หลังการเสียชีวิตของหะซัน อัสกะรีย์ อิมามคนที่ 11 กลุ่มนี้เกิดภาวะตีบตันทางการเมือง จึงหาทางออกด้วยการสร้างละครอวตารอิมามมะฮฺดีย์ขึ้นมา โดยอุปโลกน์เด็กชายมุฮัมมัด บินหะซันอัสกะรีย์เป็นอิมามมะฮฺดีย์ ตามบทถูกกำหนดไว้ว่าเด็กคนนี้ไม่ตาย เพียงแต่หายตัวในถ้ำสิรด้าบ และจะกลับมาปกครองโลกอีกครั้ง
พวกเขาอ้างว่าท่านนบีฯได้สั่งเสียรายชื่ออิมามทั้ง 12 คนอย่างครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว แต่บรรดาเศาะฮาบะฮฺได้ปกปิดคำสั่งเสียนี้ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงหุก่มว่าบรรดาเศาะฮาบะฮฺเป็นกาฟิร ยกเว้นจำนวนไม่เกิน 13 คนเท่านั้น พวกเขาจึงเอาระบบที่ว่าด้วยการสืบสันตติวงศ์ของชาวเปอร์เซียมาใช้เป็นกฎมณเฑียรบาลในการแต่งตั้งบรรดาอิมาม และเชื่อว่ากฎนี้เป็นส่วนหนึ่งของคำสอนในศาสนา พวกเขายังเชื่อว่าบรรดาอิมามมีวาจาศักดิ์สิทธิ์ ไร้มลทิน บริสุทธิ์ผ่องแผ้วปราศจากการทำบาปทั้งมวล คำพูดของบรรดาอิมามเทียบเท่าฐานะของอัลกุรอานและหะดีษ คำวินิจฉัยของบรรดาอิมามจึงเป็นที่สิ้นสุดและเป็นต้นกำเนิดของกฎหมายต่างๆ ตามหลักศาสนบัญญัติ อิมามโคไมนี่ได้เคยกล่าวว่า “ความจำเป็นสูงสุดในมัซฮับของเราที่ทุกคนต้องเชื่อถือคือ บรรดาอิมามของเรามีฐานะที่สูงส่งที่ไม่มีใครสามารถบรรลุได้ แม้กระทั่งบรรดามะลาอิกะฮฺผู้ใกล้ชิดและนบีที่ถูกประทานมาก็ตาม” ด้วยเหตุนี้ของพวกเขาจึงทำตนเป็นศัตรูกับเศาะฮาบะฮฺโดยรวม ยกเว้นบางคนที่นับได้เพียงหยิบมือเดียวเท่านั้น
หากถามยิวว่า ใครคือผู้ประเสริฐสุดในศาสนาของพวกท่าน ยิวคงตอบว่าสหายของนบีมูซา หากถามคริสเตียนว่า ใครคือผู้ประเสริฐสุดในศาสนาของพวกท่าน คริสเตียนคงตอบอย่างไม่ลังเลว่าสหายของนบีอีซา แต่หากถามรอฟิเฎาะฮฺว่า ใครคือผู้ที่ชั่วช้าสามานย์ที่สุดในประชาชาติของนบีมุฮัมมัด พวกเขาต้องตอบอย่างทันควันว่า สหายของนบีมุฮัมมัดและภรรยาของท่านแน่นอน
ไม่เพียงบรรดาเศาะฮาบะฮฺเท่านั้น แต่พวกเขายังไม่ยอมรับอุลามะอฺของชาวซุนนะฮฺทุกคน พวกเขาปฏิเสธตำราหะดีษที่ชาวซุนนะฮฺยึดถือ ดังนั้นตำราหะดีษและแหล่งอ้างอิงทางศาสนาต่างๆ ไม่ว่า บุคอรี มุสลิม ติรมีซีย์ นะวาวีย์ อะบูหะนีฟะฮฺ มาลิก ชาฟิอีย์ อิบนุฮัมบัล อิบนุกะษีร วมุฮัมมัด อัลฟาติฮฺ เศาะลาฮุดดีน อัยยูบี และคนอื่นๆ จึงไม่มีคุณค่าใดๆ และไม่อยู่ในสารบบของอารยธรรมอิสลามตามทัศนะของพวกเขาแม้แต่น้อย
ประการเดียวที่เป็นแหล่งอ้างอิงอันศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาก็คือ คำพูดของบรรดาอิมาม ทั้งที่มาจากคำพูดของอิมามเองหรือมีการกล่าวอ้างว่าเป็นคำพูดของอิมาม และด้วยอาศัยแหล่งเดียวนี้ คำสอนของพวกเขาจึงอุดมด้วยอุตริกรรมทางศาสนามากมาย ทั้งในประเด็นอะกีดะฮฺ อิบาดะฮฺ มุอามะลาต และอัคลาก
เรื่องราวต่างๆที่อุปโลกน์ขึ้นมาไม่ว่าเรื่องตะกียะฮฺ การฟื้นคืนชีพบนโลก จุดยืนต่อเศาะฮาบะฮฺ และภรรยาท่านนบี ความเชื่อที่ว่าด้วยอัลกุรอานถูกบิดเบือน อะกีดะฮฺที่อคติกับอัลลอฮฺ อุตริกรรมที่กุโบร์ สถานบูชาในพิธีกรรมต่างๆ รวมทั้งบิดอะฮฺวันที่ 10 มุฮัรรอม และอื่นๆอีกมากมายร้อยพันประการล้วนแล้วมาจากคำพูดของบรรดาอิมามที่อยู่เหนือการพิสูจน์และพิจารณาตามหลักวิชาการทั่วไป
นี่คือเสี้ยวหนึ่งของความเชื่อของลัทธิชีอะฮฺอิมาม 12 ซึ่งยังมีสารพัดความเชื่อที่แตกหน่อแยกกอ ออกไปเป็นลัทธิต่างๆ โดยเฉพาะยุคที่เรียกว่า ยุคแห่งการตีบตันทางการเมืองของกลุ่มรอฟิเฎาะฮฺซึ่งเกิดขึ้นกลางศตวรรษที่ 3 ฮิจเราะฮฺภายหลังการเสียชีวิตของ หะซัน อัลอัสกะรีย์
นับแต่นั้นมา ตำรับตำราต่างๆ ตาม
แนวคิดนี้ จึงถูกเขียนมามากมาย เพื่อผดุงแนวคิดของตนและเผยแพร่ไปยังดินแดนแถบเปอร์เซียโดยเฉพาะและประเทศในโลกอิสลามโดยรวม ถึงกระนั้นก็ตาม พวกเขายังไม่สามารถสร้างรัฐเป็นของตนเอง จนกระทั่งปลายศตวรรษที่ 3 ฮ. และต้นศตวรรษที่ 4 ฮ. ประวัติศาสตร์อิสลามได้ถลำเข้าไปสู่จุดที่อันตรายสุดๆ ทั้งนี้เนื่องจากลัทธินี้ได้ก่อร่างสถาปนารัฐเป็นของตนเองในดินแดนต่างๆที่อยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรอิสลาม และได้วิวัฒนาการเป็นหอกข้างแคร่ที่คอยทิ่มแทงความเจริญเติบโตของอาณาจักรอิสลามตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ประชาชาติอิสลามถูกผลักไสไล่ส่งสู่ก้นเหวที่เต็มไปด้วยภยันตรายโดยฝีมือของกลุ่มลัทธิที่แอบอ้างว่ารักและเชิดชูวงศ์วานนบีที่สุด
ติดตามเรื่อยๆ ครับ