี) ยึดครองจิบูตีตั้งแต่ 1884 – 1997 (117ปี) รวมทั้งยึดครองทั้งซีเรียและเลบานอน
ตลอดระยะเวลาของการยึดครองแอลจีเรีย ทหารฝรั่งเศสได้สังหารประชาชนชาวแอลจีเรียกว่า 7 ล้านคน พวกเขาได้ตัดศีรษะบรรดาแกนนำนักต่อสู้โดยทิ้งส่วนร่างกายลงในทะเลและนำศีรษะกลับไปยังกรุงปารีส เพื่อเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์คนในกรุงปารีส ทั้งนี้เพื่อทิ้งร่องรอยไม่ให้ชาวแอลจีเรียรำลึกถึงบรรดานักต่อสู้เหล่านั้น อีกทั้งเพื่อเป็นการข่มขู่ผู้ที่คิดจะต่อสู้ให้ชนรุ่นหลังว่า จะประสบชะตากรรมเช่นไร
ล่าสุดเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2020 ซึ่งเป็นวันคล้ายวันประกาศเอกราชของแอลจีเรีย รัฐบาลแอลจีเรียได้เรียกคืนหัวกะโหลกบรรดาแกนนำนักต่อสู้เพื่อเอกราชจำนวน 24 ชิ้นกลับสู่ประเทศหลังจากถูกแสดงในพิพิธภัณฑ์ฝรั่งเศสนานกว่า 170 ปี ในขณะที่สื่อฝรั่งเศสระบุในปี 2016 ว่า ยังมีหัวกะโหลกกว่า 18,000 ชิ้นที่ยังถูกเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์คนในกรุงปารีส (ดู https://www.aljazeera.net/news/politics/2020/7/2/الجزائر-تستعيد-من-فرنسا-رفات-24-من-قادة)
ท่านผู้อ่านลองคิดดูว่า ชนชาติที่มีทัศนคติต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเช่นนี้ สามารถยึดครองหัวใจของชาวโลกได้หรือไม่ และพวกเขาต้องสะสมชุดความคิดอันเลวร้ายนี้นานเท่าไหร่ กว่าที่พวกเขาสามารถตกผลึกจนสามารถปฏิบัติได้ในนามรัฐชาติได้
ณ ที่นี่ ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาเหมารวมชาวฝรั่งเศสทั้งชาติ แต่เสียงส่วนน้อยที่เป็นพลังความดี เป็นเพียงแสงหิ่งห้อยท่ามกลางความมืดมิดในป่าทึบ ยังไม่สามารถเป็นแสงสว่างให้แก่ผู้คนได้ เเม้กระทั่งสถาบันทางศาสนา แทบไม่มีบทบาทชี้นำสังคมที่ทุพพลภาพนี้เลย
ในอดีต ดาร์วินเคยหลอกคนทั้งโลกว่ามนุษย์มาจากลิงตามทฤษฎีวิวัฒนาการของเขา ในขณะที่มัลทัส สำทับว่ามนุษย์จะล้นโลกตามทฤษฎีประชากรศาสตร์ของเขาเช่นกัน
แทบไม่น่าเชื่อว่าผู้คนค่อนโลก แม้กระทั่งดีกรีนักเรียนนอก ก็ยังเชื่อทฤษฎีดังกล่าวชนิดหัวปักหัวปำ จนกระทั่งสโลแกน “ลูกมากยากจน” กลายเป็นวาระสากลทีเดียว
ผู้เขียนไม่แน่ใจว่า ในปัจจุบัน มีบุคคลที่ยังคงหลงเหลือเชื่อทฤษฎีนี้มากน้อยแค่ไหน แต่เชื่อว่า คนค่อนโลก เริ่มรู้ว่าเป็นทฤษฎีแหกตาชาวโลกเท่านั้น
แต่สิ่งที่ผู้เขียนแปลกใจที่ยุคนี้ คนค่อนโลกยังโดนฝรั่งเศสหลอกให้เชื่ออย่างสนิทใจเรื่องสุสานกะโหลกใต้กรุงปารีสตามคำบันทึกของฝรั่งเศส แถมยังต้องชื่อตั๋วเข้าชมเป็นเงินหลายยูโรอีกด้วย
ฝรั่งเศสยังคงสามารถสร้างความมั่งคั่งของประเทศจากกลุ่มชนที่น่าสงสารและถูกอธรรมจำนวน 6 ล้านคนนี้ ไม่ว่าในขณะที่พวกเขาเป็นคนหรือกลายเป็นกะโหลกและกระดูกก็ตาม
นครปารีสยังคงเป็นเมืองแฟชั่นอันดับ 1 ของโลกที่เป็นจุดศูนย์รวมของสไตลิสต์ ดีไซเนอร์และผู้นำแฟชั่นทั้งหลายทั่วโลก แถมยังมีแบรนด์ชั้นนำเกิดขึ้นมากมาย จนกลบมิดภาพหลอนอันโหดร้ายใต้ดินที่ถูกสะสมมานานนับร้อยปี
เขียนโดย Mazlan Muhammad