บทความ บทความวิชาการ

ขุดโคตรรอฟิเฎาะฮฺ ตอนที่ 4

เมื่อหามุกเดิมๆไม่ได้ กลุ่มนี้จึงสรรหาวาทกรรมใหม่เพื่อยืดอายุในการเดินหน้าตามแผนการณ์ที่ได้วางไว้ ตัวละครใหม่ที่ได้รับการเลือกเฟ้นให้ปรากฎบนเวทีช่วงนี้คือ อิมามมะฮฺดีย์ และบุคคลที่เหมาะสมที่จะได้รับการสวมโขนอิมามมะฮฺดีย์ก็คือชายน้อย อายุ 5 ขวบ ที่หายตัวลึกลับพร้อมๆกับนวนิยายภาคแปลกพิศดารซึ่งเต็มไปด้วยอิทธิฤทธิ์อภินิหารพิลึกกึกกือชนิดหนังละครบทอภินิหารต่างๆ ต้องชิดซ้ายไปเลย ส่วนเนื้อหาจะมีความตื่นเต้นเร้าใจเพียงใด ท่านผู้อ่านสามารถค้นอ่านในตำราที่เกี่ยวข้องได้ไม่ยากเย็น

มหากาพย์อิมามมะฮฺดีย์ตามความเชื่อของกลุ่มนี้ จึงกลายเป็นที่มาของหลักคำสอนที่บิดเบือนและผิดเพี้ยนจากคำสอนของอิสลามที่ถูกต้อง และนี่คือแกนคำสอนของลัทธิชีอะฮฺอิมาม 12 ที่แผ่อิทธิพลอย่างกว้างขวางในโลกมุสลิมปัจจุบัน
พวกเขาเชื่อว่าอิมามมี 12 ท่านเท่านั้นคือ
1) อะลี บินอะบูฏอลิบ
2) หะซัน บินอะลี
3) หุเซ็น บินอะลี
4) อะลี ไซนุลอาบิดีน
5) มุฮัมมัด อัลบากิร
6) ญะฟัร อัศศอดิก
7) มูซาอัลกาซิม
8) อะลี อัรริฎอ
9) มุฮัมมัด อัลเญาววาด
10) อะลี อัลฮาดี
11) หะซัน อัสกะรีย์
และ 12) มุฮัมมัด บินหะซันอัสกะรีย์

การจำกัดอิมามเพียง 12 ท่านถือเป็นปัญหาอันใหญ่หลวงและเป็นชนักปักหลังที่คอยทิ่มแทงลัทธินี้ตลอดเวลา เพราะพวกเขาเริ่มนับอิมามคนแรกจากท่านอะลี หาใช่เราะซูลุลลอฮฺไม่ และเป็นที่ทราบกันดีว่าอะลีได้รับการแต่งตั้งเป็นเคาะลีฟะฮฺหลังจากที่เราะซูลุลลอฮฺเสียชีวิตไปแล้ว เกือบ 26 ปี เป็นไปได้หรือที่อะลีคนเดียวจะแบกรับสาสน์แห่งอิสลามทั้งหมดเพื่อถ่ายทอดให้แก่วงศ์วาน ช่วงเวลาของการเกิดภาวะสูญญากาศทางผู้นำนี้ ท่านผู้อ่านลองคิดดูว่า ใครเล่าที่เป็นอิมามของประชาชาติมุสลิม ใครเล่าที่โบกสะบัดธงอิสลามให้ขจรขจายไปทั่วทุกมุมโลก การเป็นยุคที่ประเสริฐสุดของประชาชาตินี้ตามคำบอกเล่าของเราะซูลุลลอฮฺถูกลอยแพอย่างโดดเดี่ยวไร้ผู้นำถึงระดับนี้เชียวหรือ

แต่ถ้ารวมเราะซูลุลลอฮฺเป็นอิมามคนแรก ละครเรื่องนี้ก็คงจบตั้งแต่ต้น เพราะจะไปจบสิ้นไปที่อิมามคนที่ 11 เท่านั้น แสดงว่าอิมามมะฮฺดียังไม่เกิดขึ้นบนโลกนี้ ซึ่งก็ขัดแย้งกับหลักอะกีดะฮฺของลัทธินี้

ในเมื่อพวกเขาเกิดภาวะความอับจนและเจอทางตันไม่ว่าในมิติทางศาสนาและปัญญา พวกเขาจึงไม่มีช่องทางอื่นยกเว้นมิติที่ 3 มาหักล้างกันและกลายเป็นตัวกำกับทิศทางความอยู่รอดของตนเอง นั่นคือมิติแห่งอารมณ์ใฝ่ต่ำและกิเลสตัณหา
ลัทธินี้มีความเชื่อว่า อิมามสิ้นสุดลงที่อิมามคนที่ 12 เท่านั้น เขาผู้นี้คืออิมามมะฮฺดีย์ผู้ถูกรอคอย และเป็นคนเดียวกันกับเด็กชายมุฮัมมัด บินหะซันอัสกะรีย์ ที่เชื่อกันว่าเขาไม่ตาย แต่ไปปลีกวิเวกแค่ 40 วันเท่านั้น เมื่อเวลาล่วงผ่านไป ก็เขียนบทใหม่ว่าเป็น 40 เดือน 40 ปี จนกระทั่งมีการแบ่งช่วงการหายตัวเป็น 2 ช่วงด้วยกัน คือการหายตัวแบบชั่วคราวและการหายตัวอย่างยาว การหายตัวในช่วงแรกเพราะสาเหตุมาจากกลัวกับการไล่ล่าของรัฐบาลอับบาสิยะฮฺ ทั้งๆที่ในตำราอ้างว่าเด็กคนนี้มีอิทธิฤทธิ์ผิดมนุษย์มนา ขนาดอยู่ในครรภ์มารดาและช่วงคลอดออกมาลืมตาดูโลกก็ผิดวิสัยมนุษย์ธรรมดาแล้ว ครั้นพอคลอดออกมา ก็มีมะลาอิกะฮฺคอยปกป้องจากเพทภัยทั้งปวง แต่เหตุไฉนกลับต้องซุกซ่อนหลบภัยเข้าไปในถ้ำสิรด้าบนานกว่า 1000 ปีมาแล้ว ปัจจุบันลัทธินี้มีประเทศที่เข้มแข็งและมีกองกำลังทางทหารที่มีประสิทธิภาพคอยปกป้อง ซึ่งมีศักยภาพพอที่จะรักษาความปลอดภัยแก่อิมามมะฮฺดีได้ จึงน่าจะปรากฎตัวได้แล้ว

แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เห็นโผล่มาสักที
ท่านผู้อ่านเคยได้ยินนวนิยายแนวอวตารในศาสนาไหนบ้างที่มีผู้คนรอคอยการกลับมาของผู้นำนานนับพันปีเหมือนคำสอนที่ปรากฎในลัทธินี้

แนวคิดเรื่องอิมามะฮฺ(การเป็นผู้นำ) การอวตารลงมาของอิมามมะฮฺดี จุดยืนต่ออัลกุรอาน หะดีษ บรรดเศาะฮาบะฮฺและภรรยาท่านนบี ความเชื่อในความบริสุทธิ์ของบรรดาอิมาม ได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่เกิดคำสอนอันบิดเบือนต่างๆ ซึ่งได้รับการหลอมรวมจากศาสนายิว คริสเตียน โซโรแอสเตอร์ พุทธ ฮินดู พราหมณ์ หรือแม้กระทั่งศาสนายุคอิยิปต์โบราณหรือยุคกรีกโรมันในอดีตกาล คำสอนเหล่านี้ถูกคลุกเคล้าผสมผสานกับคำสอนอิสลามจนกลายเป็นเนื้อเดียวกันอย่างแยกไม่ออก ทั้งๆ ที่อิสลามไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคำสอนอันบิดเบือนเหล่านี้เลย แม้กระทั่งอิมามทั้ง 12 คนก็ไม่เคยมีหลักอะกีดะฮฺและชะรีอะฮฺที่ผิดเพี้ยนจากคำสอนของอิสลามแม้แต่น้อย

มีต่อครับ