وَلَن تَرضَى عَنكَ اليَهُودُ وَلَا النَصَارَى حَتٌَى تَتَّبِعَ مِلَّتَهُم (البقرة/120)
ความว่า : และชาวยิวและชาวคริสต์นั่น จะไม่พึงพอใจเจ้า (มุฮัมมัด) เป็นอันขาด จนกว่าเจ้าจะปฏิบัติตามแนวทางของพวกเขา
ตุรกีและกรีซมีปัญหาความขัดแย้งที่ปะทุมาอย่างยาวนานในประวัติศาสตร์หากผู้อ่านย้อนอดีตสมัยสุลตานมูฮัมมัด อัลฟาติห์ บุกพิชิตกรุงคอนสแตนติโนเปิลในปี ค.ศ. 1453 ซึ่งถือเป็นการสิ้นอำนาจของจักรวรรดิไบเซนไทน์ที่รุ่งเรืองมากกว่า 1,100 ปี ก็สามารถต่อภาพจิ๊กซอว์ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะกรุงคอนสแตนติโนเปิล ซึ่งในปัจจุบันคือกรุงอิสตันบูล ถือเป็นเมืองหลวงของอารยธรรมกรีกที่จักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 11 และสมเด็จพระสันตะปาปานิโคลัสที่ 5 ครองราชย์และมีอำนาจในเมืองนี้ หลังการล่มสลาย ชาวกรีกก็อพยพไปยังส่วนต่างๆของยุโรปโดยเฉพาะอิตาลีและกรีซในปัจจุบัน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือรัฐกรีซในปัจจุบัน ก็คืออาณาจักรไบเซนไทน์ในอดีตนั่นเอง (ดู https://th.m.wikipedia.org/wiki/การเสียกรุงคอนสแตนติโนเปิล)
กาลเวลาผ่านไปเกือบ 600 ปี ไฟแค้นที่มีต่อลูกหลานของสุลตานมูฮัมมัด อัลฟาติห์ยังคงคุกรุ่นตลอดเวลา
สงครามโลกครั้งที่ 1 ที่ได้รับการบันทึกให้ดูเหมือนว่า เกิดขึ้นเพราะชาติยุโรปมีความขัดแย้งกันเอง ซึ่งอาจมีส่วนถูกบ้างเพียงไม่ถึง 10% เท่านั้น เพราะอีกกว่า 90% คือต้องการทำลายอาณาจักรอุษมานียะฮ์ล้วนๆ เพราะฝ่ายที่สูญเสียและได้รับผลกระทบมากที่สุดจากสงครามโลกครั้งที่ 1 หาใช่ชาติยุโรปที่แพ้สงคราม แต่กลับกลายเป็นอาณาจักรอุษมานียะฮ์ ที่หลังจากถูกเฉือนแบ่งจนแตกเป็นเสี่ยงๆแล้ว ชาติตะวันตกยังวางบ่วงบาศคล้องคอตุรกีใหม่ให้กลายเป็นรัฐอัมพาตนับร้อยปี (ดู https://www.theustaz.com/?p=4287 ) โดยที่ชาติยุโรปอื่นๆที่แพ้สงครามไม่ได้ถูกลงโทษด้วยมาตรการที่รุนแรงเหมือนตุรกีเลย ยิ่งไปกว่านั้นชาติยุโรปโดยผู้นำหุ่นเชิดที่นำโดยมุสตะฟา เคมาลได้บีบบังคับให้ตุรกีปฏิเสธอิสลาม พร้อมถอดคำสอนศาสนาเหมือนถอดเสื้อโต้บที่สวมใส่
หากผู้อ่านศึกษาชะตากรรมของลูกหลานสุลตานอุษมานียะฮ์ ที่ต้องระเหเร่ร่อนเยี่ยงขอทานทั่วยุโรปแล้ว จะรู้เลยว่าความแค้นของพวกเขา มีความรุนแรงและลุ่มลึกแค่ไหน (ดู https://www.facebook.com/groups/422133821263587/permalink/1451275405016085/)
หากชาติตะวันตกที่นำโดยคริสตจักร มีความบริสุทธิ์ใจต่อศาสนาอิสลามและประชาชาติมุสลิม แม้เพียงวันเดียว อัลกุรอานในซูเราะฮ์อัลบะเกาะเราะฮ์/120 จะกลายเป็นโมฆะทันที ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้โดยเด็ดขาด เพราะอัลกุรอานคือพจนารถแห่งอัลลอฮ์ ผู้ตรัสจริงเสมอ
โดย Mazlan Muhammad