สะอดฺ บินมุอ๊าซ คนหนุ่มจากเผ่าเอาศฺ มีชื่อเสียงเรื่องการขี่ม้าและความกล้าหาญ คุณพ่อชื่อว่า มุอ๊าซ บินนุอฺมาน ส่วนคุณแม่ชื่อว่า กับชะฮฺ บินติรอฟิอฺ ภรรยาของเขาชื่อว่า ฮินดุน บินติซัมมาก สะอดฺเป็นผู้นำเผ่าบนีอับดุลอัชฮัล
ครั้นเมื่อฑูตอิสลาม คือท่านมุศอับ บินอุมัยรฺ เดินทางไปดะอฺวะฮฺที่ยัษริบ (มะดีนะฮฺ) จนทำให้คนบางส่วนหันมาเข้ารับอิสลาม สะอดฺ บินมุอ๊าซ ซึ่งมีอิทธิพลในเมืองก็ไม่พอใจ ตอนนั้นเขายังไม่ได้รับอิสลาม เขาส่งเพื่อนสนิทคือ อุสัยดฺ บินหุฎ็อยรฺ ไปพบมุศอับซึ่งอยู่กับอัสอัด บินซุรอเราะฮฺ (ญาติของสะอดฺเอง) เพื่อสั่งให้พวกเขายุติการดะอฺวะฮฺ
แต่เมื่อได้สนทนากับมุศอับ อุสัยดฺก็เข้ารับอิสลาม แล้วรีบกลับไปหาสะอดฺ หวังว่าสะอดฺจะได้รับทางนำด้วยเช่นกัน เมื่อเห็นใบหน้าของอุสัยดฺซึ่งเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างชัดเจน สะอดฺก็ถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
อุสัยดฺตอบว่า “ฉันได้คุยกับ 2 คนนั้นแล้ว ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ ฉันไม่เห็นว่าทั้ง 2 คนจะมีปัญหาอะไรเลย ฉันได้ห้ามพวกเขาทั้งคู่ แต่พวกเขาบอกว่า ‘เราจะทำในสิ่งที่ท่านต้องการ’ และฉันได้ยินมาว่าบนีหาริษะฮฺได้ออกตามล่าเพื่อฆ่าอัสอัด บินซุรอเราะฮฺ ทั้งที่พวกเขาก็รู้ว่า อัสอัดเป็นลูกของคุณอา (ญาติพี่น้อง) ของเจ้า ดูเหมือนพวกเขาต้องการละเมิดสัญญาที่มีให้กับเจ้า”
เมื่อได้ยินดังนั้น สะอดฺก็ลุกขึ้นด้วยความโมโห เขาหยิบหอกแล้วออกไปหาอัสอัดและมุศอับ แต่เมื่อสะอดฺเห็นทั้ง 2 คนกำลังนั่งอยู่อย่างสงบ เขาก็รู้ทันทีว่าอุสัยดฺต้องการให้เขามาฟัง 2 คนนี้
สะอดฺยืนประจันหน้ากับทั้ง 2 คนด้วยใบหน้าที่บูดบึ้ง และได้กล่าวกับอัสอัด บินซุรอเราะฮฺ ว่า “สาบานต่ออัลลอฮฺ โอ้อบูอุมามะฮฺ ถ้าไม่ใช่เพราะเราเป็นญาติพี่น้องกัน ฉันจะไม่ปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแน่นอน เจ้ามายังบ้านเมืองของเรา โดยนำสิ่งที่พวกเราไม่ชอบมาด้วย”
มุศอับจึงพูดกับสะอดฺว่า “หากว่าท่านนั่งลงแล้วฟังเราก่อนได้ไหม? ถ้าท่านชอบท่านก็รับมันไว้ แต่ถ้าท่านเห็นว่ามันไม่ดี เราก็จะไม่เอาสิ่งที่ท่านไม่ชอบมายุ่งกับท่านอีก” สะอดฺพูดว่า “ก็ยุติธรรมดี” พร้อมกับวางหอกแล้วนั่งลงยอมรับฟัง
มุศอับนำเสนอคำสอนของอิสลามและได้อ่านช่วงต้นของสูเราะฮฺอัซซุครุฟให้สะอดฺฟัง สะอดฺถามว่า “พวกท่านทำอะไรบ้างเมื่อต้องการเข้ารับศาสนานี้?” มุศอับตอบว่า “อาบน้ำ ทำความสะอาดเสื้อผ้า กล่าวคำปฏิญาณด้วยถ้อยคำที่เป็นสัจธรรม แล้วก็ละหมาด 2 ร็อกอะฮฺ”
สะอดฺรีบทำตามที่มุศอับแนะนำ เขาอาบน้ำ ทำความสะอาดเสื้อผ้า กล่าวคำชะฮาดะฮฺว่า “ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ และมุฮัมหมัดคือบ่าวและศาสนฑูตของพระองค์” และละหมาด 2 ร็อกอะฮฺ จากนั้นเขาก็หยิบหอกแล้วมุ่งตรงไปยังกลุ่มชนของเขา เขายืนอยู่ต่อหน้านบีอับดุลอัชฮัลและพูดขึ้นว่า “โอ้ บนีอับดุลอัชฮัล พวกท่านคิดเห็นอย่างไรกับฉัน?”
พวกเขาตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “ท่านคือผู้นำของเรา เป็นคนที่เราพร้อมเชื่อฟังและปฏิบัติตามความเห็นมากที่สุด และเป็นคนที่เราไว้วางใจมากที่สุดด้วย”
สะอดฺจึงพูดว่า “พวกท่านทุกคน ไม่ว่าชายหรือหญิง ไม่ต้องมาพูดคุยอะไรกับฉันอีก จนกว่าพวกท่านจะศรัทธาต่ออัลลอฮฺและเราะซูลของพระองค์” ปรากฏว่าไม่ทันที่ตะวันจะตกดิน ชายและหญิงบนีอับดุลอัชฮัลทุกคนก็พากันเข้ารับอิสลาม และกลายเป็นมุสลิมและมุสลิมะฮฺโดยพร้อมเพรียงกันทั้งหมด อัลลอฮุอักบัร !!
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ชีวิตของสะอดฺก็เปลี่ยนไป การรับใช้และต่อสู้เพื่ออิสลามคือทางเลือกของเขา
ในสงครามบัดรฺ เมื่อท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ไม่อาจเลี่ยงสงครามได้อีกต่อไป สะอดฺได้เป็นตัวแทนของชาวอันศอร (ชาวเมืองมะดีนะฮฺ) ในการแสดงจุดยืนสนับสนุนท่านนบีอย่างเต็มที่ ในสมรภูมิอุฮุดที่ยากลำบาก เขายืนเคียงข้างเป็นโล่ป้องกันตัวท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ในสงครามค็อนดักที่แสนหฤโหด เขาร่วมปกป้องเมืองมะดีนะฮฺสุดชีวิต และได้รับบาดเจ็บสาหัสเพราะถูกยิงด้วยธนูของหิบบาน บินก็อยสฺ
ในช่วงเวลาที่เมืองมะดีนะฮฺถูกปิดล้อมโกยกองทัพพันธมิตร (อะหฺซาบ) นี้เอง ชาวยิวจากบนีกุร็อยเซาะฮฺก็ได้ละเมิดสัญญา ทรยศต่อท่านนบีและชาวมะดีนะฮฺ พวกเขาเข้าร่วมเป็นภาคีกับชาวกุร็อยชฺ ทั้งที่ได้ทำสัญญากับท่านนบีไว้แล้ว แต่ด้วยความช่วยเหลือของอัลลอฮฺ ชาวมุสลิมสามารถเอาชนะกองทัพพันธมิตรกุร็อยชฺไว้ได้ และท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ก็ได้ยกทัพเข้าปิดล้อมหมู่บ้านของชาวยิวบนีกุร็อยเซาะฮฺ โทษฐานทรยศและละเมิดสัญญามะดีนะฮฺ
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในปี ฮ.ศ.5 ท่านนบีปิดล้อมบนีกุร็อยเซาะฮฺนาน 25 วัน กระทั่งพวกเขายอมจำนน สะอดฺ บินมุอ๊าซ ถูกเลือกให้เป็นผู้พิพากษาตัดสินชะตากรรมของบนีกุร็อยเซาะฮฺ ขณะนั้นสะอดฺกำลังรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ที่เมืองมะดีนะฮฺ เมื่อรู้ว่าท่านนบีกำลังตามหาตัว สะอดฺก็ได้ขอดุอาอ์ว่า “โอ้อัลลอฮฺ โปรดอย่าเพิ่งเอาชีวิตของฉันไป จนกว่าฉันจะจัดการปัญหาระหว่างฉันกับบนีกุร็อยเซาะฮฺเสียก่อน” แล้วเขาก็รีบขี่ลาออกไปยังหมู่บ้านของบนีกุร็อยเซาะฮฺ
ผู้คนบางส่วนพากันรุมล้อมสะอดฺ และคะยั้นคะยอให้เขาทำดีกับบนีกุร็อยเซาะฮฺ สะอดฺพูดว่า “ฉันจะไม่เกรงกลัวการตำหนิใด ๆ ในเรื่องของอัลลอฮฺ” แล้วเขาก็ตัดสินให้ประหารชีวิตผู้ชายจากบนีกุร็อยเซาะฮฺทุกคน ส่วนผู้หญิงให้จับเป็นเชลยศึก และทรัพย์สินของพวกเขาให้แบ่งทรัพย์เชลยแก่ทุกคน ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม กล่าวว่า “ท่านได้ตัดสินด้วยคำตัดสินที่มีอยู่บนฟากฟ้า” บางรายงานระบุว่า “ท่านได้ตัดสินด้วยคำตัดสินของอัลลอฮฺจากเหนือชั้นฟ้าทั้ง 7”
หลังจากเหตุการณ์นั้น สะอดฺได้ขอดุอาอ์ต่ออัลลอฮฺให้บาดแผลของเขานำไปสู่การตายชะฮีด ท่านนบีมาเยี่ยมสะอดฺอยู่บ่อย ๆ ท่านได้ขอดุอาอ์ให้สะอดฺว่า “โอ้อัลลอฮฺ แท้จริงสะอดฺคนนี้ได้ต่อสู้ในหนทางของพระองค์ โปรดรับวิญญาณของเขาด้วยการรับที่ดีที่สุดเถิด”
สะอดฺปรารถนาที่จะให้สิ่งที่เขามองดูในวันสุดท้ายของชีวิตคือ ใบหน้าของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม เขากล่าวกับท่านนบีว่า “อัสสะลามุอะลัยกุม ท่านเราะสูลครับ ขอให้ท่านรับทราบด้วยว่า ฉันปฏิญาณตนยืนยันว่าท่านคือศาสนฑูตของอัลลอฮฺ” ท่านเราะสูลมองไปที่ใบหน้าของสะอดฺแล้วพูดว่า “จงดีใจเถิด โอ้อบูอัมรฺ”
และแล้วสะอดฺก็จากไป เขาเสียชีวิตในปี ฮ.ศ.5 คือประมาณ 5 ปีหลังจากรับอิสลามเท่านั้นเอง ผู้คนต่างโศกเศร้าเสียใจกับการจากไปของเขา ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวในวันที่สะอดฺเสียชีวิตว่า “บัลลังก์ของอัรเราะหฺมานสั่นสะเทือน เพราะการตายของสะอดฺ บินมุอ๊าซ”
อ้างอิง :
1. อัรเราะฮีกุล มัคตูม โดย เชคเศาะฟียุรเราะหฺมาน อัลมุบาร็อกฟูรีย์
ที่มา : GenFa : ประวัติศาสตร์สร้างคนรุ่นใหม่