อัลลอฮฺได้กล่าวความว่า “ท่านทั้งหลาย จงเล่าเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นในอดีต เพื่อพวกเขาจะได้ไตร่ตรอง” (อัลอะรอฟ : 176)
ดังนั้นวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของการบอกเล่าเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในอดีตนั้น เพื่อต้องการให้เราคิดทบทวนเป็นอุทาหรณ์และบทเรียน หาไม่แล้ว มันก็ไม่ต่างกับนวนิยายปรำปราที่ไม่สามารถนำสาระประโยชน์ใดๆ เลย
การเล่าเรื่อราวของรอฟิเฎาะฮฺในอดีต ก็มีวัตถุประสงค์หลักเพียงประการเดียวคือใช้เหตุการณ์ในอดีตเป็นเครื่องมือทำความเข้าใจปัจจุบัน และคาดการณ์ล่วงหน้าว่าเรื่องราวจะจบลงกันอย่างไร เพราะบทละครเดียวกันที่ประพันธ์โดยคนๆ เดียวกัน ถึงแม้จะมีการแสดงซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่า ก็จะมีเค้าโครงเรื่องและมีตอนอวสานที่เหมือนกัน
เราได้ทราบมาแล้วว่า หลังจากที่หะซัน อัลอัสกะรีย์เสียชีวิตไป ชีอะฮฺเกิดภาวะ “ตีบตันทางการเมือง” พวกเขาได้เริ่มแยกเป็นก๊กเป็นเหล่าตามความบิดเบือนของแต่ละกลุ่ม ซึ่งกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดคือลัทธิชีอะฮฺอิมาม 12 แต่ก็ยังมีหลายกลุ่มที่เกิดมาช่วงนี้ และกลุ่มที่สร้างอันตรายแก่ประชาชาติมุสลิมมากที่สุด คงไม่มีใครเกินกลุ่มลัทธิอิสมาอีลียะฮฺ ซึ่งเป็นลัทธิชีอะฺฮฺสุดโต่งที่อุละมาอฺซุนนะฮฺส่วนใหญ่เห็นว่าเป็นกลุ่มที่พ้นสภาพจากอิสลามโดยสิ้นเชิง พวกเขาถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า กลุ่มบาฏินียะฮฺที่เชื่อว่าหลักชะรีอะฮฺมีทั้งเนื้อหาที่สามารถเข้าใจอย่างตรงไปตรงมาตามตัวบท แต่ในอีกแง่หนึ่งเป็นเพียงสัญลักษณ์ที่จำเป็นต้องถอดรหัสโดยผู้รู้ที่พวกเขายอมรับเท่านั้น เช่นเดียวกันกับอัลกุรอานและหะดีษที่มีเนื้อหาที่ซ่อนเร้นอยู่ ดังนั้นพวกเขาไม่ละหมาด ไม่ออกซะกาต ไม่ศิยาม ไม่ถือศีลอดและไม่ปฏิบัติตามหลักศาสนบัญญัติอื่นๆ เหมือนชาวซุนนะฮฺทั่วไป แต่พวกเขามีวิธีถอดรหัสคำสอนเหล่านี้ตามอารมณ์ใฝ่ต่ำของพวกเขาเอง
ลัทธินี้ เริ่มต้นมาจากยิวจากเมืองกูฟะฮฺคนหนึ่งชื่อ มัยมูน อัลก็อดดาหฺ ที่เสแสร้งรับอิสลามแต่เกลียดชังอิสลามอยู่เต็มอก เขาได้เข้าไปตีสนิทกับมุฮัมมัด บินอิสมาอีล บินญะอฺฟัรอัศศอดิก ซึ่งท่านอิสมาอีล บินญะฟัรท่านนี้ มีศักดิ์เป็นพี่ชายของมูซา อัลกาซิม (อิมามคนที่ 7) ในฐานะเป็นลูกชายคนโต ท่าน จึงมีสิทธิ์เป็นอิมามแทนพ่อ แต่อิสมาอีลเสียชีวิตตั้งแต่อิมามญะฟัรยังมีชีวิตอยู่ ตำแหน่งอิมามจึงตกเป็นของมูซา อัลกาซิม
ลัทธินี้จึงกุเรื่องว่า ความจริงแล้วอิสมาอีลไม่ตาย เขาจะกลับมาฟื้นคืนชีพใหม่ตามความเชื่ออันบิดเบือน และเขาคืออิมามมะฮฺดีผู้เป็นที่รอคอย ลัทธินี้จึงถูกขนานนามว่า อิสมาอีลียะฮฺหรืออัลบาฏินียะฮฺตามที่ได้กล่าวมา
มัยมูน อัลก็อดดาหฺได้ออกอุบายวางแผนระยะยาวเพื่อทำลายอิสลามจากภายใน เขาได้ตั้งชื่อลูกชายคนโตของเขาชื่อว่า มุฮัมมัด และได้สั่งเสียว่าต่อไปนี้ให้ตั้งชื่อลูกหลานของเขาให้เหมือนกับชื่อลูกหลานของมุฮัมมัด บินอิสมาอีลที่มาจากอาลุลบัยต์ เมื่อเวลาผ่านไป ชาวยิวกลุ่มนี้ได้แอบอ้างว่าต้นตระกูลของตนเองมาจากอาลุลบัยต์ ซึ่งตำแหน่งอิมามหลังจากนี้ต้องมาจากต้นตระกูลของตนเอง ไม่ใช่มาจากตระกูลของมูซาอัลกาซิม บินญะฟัรอัศศอดิก
หลังจากนั้น ทุกอย่างก็เป็นไปตามแผนอันสกปรกนี้ บรรดาลูกหลานของมัยมูน อัลก็อดดาหฺ ได้สถาปนาลัทธิใหม่ที่แอบอ้างอิสลาม ทั้งๆที่อิสลามไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับลัทธิเพี้ยนนี้เลย พวกเขาเชื่อว่า อัลลอฮฺสามารถสิงเข้าไปในตัวตนของอิมาม พวกเขาจึงเชื่อว่าอิมามคือพระเจ้า พวกเขายังเชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิด การฟื้นขึ้นใหม่ของอิมามที่เสียชีวิตแล้ว ภารกิจหลักของพวกเขาช่วงนี้คือการลอบฆ่าบรรดาอุละมาอฺซุนนะฮฺ
ซ้ำร้ายยิ่งกว่านี้ เมื่อพวกเขาสามารถจับมือกับกลุ่มลุทธิคลั่งชาติชาวเปอร์เซียที่เคียดแค้นอิสลามเป็นทุนเดิม ทำให้แผนสกปรกนี้ดำเนินไปอย่างสะดวกโยธิน ความเจ้าเล่ห์เพทุบาย ทรยศหักหลังและพฤติกรรมทรามของชาวยิว ได้ผสมผสานกับไฟอาฆาตแค้นและแรงริษยาของโซโรแอสเตอร์ จนกลายเป็นเนื้อทองอันเดียวกัน มันคือความชั่วร้ายยกกำลังที่สร้างรอยแผลฉกรรจ์แก่ร่างกายของประชาชาติมุสลิมนับตั้งแต่นั้นมา
ครั้นเวลาผ่านไป เชื้อร้ายเหล่านี้ได้ตกผลึกไปถึงชายคนหนึ่งนามว่า หัมดาน บิน อัชอัษ ซึ่งมีฉายาว่า ก็อรมัฏ ( قرمط แปลว่าผู้มีร่างกายสั้นเตี้ยตามรูปร่างของตนเอง) และกลายเป็นผู้ก่อตั้งลัทธิชีอะฮฺเกาะรอมิเฏาะฮฺ
ลัทธิร้ายนี้เป็นอีกลัทธิหนึ่งที่แยกออกจากลัทธิอิสมาอีลียะฮฺ พวกเขามีความเชื่อว่า ทรัพย์สมบัติและสตรีเป็นของสาธารณะ ทุกคนมีสิทธิ์ครอบครองโดยเท่าเทียมกัน สังคมในสมัยนั้นจึงอุดมด้วยการปล้นสะดม เข่นฆ่า กระทำชำเราสตรีและพฤติกรรมทรามทั้งหลาย
สรุปแล้ว ช่วงกลางศตวรรษที่ 3 ฮิจเราะฮฺนี้ ได้เกิดลัทธิบิดเบือน 3 ลัทธิใหญ่ๆ คือ ชีอะฮฺอิมามิยะฮฺ อิสมาอีลียะฮฺ และเกาะรอมิเฏาะฮฺ แต่ละกลุ่มลัทธิก็อ้างว่ากลุ่มตนคือกลุ่มที่ถูกต้องและเป็นตัวแทนของอาลุลบัยต์ที่แท้จริง แต่ที่น่าสังเกตคือทั้ง 3 ลัทธินี้ไม่เคยมีประวัติเกิดความขัดแย้งรุนแรงถึงขั้นทำสงครามระหว่างกัน แต่ฝ่ายที่โดนรุมทำลายจากลัทธิเหล่านี้คือมุสลิมซุนนะฮฺ ที่น่าแปลกประหลาดมากกว่านี้คือ ลัทธิเหล่านี้ไม่เคยสร้างความลำบากใจแก่ชาวยิว คริสเตียน นักรบตาตาร์ นักรบมองโกเลียที่เคยรุกรานอาณาจักรอิสลามแม้แต่น้อย อาจกล่าวได้ว่าพวกเขาไม่เคยทำสงครามอย่างจริงจังกับชนชาติเหล่านี้เลย และชนชาติเหล่านี้ก็ไม่เคยทำสงครามอย่างจริงจังกับกลุ่มลัทธินี้เช่นกัน กลุ่มเดียวที่กลายเป็นเหยื่อของความโหดร้ายของลัทธิทั้ง 3 และชนชาติเหล่านั้นคือประชาชาติมุสลิมซุนนะฮฺ อัลลอฮุลมุสตะอาน
ถึงกระนั้นก็ตาม ในช่วงเวลาดังกล่าว กลุ่มลัทธิทั้ง 3 นี้ยังไม่สามารถสถาปนารัฐอิสระได้ พวกเขาเป็นเพียงเม็ดทรายในรองเท้าที่คอยสร้างปัญหากับการรุดหน้าของอาณาจักรอิสลามมาโดยตลอด แต่เมื่อถึงปลายศตวรรษที่ 3 ฮิจเราะฮฺและต้นศตวรรษที่ 4 ฮิจเราะฮฺ ทุกอย่างได้เปลี่ยนไป และได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของตำนานแห่งความเศร้าโศกของประชาชาติอิสลามนับแต่นั้นมา
ในกลุ่ม 3 ลัทธินี้ ลัทธิแรกที่สามารถก้าวมีอำนาจทางการเมืองและสถาปนาเป็นอาณาจักรอิสระคือ ลัทธิเกาะรอมิเฏาะฮฺ พวกเขาสถาปนาอาณาจักรเกาะรอมิเฏาะฮฺครั้งแรกที่เยเมน ภายใต้การนำของจอมโหด นายรุสตัม บินหะซัน และสามารถขยายอิทธิพลไปถึงมอร็อกโค แต่ก็ล่มสลายไปในระยะเวลาอันสั้นๆ จนกระทั่งพวกเขาสามารถสถาปนารัฐอิสระอีกครั้งในบริเวณภาคตะวันออกของคาบสมุทรอาหรับแถบบริเวณประเทศบาห์เรนและดินแดนใกล้เคียงในปัจจุบัน ภายใต้การนำของหัมดาน ก็อรมัฏในปี 320 ฮ.ศ.
การกำเนิดรัฐเกาะรอมิเฏาะฮฺแถบบริเวณคาบสมุทรอาหรับ ได้สร้างความเดือดร้อนอันใหญ่หลวงแก่ประชาชาติมุสลิม ด้วยความเชื่อที่ผิดเพี้ยนและการปลูกฝังแนวคิดสุดโต่ง พวกเขาได้เข่นฆ่า ปล้นสะดม ฉุดกระชากสตรีไปทั่วทุกหย่อมหญ้า ที่โหดร้ายที่สุดคือโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นในปี 317 ฮ.ศ. เมื่อพวกเขาบุกไปจู่โจมมัสยิดหะรอมและเข่นฆ่าผู้คนที่กำลังเฏาะวาฟ พร้อมทั้งยึดหินดำ(อัลหะญะรุลอัสวัด) พาไปที่เมืองหลวงของเขาแถบภาคตะวันออกของคาบสมุทรอาหรับ หินดำอยู่ภายใต้ครอบครองของกลุ่มลัทธินี้นานถึง 22 ปี จนกระทั่งถูกส่งคืนไปยังกะอฺบะฮฺอีกครั้งในปี ฮ.ศ. 339
…………..
………….
มีต่อครับ (อาณาจักรอิสมาอีลียะฮฺที่มอร็อกโค และฟาฏิมียะฮฺที่อิยิปต์)