แอร์โดฆานกล่าวสุนทรพจน์เปลี่ยนประวัติศาสตร์ ว่าด้วย “มัสยิดอายาโซเฟีย” ฉบับแปลคำต่อคำ
ขึ้นแท่นสุนทรพจน์ยอดเยี่ยมแห่งศตวรรษ ประกาศตัวตน อุดมการณ์และวิสัยทัศน์ และข้อมูลประวัติศาสตร์เชิงลึกชนิดอ่านมาทั้งชีวิตก็ยากจะพบเจอ
สุนทรพจน์ที่ยาวเหยียด แอร์โดฆานประกาศชัดเจน จะสืบทอดอุดมการณ์และวิสัยทัศน์ออตโตมัน ต่อศาสนา โลกมุสลิม ประชาชาติอิสลามและมนุษยชาติ มิตรและศัตรู พร้อมยกย่องสรรเสริญสุลต่านออตโตมัน และวิพากษ์รัฐบาลอะตาเติร์กว่าทรยศ ทำผิดกฎหมาย
หลังจากศาลตุรกีในการยกเลิกการตัดสินใจของคณะรัฐมนตรีในยุคอะตาเติร์กซึ่งเปลี่ยนอายาโซเฟียจากมัสยิดเป็นพิพิธภัณฑ์ หลังจากที่ศาลมีคำสั่งคืนสภาพอายาโซเฟียกลับไปเป็นมัสยิด อีกครั้ง เมื่อวันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม 2020 ประธานาธิบดีตุรกีกล่าวสุนทรพจน์เปลี่ยนประวัติศาสตร์ในทันที
เจ้าชายโอรฮาน อุสมานอูฆโล สายสกุลสุลต่านออตโตมันพอใจอย่างยิ่ง โพสต์เฟสบุ๊คระบุ ” วัตถุประสงค์บรรลุแล้ว ขอให้ความพอใจของอัลเลาะห์บังเกิดแก่ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่าน”
และทันทีเช่นกัน หลังจากนั้น ทนายความ Pinar Akbina ตัวแทนพรรคปลดปล่อยประชาชน ( HKP ) ประจำอิสตันบูล ได้ยื่นฟ้องประธานาธิบดีตุรกีในวันอาทิตย์ 26/7/2020 ในความผิดฐาน “ละเมิดและโจมตีอะตาร์เติร์ก ” จากการที่แอร์โดฆานออกแถลงการณ์ หลังจากศาลเปิดมัสยิดอายาโซเฟียเพื่อการประกอบศาสนกิจอีกครั้ง
แอร์โดฆานก้าวสู่ความเสี่ยงทางการเมืองอีกครั้ง หลังจากที่เคยติดคุกในข้อหานี้มาแล้วในยุคดำรงดำแหน่งนายกเทศมนตรีกรุงอิสตันบูล
งานนี้ เกมส์ออฟโทรน หมากแต่ละตา บอกได้เลยว่า แอร์ทูฆรุลอยู่เบื้องหลัง เกมส์ออตโตมันทวงบัลลังก์
ไม่แปลกที่บรรดาอุลามาอ์และองค์กรศาสนาอิสลามทั่วโลกออกมาตอบรับกันอย่างพร้อมเพรียง
ข้อความต่อไปนี้เป็นข้อความที่เกือบสมบูรณ์แบบของวาทะประธานาธิบดีแอร์โดฆาน
เราวางแผนที่จะเปิดอายาโซเฟียเพื่อประกอบศาสนกิจในวันที่ 24 กรกฎาคมนี้ โดยมีการละหมาดวันศุกร์ในวันนั้นและค่าธรรมเนียมแรกเข้าสู่มัสยิดจะถูกยกเลิกหลังจากยกเลิกการเป็นพิพิธภัณฑ์
วันนี้ศาลปกครองสูงสุดล้มคว่ำมติคณะรัฐมนตรีเมื่อปี 1934 ซึ่งตัดสินใจเปลี่ยนอายาโซเฟียในอิสตันบูลจากมัสยิดเป็นพิพิธภัณฑ์
ในความเป็นจริง การตัดสินใจในช่วงระยะเวลาการปกครองของพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียวในปี 1934 ไม่เพียงแต่เป็นการทรยศต่อประวัติศาสตร์เท่านั้น แต่ยังผิดกฎหมายอีกด้วย เพราะอายาโซเฟียไม่ได้เป็นทรัพย์สินของรัฐหรือสถาบันใด ๆ มันเป็นทรัพย์สินของการบริจาคของสุลต่านมุฮัมมัด อัลฟาติห์
ด้วยคำตัดสินของศาล สถานที่ดังกล่าวก็ได้กลับสู่สถานะมัสยิดอีกครั้ง ใช่ หลังจาก 86 ปี จะกลับไปเป็นมัสยิดตามที่ระบุไว้ในการบริจาคของสุลต่านมูฮัมมัด อัลฟาติห์
กระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวตุรกีและประธานฝ่ายศาสนาของประเทศได้เริ่มการเตรียมการที่จำเป็นในกรอบนี้ทันที
ข้อบกพร่องบางอย่างจะหลีกเลี่ยงให้มากที่สุด เนื่องจากการเตรียมการบางอย่างจะเกิดขึ้นภายในหกเดือน อินชาอัลลอฮ์ เราจะทำมันให้เสร็จในช่วงเวลานั้น และแน่นอนเราเตรียมการ
ผู้ใดจะมา ก็ขอให้มา ทั้งมุสลิม ไม่ใช่มุสลิมและคริสเตียน เมื่อพวกเขาทั้งหมดมา จะเห็นว่าที่เป็นอยู่ที่นี่ไม่เหมือนกับว่าๆกัน ในทางตรงกันข้ามเราจะนำเสนอตัวอย่างที่ดีที่สุดแก่พวกเขาในการถ่ายโอนมรดกที่เราได้รับจากบรรพบุรุษของเราไปสู่อนาคต
อายาโซเฟียจะยังคงเป็นมรดกของมนุษยชาติโดยทั่วไป จะเปิดประตูต้อนรับชาวมุสลิมและไม่ใช่มุสลิม รวมถึงมัสยิดทั้งหมดของเรา ที่จะต้อนรับทุกคนต่อไปอย่างจริงใจ เราขอเรียกร้องให้ทุกคนเคารพการตัดสินใจของหน่วยงานตุลาการและฝ่ายบริหารในตุรกี
จุดยืนใด ๆ ที่อยู่นอกเหนือการแสดงความคิดเห็นถือเป็นการละเมิดอธิปไตยของเรา
สิทธิในการดำเนินการกับอายาโซเฟียนั้นเกี่ยวข้องกับอำนาจอธิปไตยของตุรกี และเรายอมรับมุมมองระดับนานาชาติในประเด็นนี้ แน่นอนว่าเราเข้าใจความคิดเห็นทั้งหมดที่แสดงในเวทีระหว่างประเทศในเรื่องนี้ ยกเว้นว่าจุดประสงค์ที่จะใช้สถานที่นั้นเกี่ยวข้องกับสิทธิของอธิปไตยของตุรกี ดังนั้น การเปิดให้นมัสการผ่านการแก้ไขกฎหมายเป็นสิทธิอธิปไตยของประเทศของเรา ตุรกีไม่ยุ่งเกี่ยวกับสิ่งที่ประเทศอื่น ๆ ทำกับสถานที่เคารพสักการะทางศาสนา
ด้วยเหตุนี้ เราจะรอความเข้าใจแบบเดียวกันจากประเทศต่างๆ เกี่ยวกับการสงวนสิทธิ์ทางประวัติศาสตร์และทางกฎหมายของตุรกี ที่สิทธิเหล่านี้ไม่ย้อนกลับไป 50 ปี หรือ 100 ปี แต่เป็น 567 ปี
และถ้าการถกเถียงในวันนี้มุ่งเน้นไปที่ความเชื่อ ก็ไม่ควรเป็นกรณีอายาโซเฟีย แต่เป็นการต่อต้านศาสนาอิสลามและเกลียดกลัวชาวต่างประเทศที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกวันทั่วโลก
ข้าพเจ้าขอย้ำว่า การตัดสินใจนั้นเกี่ยวข้องกับกฎหมายภายในและสิทธิทางประวัติศาสตร์ของเราเท่านั้น และขอบคุณทุกคน ทุกพรรคการเมือง ผู้นำทางการเมืองและองค์กรประชาสังคมที่ให้การสนับสนุนการตัดสินใจครั้งนี้
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ตุรกีมีสิทธิ์แปลงอายาโซเฟียเป็นมัสยิดตามข้อกำหนดของเอกสารสัญญาวะกัฟ ดูที่ภาพข้างหลัง จะเห็นเอกสารสัญญาดังกล่าวอย่างชัดเจน มันคือสัญญาวะกัฟของสุลต่านมุฮัมมัด อัลฟาติห์ สาระของสัญญาเหล่านี้เป็นหลักอ้างอิงของเรา
เราไม่ลืมว่ามีโบสถ์และธรรมศาลามากกว่า 453 แห่งในตุรกี ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงการรับรู้ของเราว่า เรายอมรับในความแตกต่าง ที่ช่วยให้เรายิ่งพัฒนามากขึ้น
แน่นอนว่า แนวคิดแบบเดียวกันนี้ ซึ่งต่อต้านการฟื้นฟูมัสยิดอายาโซเฟีย อาจมีข้อเสนอให้เปลี่ยนมัสยิดสุลต่านอาหมัดอัญมณีของมัสยิดอิสตันบูลเป็นพิพิธภัณฑ์เช่นกัน ความคิดนี้ในอดีตอยากให้มัสยิดสุลต่านอาหมัดเป็นนิทรรศการภาพถ่าย พระราชวัง ยิลดิซ Yildiz Palace เป็นสถานพนัน และอายาโซเฟียเป็นชมรมดนตรีแจ๊ส และพวกเขาได้ทำสิ่งเหล่านี้ไปแล้วบางส่วน
มุมมองนี้ ซึ่งเป็นบรรทัดฐานมาตลอดทุกยุคสมัย ไม่มีอะไรนอกจากการปรากฏตัวของแนวความคิดต่อต้านความเป็นสมัยใหม่ ที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความทันสมัยที่เรียกว่าสมัยใหม่ และสนับสนุนให้ปิดนครวาติกันและเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ พร้อมเปลี่ยนอายาโซเฟียเป็นพิพิธภัณฑ์ ล้วนเป็นผลงานของตรรกะเดียวกัน
ดังนั้น เราจึงไม่แปลกใจ ถ้าในอนาคตอันใกล้ คนเหล่านี้จะเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงกะอ์บะหซึ่งเป็นศาสนาสถานที่เก่าแก่ที่สุดหรือมัสยิดอัลอักซอเป็นพิพิธภัณฑ์เช่นกัน
หนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ตุรกีที่สว่างที่สุดคือการพิชิตอิสตันบูล และการเปลี่ยนแปลงอายาโซเฟียไปเป็นมัสยิด หลังจากการปิดล้อมเป็นเวลานาน สุลต่านมุฮัมมัด อัลฟาติห์ ก็เข้าสู่อิสตันบูล เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 1453 และตรงไปที่อายาโซเฟีย จากนั้นชาวไบเซนไทน์ที่ต่างตกอยู่ในความกลัวและความวิตกกังวล รอชะตากรรมของพวกเขาในวิหารอายาโซเฟีย แต่สุลต่านกลับให้การรับรองความปลอดภัยในชีวิตและเสรีภาพของพวกเขา
จากนั้นสุลต่านมุฮัมมัด อัลฟาติห์ ก็เข้าสู่วิหารอายาโซเฟีย แล้วปักธงเป็นสัญลักษณ์ของการพิชิตในสถานที่ที่มิห์รอบตั้งอยู่ในปัจจุบัน ยิงลูกศรไปยังทิศของโดมแล้วทำการอะซานครั้งแรกภายในวิหาร แล้วย้ายไปที่มุมหนึ่งของวิหาร ลงสุญูดขอบคุณแล้วละหมาด 2 ร็อกอัต ซึ่งการปฏิบัติเช่นนี้ถือเป็นการเปลี่ยนวิหารอายาโซเฟียเป็นมัสยิด สุลต่านได้ทำการตรวจสอบไข่มุกแห่งอิสตันบูลอย่างละเอียดจากพื้นถึงเพดาน
นักประวัติศาสตร์ได้รายงานว่า สุลต่านมุฮัมมัด อัลฟาติห์ ได้ท่องบทกวีสองวรรค ขณะที่เขายืนอยู่หน้าซากปรักหักพังที่เกิดขึ้นกับตัวอาคารอายาโซเฟีย
บทกวีกล่าวว่า “แมงมุมทอผ้าม่านในวังของซีซาร์ และนกฮูกปกป้องดูแลหอคอยอัฟราสิยาบ “
นี่คือสภาพเมืองคอนสแตนติโนเปิ้ลและอายาโซเฟียที่พังพินาศขณะที่สุลต่านมุฮัมมัด อัลฟาติห์ เข้าปกครอง
อายาโซเฟียที่สุลต่านมุฮัมมัด อัลฟาติห์ รับมา เป็นอาคารที่ถูกสร้างขึ้นมาเป็นครั้งที่ 3 บนซากปรักหักพังของโบสถ์คริสตจักร 2 หลัง ที่ถูกเผาทำลายในช่วงความวุ่นวาย
สุลต่านมุฮัมมัด อัลฟาติห์ ได้เปิดอายาโซเฟียเพื่อละหมาดวันศุกร์ หลังจากเมืองถูกพิชิตเพียง 3 วัน ด้วยความพยายามอย่างหนัก
ในวันนั้น เมื่อสุลต่านมุฮัมมัด อัลฟาติห์ เข้ามาในมัสยิดพร้อมกับทหารและเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีการต้อนรับด้วยเสียงตักบีร์และซอลาวาต โดยที่อ๊ากชัมสุดดีน กล่าวคุตบะฮ์และเป็นอิหม่ามละหมาดวันศุกร์ในวันนั้น
และเมื่อสุลต่านมุฮัมมัด อัลฟาติห์ พิชิตคอนสแตนติโนเปิ้ล ก็ได้รับฉายาเป็น “จักรพรรดิโรมัน” และเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่จดทะเบียนในนามของราชวงศ์ไบแซนไทน์ และตามกฎนี้ อายาโซเฟียก็จดทะเบียนในนามของมุฮัมมัด อัลฟาติห์และในนามหน่วยทรัพย์วะกัฟที่สุลต่านตั้งขึ้น
และในยุคสาธารณรัฐ ได้มีการออกเอกสารสิทธิ์ให้แก่หน่วยวะกัฟนี้อย่างเป็นทางการในภาษาตุรกีปัจจุบัน เพื่อจดทะเบียนสถานะทางกฎหมาย
ถ้ามัสยิดอายาโซเฟียไม่ใช่กรรมสิทธิ์ของสุลต่านมุฮัมมัด อัลฟาติห์ ก็จะไม่มีสิทธิ์ที่จะอุทิศสถานที่แห่งนี้ให้ถูกต้องตามกฎหมาย
สุลต่านมุฮัมมัด อัลฟาติห์ กล่าวไว้ในเอกสารวะกัฟกว่า 100 หน้า ลงวันที่ 1 มิถุนายน 1453 ต่อไปนี้
“บุคคลใดที่เปลี่ยนแปลงองค์กรทรัพย์วะกัฟนี้ที่ได้เปลี่ยนอายาโซเฟียเป็นมัสยิด หรือเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดข้อหนึ่งข้อใด หรือยกเลิกหรือแก้ไข หรือแม้กระทั่งพยายามที่จะหยุดผลของการวะกัฟเกี่ยวกับมัสยิด ด้วยการคัดค้านหรือทุจริต หรือการตีความที่ผิดวิธี หรือเปลี่ยนต้นหลัก และขัดขวางการใช้ผลประโยชน์ หรือช่วยเหลือและชี้นำผู้ที่ทำเช่นนั้น หรือมีส่วนร่วมกับผู้ที่กระทำการดังกล่าวอย่างผิดกฎหมาย หรือทำให้อายาโซเฟียพ้นสภาพจากการเป็นมัสยิด หรือเรียกร้องสิ่งต่าง ๆ เช่น สิทธิในการเป็นผู้ปกครองดูแลผ่านวิธีการเท็จ หรือยึดครองเป็นกรรมสิทธิ์โดยทุจริต ข้าพเจ้าขอพูดกับทุกท่านว่า เขาได้กระทำสิ่งต้องห้ามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและกระทำบาป
ผู้ใดก็ตามที่เปลี่ยนแปลงวะกัฟนี้ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลหรือกลุ่มคน เขาจะต้องถูกสาปแช่งจากพระเจ้า ศาสนทูต มะลาอิกะฮ์ ผู้ปกครอง และชาวมุสลิมทุกคนตลอดไป
และเราขอให้พระเจ้าไม่ลดหย่อนการทรมาน และไม่มองใบหน้าของพวกเขาในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ
ใครก็ตามที่ได้ฟังคำพูดเหล่านี้ และยังดำเนินการเปลี่ยนแปลง ความผิดของเขาจะตกแก่ผู้อนุญาตให้เปลี่ยนแปลง และพวกเขาทั้งหมดจะได้รับการทรมานจากพระเจ้า และอัลลอฮ์ทรงได้ยินและทรงรู้ “
ใช่ สุลต่านมุฮัมมัด อัลฟาติห์ กล่าวไว้เช่นนั้น และด้วยการตัดสินใจของเราในวันนี้ เราจะรอดพ้นจากโทษฑัณฑ์ของดุอาอ์เหล่านั้น
สุลต่านได้เข้ามาปกป้องและพัฒนาคริสตจักรออร์โธด็อกซ์ซึ่งถูกอัปเปหิจากนิกายคริสเตียนอื่น ๆ
ภายในอาณาบริเวณโดมของมหาวิหารและรั้วกำแพงแห่งนี้ นับตั้งแต่วันนั้น และตลอดระยะเวลา 481 ปี เป็นที่อะซาน การซอลาวาต การตักบีร ดุอาอ์ พิธีคอตัมอัลกุรอาน และการเฉลิมฉลองเมาลิดินนบี
ด้วยการพิชิตครั้งนั้น อิสตันบูลที่มีอายาโซเฟียเป็นสัญลักษณ์ ได้ฟื้นขึ้นมาอีกครั้งหลังจากทรุดโทรมมานานหลายศตวรรษจากแผ่นดินไหว ไฟไหม้ การลักขโมยและการปล่อยปละละเลย
ในฐานะของสุลต่าน มุฮัมมัด อัลฟาติห์ จึงพยายามเพิ่มความสวยงามให้กับอิสตันบูล และวิหารอายาโซเฟียซึ่งเป็นที่รู้จักมานานในฐานะ “มัสยิดแห่งเมืองใหญ่” หลังจากการเพิ่มเติมรอบนอก และได้กลายเป็นมัสยิดที่ให้บริการแก่ผู้ศรัทธาตลอดระยะเวลาอันยาวนาน
อายาโซเฟียผ่านการบูรณะมานับครั้งไม่ถ้วน กว่าจะสวยงามอลังการและเป็นที่ประทับใจของตุรกีในวันนี้
และแม้กระทั่งชื่อของมัน ซึ่งหมายถึง “ปัญญาของพระเจ้า” ก็ยังคงไว้เหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง
จึงเป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่า บรรพบุรุษของเราไม่เพียงแต่จะเปลี่ยนวิหารนี้เป็นมัสยิด หลังจากตกอยู่กับใครซากปรักหักพังและทรุดโทรมในรัฐที่กำลังล่มสลาย พร้อมการฟื้นฟูและยกสถานะ
เป็นที่น่าสังเกตว่าอายาโซเฟียมีสถานะพิเศษในหัวใจของชาวตุรกีตลอดมาทุกยุคสมัย และในใจเรามีความรักเป็นพิเศษสำหรับอายาโซเฟียตั้งแต่เรายังเด็ก
เรามั่นใจว่า เราได้ให้บริการที่ดีต่อคนของเรา โดยการเปิดประตูของอาคารทางวัฒนธรรมแห่งนี้เพื่อการปฏิบัติศาสนกิจและคืนสถานะเดิม
การพิชิตอิสตันบูลนั้นเป็นญิฮาดเล็กๆ สำหรับผู้คน แต่การทำนุบำรุงให้มีชีวิตชีวาต่างหากที่เป็นหนึ่งในญิฮาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
เมื่ออายาโซเฟียถูกสร้างขึ้นในยุคของกรุงโรมตะวันออก วัสดุก่อสร้างถูกนำมาจากเขตชานเมืองของจักรวรรดิ จากอียิปต์ถึงอิซเมียร์ และจากซีเรียไปจนถึง Palexir
สำหรับสุลต่านหลังจากการพิชิต พวกเขานำผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะมาจากอนาโตเลียและรูมิลลี (ดินแดนยุโรปในจักรวรรดิออตโตมัน) มาที่อิสตันบูลเพื่อบูรณะและเสริมสร้างอายาโซเฟียขึ้นมาอีกครั้ง
และสุลต่านออตโตมันก็ใช้ประโยชน์จากมรดกทางวัฒนธรรมที่พวกเขาได้สืบทอดมา
ตัวอย่างที่ดีของเรื่องนี้คือการที่มุฮัมมัด อัลฟาติห์ อนุรักษ์โมเสคของภายในอายาโซเฟียเป็นอย่างดี
โมเสคนี้ยังคงเหมือนเดิมตลอดหลายปีที่ผ่านมา จากนั้นถูกปกคลุมเพื่อปกป้องจากปัจจัยภายนอก และการกระทำนี้สอดคล้องกับสาระสำคัญของศาสนาอิสลามและสิ่งที่ศาสดาแนะนำ เมื่อท่านขอให้ชาวมุสลิมไม่โจมตีและการก่อวินาศกรรมเมื่อเผยแผ่ศาสนา
เมื่อท่านอุมัร์ บินคอตต๊อบ เข้ากรุงเยรูซาเล็ม ท่านรับรองสิทธิของคริสเตียนและชาวยิว และปกป้องสถานที่นมัสการของพวกเขา และตามวิถีทางของรัฐที่บรรพบุรุษก่อตั้งขึ้น ผู้นำของจักรวรรดิออตโตมันได้ดำเนินรอยตามรูปแบบการพิชิตที่สืบทอดมรดกมา
ดังนั้น อายาโซเฟียที่มาถึงทุกวันนี้ หลังจากเวลาผ่านไป 481 ปีแล้ว ยังคงรักษามิห์รอบ แท่นมิมบัร หออาซาน เครื่องหมายราชวงศ์ ภาพวาด แกะสลัก เชิงเทียน พรมและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ
ตลอดประวัติศาสตร์ในอิสตันบูล อายาโซเฟียเป็นสถานที่ที่มีผู้คนพลุกพล่านมากที่สุด เพื่อพบกับฝูงชนเนื่องจากเป็นสถานที่ที่ฝูงชนชมความปลื้มปิติในช่วงวันพิเศษเช่น ตารอเวียะห์ ลัยละตุลกอดร์ และงานเลี้ยง ดังนั้นสิทธิของชาวตุรกีต่ออายาโซเฟียไม่น้อยไปกว่าผู้สร้างยุคแรก
ด้วยการพิชิตอิสตันบูล ทำให้เมืองกลายเป็นเมืองแห่งสันติภาพที่ชาวมุสลิม คริสเตียนและยิว ได้อาศัยอยู่อย่างสันติสุข
ประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นถึงการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ที่เราทำเพื่อความเจริญรุ่งเรือง ความมั่นคง ความสงบสุข และความถ้อยทีถ้อยอาศัยในทุกที่ที่เราไปพิชิต และวันนี้บริเวณข้างๆ มัสยิดของเราในทุกหนแห่งทั่วประเทศจะมีโบสถ์โบราณของศาสนาต่างๆนับพันแห่ง ตั้งอยู่เคียงข้าง
นอกจากนี้ โบสถ์คริสต์และศาสนสถานตั้งอยู่ในชุมชนที่สมาชิกของพวกเขารวมตัวกัน ขณะนี้มีโบสถ์และศาสนสถาน 435 แห่ง ที่เปิดให้ประกอบศาสนกิจในประเทศของเรา ภาพเช่นนี้เราไม่สามารถหาได้ในภูมิภาคอื่น ๆ เป็นการแสดงออกถึงความเข้าใจของเราที่เห็นความแตกต่าง เป็นความมั่งคั่ง แม้ว่าในฐานะชาติ เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาได้
ในยุโรปตะวันออกและภูมิภาคบอลข่านซึ่งชาวออตโตมานถูกบังคับให้อพยพออกมา ศาสนสถานที่บรรพบุรุษของเราสร้างขึ้นมาหลายศตวรรษคงเหลือเพียงไม่กี่แห่ง
แต่สิ่งไม่ดีเหล่านี้ไม่สามารถเป็นตัวอย่างได้ เราจะรักษาอารยธรรมแห่งการสร้างสรรค์ของเราอย่างแข็งขัน
เป็นที่น่าสังเกตว่ากรณีพิพาทเกี่ยวกับอายาโซเฟียนั้น สามารถย้อนกลับไปถึงหนึ่งศตวรรษ ในช่วงเวลาหลายปีที่ อนาโตเลียและอิสตันบูลถูกยึดครอง ได้มีการหารือกันเกี่ยวกับการเปลี่ยนอายาโซเฟียให้เป็นโบสถ์ และก้าวย่างแรกที่สะท้อนถึงเจตนาของหน่วยทหารของฝ่ายยึดครอง คือการตั้งฐานทัพพร้อมอุปกรณ์พรั่งพร้อมที่หน้าประตูอายาโซเฟีย
ในเวลานั้นผู้บัญชาการฝรั่งเศสของหน่วยทหารนี้บอกเจ้าหน้าที่ออตโตมันว่าเขาต้องการตั้งฐานทัพขจที่นี่และทหารตุรกีควรออกจากมัสยิดอายาโซเฟีย
แต่เจ้าหน้าที่ชาวออตโตมันในขณะนั้น พันตรีเตาฟีก เบ ซึ่งถูกมอบหมายหน้าที่ให้ปกป้องอายาโซเฟีย พร้อมกับทหารของเขา พวกเขาบอกกับทหารฝรั่งเศสว่า“ คุณไม่สามารถเข้ามาที่นี่และคุณจะไม่มีวันเข้าไปได้ เพราะสถานที่แห่งนี้เป็นศาสนสถานของเรา และถ้าคุณพยายาม อาวุธหนักเหล่านี้จะให้การตอบสนองครั้งแรก จากนั้นการตอบสนองครั้งที่สองจะมาถึงคุณจากมุมต่าง ๆ ของมัสยิด และหากคุณต้องการเห็นการล่มสลายของอายาโซเฟียบนหัวของคุณก็ลองเข้ามา”
เป็นที่ทราบกันดีว่าชาวต่างชาติมีความสนใจในอายาโซเฟียอย่างต่อเนื่องในหลายปีต่อมา ด้วยเหตุผลข้อแก้ตัวต่าง ๆ เช่น งานฟื้นฟูโมเสก
ในช่วงเวลาของรัฐบาลพรรคเดียว (ในตอนต้นของการก่อตั้งสาธารณรัฐตุรกี) รัฐบาลได้กำหนดพระราชกฤษฎีกา ให้ระยะทางระหว่างมัสยิดอย่างน้อย 500 เมตร เพื่อปิดมัสยิดอายาโซเฟียมิให้มีการปฏิบัติศาสนกิจอีกต่อไป
หลังจากนั้นไม่นานในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 1935 ได้มีการประกาศว่าสถานที่แห่งนี้ถูกดัดแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์และเปิดให้ผู้เยี่ยมชม
ในช่วงหลายปีที่อายาโซเฟียถูกปิดมิให้ปฏิบัติศาสนกิจ มัสยิดถูกเบียดเบียนอย่างหนัก พวกเขาทำลายโรงเรียนอายาโซเฟียซึ่งเป็นโรงเรียนที่สร้างโดยสุลต่านมุฮัมมัด อัลฟาติห์ ข้างอาคารอายาโซเฟีย เป็นสถานศึกษาที่ได้ชื่อว่าเป็นมหาวิทยาลัยออตโตมันแห่งแรก โดยไม่มีเหตุผลใดๆ แล้วพวกเขาก็ตัดพรมที่หายากที่ตกแต่งบนพื้นแล้วแจกจ่ายไปทั่วๆกัน และพวกเขายังนำแท่งเทียนโบราณไปทำลายในที่หลอมละลาย
เช่นเดียวกัน ภาพเขียนที่ยังคงอยู่ในสถานที่ปัจจุบัน ในตอนแรกภาพเหล่านั้นถูกวางไว้ในโกดังเพราะพวกเขาไม่สามารถพาออกไปจากประตู เพราะภาพมีขนาดใหญ่ และก็ถูกนำมาวางอีกครั้งในภายหลังในยุคของพรรคประชาธิปไตย
การทำลายล้างอายาโซเฟียยังไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่นี้ สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการให้อะไรที่เกี่ยวกับอายาโซเฟียเมื่อมันเป็นมัสยิด ใพวกเขาเกือบจะทำลายแม้แต่หออะซาน เพราะหออะซานเล็กของอายาโซเฟียที่สร้างขึ้นในช่วงรัชสมัยของสุลต่านบายาซีด ที่ 2 ถูกทำลายในชั่วข้ามคืนโดยไม่มีหลักเกณฑ์ทางกฎหมายใด ๆ มารองรับ
ดังนั้น เมื่ออิบราฮิม ฮัคกี้ คอนยาลี นักประวัติศาสตร์ นักข่าว และนักดนตรี เห็นว่า คิวต่อไปต้องเป็นมัสยิดอายาโซเฟียแน่ เขาจึงตีพิมพ์รายงานทันทีว่า หออะซานเหล่านี้เป็นสิ่งสนับสนุนโดมของมัสยิด และถ้าหออะซานถูกทำลาย จากนั้นมัสยิดอายาโซเฟียก็จะถูกทำลายตาม และหลังจากนั้นพวกเขาก็ยกเลิกโครงการทำลายหออะซาน
ในช่วงเวลาดังกล่าว มัสยิดและโรงเรียนหลายแห่งประสบภัยพิบัติในลักษณะเดียวกัน
การคืนสภาพมัสยิดอายาโซเฟีย ถือเป็นการฟื้นคืนชีพครั้งใหม่ดังที่เกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งในสถานที่นี้นับตั้งแต่วันก่อตั้งในอดีต
การฟื้นคืนมัสยิดอายาโซเฟียเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงอิสรภาพของมัสยิดอัลอักศอ มันเป็นเสมือนเสียงเท้าของชาวมุสลิมทั่วโลกในการย่ำเดินออกจากยุคของความโดดเดี่ยวเดียวดาย และการฟื้นฟูครั้งนี้ยังเป็นความหวังครั้งใหม่สำหรับผู้ถูกกดขี่ ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ ผู้ถูกสังหารและการล่าอาณานิคมทั่วโลก
และเช่นเดียวกัน การฟื้นฟูอายาโซเฟีย ยังมีความหมายว่า เราในฐานะชาวตุรกี ชาวมุสลิม และมนุษยชาติทั้งมวล เรามีสิ่งที่จะบอกกับโลกว่า เรามีประวัติศาสตร์ของเราเอง ตั้งแต่สมรภูมิบัดร์ ยสมรภูมิมาลาซการ์ Battle of Malazir(ค.ศ.1701) สมรภูมินิโคโปลิส Battle of Nicopolis ( ค.ศ.1396 )ไปจนสมรภูมิแกลิโปลี (ค.ศ.1915) เป็นเครื่องหมายบ่งบอกถึงความมุ่งมั่นของเราที่จะแบกรับมรดกของผู้สละชีพและนักรบของเรา ในอดีตที่ผ่านมา แม้ว่าจะต้องแลกด้วยชีวิตของเราก็ตาม
การฟื้นคืนชีพให้มัสยิดอายาโซเฟีย ไม่มีความหมายอื่นใดนอกจากเป็นการทักทายจากศูนย์กลางไปยังทุกเมืองที่เป็นสัญลักษณ์อารยธรรมของเรา ตั้งแต่เมืองบุคคอรอ(อุซเบกิสสถาน) ไปจนถึงแอนดาลุสเซีย การฟื้นฟูครั้งนี้เป็นภาระหน้าที่ที่จำเป็นสำหรับเราที่มีต่อสุลต่านอาลับ อัรสะลาน (สุลต่านเซลจู๊ก) ถึงสุลต่านมุฮัมมัด อัลฟาติห์ และสุลต่านอับดุลหะมีด ข่าน
นอกจากนี้ การฟื้นฟูอายาโซเฟียในครั้งนี้ ยังเป็นสัญลักษณ์ของการกลับมาอีกครั้งของอาทิตย์อุทัยแห่งอารยธรรมของเราที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความยุติธรรม มโนธรรม จริยธรรม เอกภาพ และภราดรภาพ เป็นอารยธรรมที่ความปรารถนาของมวลมนุษยชาติตั้งตารอ และเป็นการทำลายโซ่ตรวนที่ล่ามตรึงอยู่ที่ประตูของวิหารนี้ และผูกล่ามหัวใจและข้อเท้าของมวลมนุษย์ชาติเอาไว้
การที่อายาโซเฟียซึ่งเป็นภารกิจที่สุลต่านอัลฟาติห์ฝากให้เราดูแล ได้กลับกลายเป็นมัสยิดอีกครั้งหลังจาก 86 ปี ไม่มีความหมายใด นอกจากเป็นการลุกขึ้นสู้ครั้งใหม่ และเป็นการตอบโต้ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการโจมตีที่เลวทรามต่ำช้าต่อคุณค่าอัตลักษณ์ของเราทั่วโลกอิสลาม
ตุรกีในทุกขั้นตอนที่ได้ดำเนินการในช่วงเวลาที่ผ่านมา มีความกระตือรือร้นที่จะเป็นผู้กระทำ ไม่ใช่ผู้ถูกกระทำ ในทุกเวลาและทุกสถานที่
ในการต่อสู้ทางประวัติศาสตร์ที่เราต่อสู้ในฐานะชาติ เราสร้างสะพานจากอดีตสู่อนาคตที่รวบรวมมนุษยชาติทั้งหมด เพื่ออนาคตที่สดใสของอารยธรรมที่เราเป็นตัวแทน
เรามุ่งมั่นที่จะปฏิบัติตามเส้นทางอันศักดิ์สิทธิ์นี้ ด้วยการเสียสละอย่างเต็มที่และต่อเนื่อง หากพระเจ้าประสงค์ โดยไม่หยุดและไม่รู้เหนื่อยจนกว่าจะไปถึงเป้าหมาย
มัสยิดอายาโซเฟียมีสถานะพิเศษในหมู่นักเขียนและกวี นักการทูตและกวีชาวตุรกี Yahya Kemal Beyatli เขียนบทความ ในปี 1922 ว่า
“รัฐนี้มีรากฐานทางศีลธรรมสอง ประการแรกคือการเรียกร้องให้ละหมาดจากหออะซานอายาโซเฟียที่ยังคงได้ยิน
และประการที่สองคือการอ่านอัลกุรอานต่อหน้าผ้าคลุมอันทรงเกียรติ (ผ้าคลุมของพระศาสดาที่วังโตบกาปี ในอิสตันบูล) ที่ยังคงเปล่งประกาย”
ในทำนองเดียวกันกวีและศิลปินตุรกีจำนวนมากได้เขียนประเด็นการห้ามละหมาดในอายาโซเฟีย
บทกวีที่เขียนโดยนักเขียนชาวตุรกี หรือนักร้องเพลงผู้ที่ถือเอาอายาโซเฟียเป็นเครื่องหมายสำหรับการพิชิตอิสตันบูล เช่น นาจิบ ฟาดิล กัสสาคุรก์ Naguib Fadel Kassakurk นักเขียนชาวตุรกี กวีและนักคิด ที่กล่าวว่า
“ผู้ที่หวาดกลัวว่าเติร์กจะยังคงอยู่ในดินแดนนี้ได้หรือไม่ เป็นคนเดียวกันที่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับการเปิดอายาโซเฟียเพื่อประกอบศาสนกิจอีกครั้ง”
และจากบทกวีของนาซีม หิกมัต Nazim Hekmat เมื่อร้องลำนำเกี่ยวกับการพิชิตอิสตันบูล ว่า
“วันยิ่งใหญ่ที่เฝ้ารอของอิสลาม อิสตันบูลเติร์กหลังจากเป็นคอนสแตนติโนเปิ้ลแห่งโรม พิชิตอิสตันบูลในแปดสัปดาห์กับสามวัน สุลต่านแห่งเติร์กขี่ม้าป่า เป็นจอมทัพผู้ท้าทายโลกเข้ามาทางประตูอะเดรนา คือผู้รับใช้ที่ได้รับพระพรจากพระเจ้า สุลต่านผู้พิชิตเมืองดี พระเจ้ามอบพรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดให้แก่เรา เมื่อเขาได้ละหมาดตอนบ่ายในฮาเกียโซเฟีย”
ยิ่งไปกว่านั้น นิฮาน อาซีซ นักประวัติศาสตร์และกวีชาวตุรกี ถูกถามว่า “ถ้าคุณมาที่โลกอีกครั้ง คุณต้องการเป็นอะไร?” เขาตอบว่า “ฉันต้องการเป็นอิหม่ามของอายาโซเฟีย”
คอลีล ไอนาลิเจก นักประวัติศาสตร์ระหว่างประเทศชาวตุรกี กล่าวว่า “ตะวันตกไม่เคยลืมการพิชิตอิสตันบูลหรืออายาโซเฟีย” หมายความว่า ประเด็นของอายาโซเฟียและการพิชิตอิสตันบูลเป็นประเด็นทางการเมืองมากกว่า
ในเรื่องนี้นักเขียนนวนิยายชาวตุรกีบายามิก็พูดว่า “การเปลี่ยนมัสยิดอายาโซเฟียเป็นพิพิธภัณฑ์ ไม่ได้บ่อนทำลายแรงบันดาลใจของคริสเตียนที่มีต่อเมืองอิสตันบูล ในทางตรงกันข้ามกลับเพิ่มความกล้าหาญและความกระตือรือร้น”
อุสมาน ยูกเซล ซัรเดงเจต Osman Yuxel Sardengchet นักเขียนชาวตุรกี กล่าวถึงบทความที่เป็นเหตุให้ถูกพิพากษาประหารชีวิต ในหัวข้อ “อายาโซเฟีย Hagia Sophia”
เขากล่าวว่า
“โอ้ มหาวิหารอายาโซเฟีย ไม่ต้องกังวลลูกหลานของผู้พิชิตจะทำลายเจว็ดทั้งหลายแหล่ พวกเขาจะเปลี่ยนท่านกลับไปเป็นมัสยิดอีกครั้ง พวกเขาจะใช้น้ำตาทำน้ำละหมาด พวกเขาจะก้มกราบระหว่างฝากำแพงของท่าน เสียงตะห์ลีลและตักบีร์จากโดมเสาจะกู่ก้องให้ได้ยินอีกคำรบ และจะเป็นการพิชิตครั้งที่สอง เหล่ากวีจะเขียนเกี่ยวกับมหากาพย์นี้ เสียงอะซานจะดังขึ้นอีกครั้ง รวมถึงเสียงตักบีร์จากหออะซานที่เงียบเหงาน่าสงสารเหล่านั้น ระเบียงของหออะซานของท่านจะเรืองรองด้วยแสงไฟในการแสดงความเคารพต่อพระเจ้าและเกียรติยศของศาสดา จนกระทั่งผู้คนตกอยู่ในความฉงนสนเท่ห์ว่า อัลฟาติห์ฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่อีกครั้งหรือไฉน ทุกสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้น โอ้ อายาโซเฟีย และการพิชิตครั้งที่สองจะเป็นการฟื้นคืนชีพหลังจากความตาย นี่คือสิ่งแน่นอนไม่ต้องกังวล และวันเหล่านี้ใกล้เข้ามา บางทีพรุ่งนี้หรือบางทีอาจจะเร็วกว่า “
ขอบคุณอัลลอฮ์ที่เรามาถึงวันที่กวีผู้นี้ได้รำพึงรำพันไว้ในอดีต
และไม่ต้องสงสัยเลยว่าบทกวีที่ดีที่สุดที่เขียนเกี่ยวกับอายาโซเฟีย มีไว้สำหรับนิฮาล อาเซีย กวีชาวตุรกึ
ข้าพเจ้าขอแสดงความยินดีกับทุกคนอีกครั้งในการพิจารณาคดีครั้งนี้ ซึ่งทำให้อายาโซเฟียเปลี่ยนมาเป็นมัสยิดอีกครั้ง และข้าพเจ้าขอย้ำว่า เราจะเปิดมัสยิดเพื่อนมัสการพร้อมกับรักษามรดกทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติไปพร้อมๆกัน
ดูคลิปต้นฉบับ
อ่านต้นฉบับภาษาอาหรับ
แปลโดย Ghazali Benmad