ตะกอนความคิดรอมฎอน

ควรต้องประเมินภาวะฉุกเฉินในวงจำกัดของมันเท่านั้น

หลายคนโพสต์รูปคนละหมาดที่มัสยิดหะรอมด้วยวิธีทิ้งระยะห่าง เพื่อสนับสนุนความคิดของตนว่า “แล้วทำไมบ้านเราทำเช่นนี้บ้างไม่ได้”

ผมมีข้อสังเกตบางประการดังนี้ครับ
1. เท่าที่ทราบมา มาตรการนี้ใช้เฉพาะมัสยิดหะรอมที่มักกะฮ์และมัสยิดนบีที่มะดีนะฮ์เท่านั้น เช่นเดียวกันกับมัสยิดอัลอักศอที่บัยตุลมักดิส เพื่อธำรงไว้ซึ่งสัญลักษณ์แห่งอิสลามเท่านั้น

2. การละหมาดในรูปแบบนี้ เป็นเหตุในภาวะฉุกเฉินที่มีการพิจารณาในทุกแง่มุมอย่างละเอียดรอบคอบและมีการกำหนดเงื่อนไขอย่างรัดกุมในทุกขั้นตอน ทั้งการควบคุมจำนวนคน การตรวจสุขภาพ และจำกัดการเคลื่อนที่ของผู้ละหมาด ตามหลักชะรีอะฮ์ที่กำหนดว่า “ควรต้องประเมินภาวะฉุกเฉินในวงจำกัดของมันเท่านั้น”
الضرورة تقدر بقدرها

3.หากมาตรการยืนแถวโดยทิ้งระยะห่างได้ผลจริง ทางการน่าจะเปิดโอกาสให้คนทั่วไปละหมาดในมัสยิดอีกนับหมื่นคน ซึ่งเชื่อว่า พื้นที่มัสยิดอันกว้างใหญ่ทั้ง 3 แห่งนี้ น่าจะเพียงพอรองรับผู้คนมากมายโดยใช้วิธีดังกล่าว

4. เท่าที่ทราบ ทางการซาอุฯหรือสำนักกิจการมัสยิดอัลอักศอ อนุญาตให้ละหมาดอย่างมีข้อจำกัดใน 3 มัสยิดนี้เท่านั้น และยังไม่เปิดกว้างให้ละหมาดในระดับประเทศหรือแม้กระทั่งในมัสยิดทั่วนครมักกะฮ์หรือนครมะดีนะฮ์ ทั้งๆที่มีมัสยิดใหญ่โตมากมายและมีอาณาบริเวณที่กว้างขวาง

5. เท่าที่ทราบ ยังไม่เห็นปฏิกิริยาของประชาชนชาวซาอุฯ หรือชาวบัยตุลมักดิส ที่ไม่พอใจกับมาตรการนี้ ยังไม่เห็นชาวมุสลิมที่อาศัยบริเวเณ 3 มัสยิดอันทรงเกียรตินี้ ออกชุมนุมหน้าประตูมัสยิดพร้อมกดดันรัฐบาลและเรียกร้องสิทธิของพวกเขาให้อนุญาตละหมาดในมัสยิดตามปกติหรือใช้วิธีทิ้งระยะห่างตามที่ได้ปฏิบัติมา

6. เข้าใจความหึงหวงของพี่น้องที่จะปกป้องรักษาอัตลักษณ์ของอิสลามให้ดำรงคงอยู่ตลอดไป และความรู้สึกนี้ไม่มีใครถือลิขสิทธิ์เพียงเฉพาะตนหรือกลุ่มตนเท่านั้น เพียงแต่อย่าให้เป็นเพราะความหึงหวงต่อศาสนา ทำให้พี่น้องต้องแสดงอาการวู่วามโวยวาย ใช้คำพูดที่ทิ่มแทงความรู้สึกของคนอีกหลายคนโดยเฉพาะผู้หลักผู้ใหญ่และผู้นำหรือคนเห็นต่าง หากมีความจำเป็นที่จะต้องพูดหรือแนะนำ ก็ควรเลือกสรรคำพูดที่ดีๆ ดึงดูดผู้คนไม่ใช่ขับไล่ไสส่ง นึกถึงผลประโยชน์ในภาพรวม ไม่ใช่คำนึงถึงผลพลอยได้อันฉาบฉวย เพราะมารยาทอันงดงาม คือส่วนหนึ่งที่สำคัญของอัตลักษณ์ในอิสลามเช่นกัน สัจธรรมเป็นของอัลลอฮ์ ผู้รู้มีหน้าที่เผยแพร่และเชิญชวน แต่เขาไม่มีสิทธิ์บังคับให้ผู้คนปฏิบัติตามแม้กระทั่งนบีมูฮัมมัด (ขอความสันติและจำเริญจงมีแด่ท่าน) ที่อัลลอฮ์กำชับเตือนให้ท่านทราบว่า “ ท่านไม่มีอำนาจใดๆที่จะบีบบังคับให้พวกเขาปฏิบัติตาม” (อัลฆอชิยะฮ์/22) เพราะหน้าที่ของท่านคือชี้แนะและเชิญชวน อัลลอฮ์เท่านั้นเป็นผู้คิดบัญชีและให้การตอบแทน

เขียนโดย ผศ. มัสลัน มาหะมะ

ระหว่างอิบาดัตกับอาดัต

คิดจะทำอิบาดัต สิ่งแรกที่ต้องถาม คือ ใครสั่งให้ทำ และคำสั่งมีความถูกต้องแค่ไหน เพราะภาวะดั้งเดิมของอิบาดัต เป็นสิ่งต้องห้าม ยกเว้นสิ่งที่ปรากฏในชะรีอะฮ์ด้วยหลักฐานที่ถูกต้องและชัดเจน

คิดจะทำอาดัต (เรื่องดุนยา) สิ่งแรกที่ต้องถาม คือ ชะรีอะฮ์ห้ามหรือไม่ เพราะภาวะดั้งเดิมของอาดัตเป็นสิ่งที่กระทำได้ ยกเว้นสิ่งที่ชะรีอะฮ์ห้ามด้วยหลักฐานที่ถูกต้องและชัดเจน

อิสลามเข้มงวดเรื่องอิบาดัตและถือว่าเป็นลิขสิทธิ์ของอัลลอฮ์และรอซูลเท่านั้น แต่อิสลามให้อิสระสร้างสรรค์เรื่องดุนยาได้อย่างเต็มที่ ตราบใดไม่ขัดแย้งกับหลักการอิสลาม

ดังนั้นทุกคนต้องเข้าใจหลักการพื้นฐานของอิบาดัตและอาดัตให้ดี

เรื่องอิบาดัต เราต้องมอบหมายให้เป็นเรื่องของอัลลอฮ์และรอซูล เรามีหน้าที่ปฏิบัติตามเท่านั้น เรื่องอาดัต อัลลอฮ์และรอซูลมอบหมายให้เราคิดค้น สร้างนวัตกรรมอย่างสุดความสามารถ ตราบใดที่ไม่ขัดกับหลักการ

อย่าอุตริ คิดค้น สร้างนวัตกรรมในเรื่องอิบาดัต แต่กลับลอกเลียนเรื่องอาดัต โดยไม่คิดที่จะพัฒนาเลย

คนยุคก่อนเขาจะเลียนแบบเรื่องอิบาดัตอย่างเคร่งครัด และสร้างนวัตกรรมเรื่องอาดัตอย่างสุดความสามารถ พวกเขาจึงสามารถครองโลกนี้ได้

ยุคเรา คอยสร้างนวัตกรรมด้านอิบาดัต แต่กลับเฉื่อยชาด้านอาดัต เราจึงถอยหลังเข้าคลอง และถูกทิ้งห่างจากความเจริญ

ขอย้ำ อิบาดัตเป็นเรื่องอัลลอฮ์และรอซูลกำหนด ส่วนอาดัตเป็นสิ่งที่เราต้องพัฒนา

เขียนโดย ผศ.มัสลัน มาหะมะ

ภักดีต่ออัลลอฮ์ที่เข้าใจวิถีของอัลลอฮ์

ในโลกใบนี้ ไม่มีพื้นที่ไหน ประเสริฐยิ่งกว่า มักกะฮ์ มะดีนะฮ์และอัลกุดส์
ในโลกนี้ไม่มีมัสยิดไหนที่ประเสริฐยิ่งกว่ามัสยิดหะรอม มัสยิดนบีและมัสยิดอัลอักศอ

แต่เมื่อเกิดวิกฤตโควิด-19
ทางการไม่อนุญาตเข้ามักกะฮ์ มะดีนะฮ์และอัลกุดส์
แม้กระทั่งคนทั่วไปก็ยังไม่ได้รับอนุญาตเข้าไปใน 3 มัสยิดดังกล่าว
เพราะโรคระบาด เป็นวิถีของอัลลอฮ์ที่มีสาเหตุและวิธีป้องกันที่ชัดเจน

ผู้ใดที่ทำอิบาดะฮ์ต่ออัลลอฮ์ที่ผิดวิสัยวิถีของอัลลอฮ์ เช่นไปละหมาดในดงเสือ ไปซิกิร์ในซ่องโจร
หากเขาโดนเสือขย้ำหรือโดนโจรรุมทำร้าย เขาอย่าไปตำหนิใครยกเว้นตัวเอง

เขียนโดย ผศ.มัสลัน มาหะมะ

อย่าลืมสร้างภูมิให้ตัวเอง ด้วยการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง

# ข้างในก็สำคัญ #

ดุอาอ์ก็แล้ว ใส่หน้ากากก็แล้ว กักตัวในบ้านก็แล้ว
ซื้อของตุนก็แล้ว ล้างมือก็สิบรอบแล้ว
อย่าลืมที่สำคัญมากอีกอย่างนึงเนาะ #ดูแลตัวเองให้แข็งแรง
เราตั้งกำแพงล้อมคอกดิบดี แต่ถ้าทหารของเราอ่อนแอ
ข้าศึกจู่โจมเมื่อไหร่เราก็รอดยาก

อย่าลืมสร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเอง ด้วยการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง อันนี้สำคัญมาก

รู้มั้ย?
อัลลอฮสร้างทหารในร่างกายเรา มีชื่อว่ามิสเตอร์แอนตี้บอดี้
เจ้าทหารกลุ่มนี้มีหน้าที่ดักจับศัตรูที่เรียกว่าเชื้อโรค
และคอยปกป้องไม่ให้ข้าศึกจากภายนอกมารุกราน

ทหารพวกนี้จะมีกลไกสร้างความแข็งแรงให้ตัวเอง
ถ้าเจ้าของประเทศช่วยดูแลแวดล้อมของพวกเค้าให้ดี ด้วยการดูแลตัวเองให้ดี

เพราะฉะนั้น ภารกิจสำคัญไม่แพ้กันตอนนี้คือ
#เราต้องช่วยให้ทหารในร่างกายเราแข็งแรง
ยังไงบ้าง?
ส่วนใหญ่ก็เรื่องเบสิคๆที่ครูสอนตอนอยู่ประถมนั่นล่ะ
หลักพื้นฐานของการกินดีอยู่ดี

#พิถีพิถันเรื่องการกิน กินอาหารดีๆมีประโยชน์ เลี่ยงกินอะไรที่เสี่ยงเกิดโรค
เปลี่ยนหน้ากากทุกวัน แต่ยังกินอาหารขยะ ชาไข่มุกวันสองแก้วงี้
อันนี้ก็ไม่ไหวป่ะ
ช่วงนี้เป็นไปได้ก็ทานผักผลไม้ให้เยอะหน่อย อาจทานวิตามินเสริมเพิ่มไปสวยๆ
กินวิตซี ฮับบะตุสเซาดาอ์ทุกคืนงี้
บำรุงให้ทหารเราแข็งแรง อินชาอัลลอฮน่าจะช่วยได้

#พิถีพิถันเรื่องการนอน พักผ่อนให้เพียงพอ
เอาเข้าจริง ถ้าจะต้องติดตามข่าวสารเพราะกลัวมาก
ชนิดนอนน้อยตาย้อยเพลีย ก็ไม่ไหวเหมือนกันเนาะ
ถ้าเรานอนน้อยพักผ่อนไม่พอ ร่างกายมันก็อ่อนแอลง
เพราะทหารในร่างกายไม่มีเวลาชาร์จพลังงาน เราก็จะป่วยง่ายขึ้น
รู้ข่าวตั้งเยอะแยะมากมาย แต่ร่างกายกลับอยู่ในโหมดพร้อมโดนจู่โจมงี้
อันนี้ก็ไม่ไหว

#พิถีพิถันเรื่องหัวใจ รู้จักปล่อยวางบ้าง
ถ้าเราเสพข่าวมากจนวิตกกังวล แนะนำให้วางลงบ้างก็ได้เนาะ
จำไว้ว่า fear can do more harm than virus
ความกลัวอันตรายกว่าไวรัสมากมาย
เวลาเสพข่าวเยอะ เราจะกลัวมากขึ้น
พอกลัวมาก เราอาจตระหนกมากขึ้น จนพาลวิตกกังวล
และพอกังวลมากเข้า นอกจากทหารเราจะเพลียแล้ว
ฮอร์โมนความสุขในร่างกายก็หลั่งน้อยลง ความเป็นกรดก็เพิ่มขึ้น
พอร่างกายมีกรดเยอะ เราจะป่วยง่ายขึ้น
ไปๆมาๆ ไอ้คนที่รู้เยอะสุดนี่แหละที่จะเสี่ยงติดเชื้อได้ง่ายสุด
ready school China เรียบร้อยโรงเรียนจีน …

#พิถีพิถันเรื่องความสะอาด ล้างมือบ่อยขึ้น ตั้งใจขึ้น
อันที่จริง ไม่ต้องรอโควิดมาเราก็ต้องอยู่สะอาดเนาะ เพราะอิสลามเราเน้นเรื่องนี้มาก
อัลลอฮรักความสะอาด พระองค์รักบ่าวที่สะอาด
ศาสนาเราจึงมีอะไรครอบคลุมเรื่องการดูแลความสะอาดกายและใจเยอะแยะมากมาย

พวกเราถูกสอนให้ล้างมือล้างหน้ากันทุกวัน
ผ่านการเอาน้ำละหมาด วันละตั้ง 5 เวลาเป็นอย่างน้อย
ถ้าเราจริงจังกับสิ่งที่อัลลอฮสั่งใช้นะ
ชีวิตเราจะสวยปลอดโรคแบบไม่ต้องรอโควิดมาไล่ขวิดเลยอ่ะ อันนี้พูดจริง

พูดถึงการเอาน้ำละหมาด มีอย่างนึงที่อยากจะบอกให้เราใคร่ครวญกัน

ถ้าเราตั้งใจเอาน้ำละหมาดจริงๆ
ทำอย่างบรรจงเหมือนตอนนี้ที่เราตั้งใจล้างมือเพราะกลัวเจ้าโควิดนะ
ชีวิตเราคงจะน่ารักขึ้นเยอะเลย
ช่วงนี้เราล้างมือกันอย่างพิถีพิถัน เพราะเรากลัวว่าเจ้าเชื้อโรคจะตกค้าง
แต่ตอนเอาน้ำละหมาด เราจริงจังเบอร์นี้มั้ยนะ?
ทั้งๆน้ำละหมาด มันช่วยกำจัดอะไรได้มากกว่าเชื้อโรคอ่ะ
แต่เรากลับไม่ซีเท่ากลัวโควิด
ถ้าเรากลัวบาปเหมือนที่เราขยะแขยงเชื้อโรคบ้าง คงจะดีเนอะ …
หากเราได้เห็นบาปที่มันร่วงตอนเอาน้ำละหมาด เราคงพิถีพิถันกันทุกคน
บาป..มันสกปรกและอันตรายกว่าเชื้อโรคมากมาย
แต่นั่นล่ะเนาะ..บาปมันเป็นนามธรรมไง เรามองไม่เห็น เราเลยไม่ใส่ใจนัก
แต่กระนั้นเจ้าตัวเชื้อโรคเองเราก็มองไม่เห็นนี่นา
ทำไมเราถึงตั้งใจและกลัวเว่อร์
คงเป็นเพราะเราเชื่ออะเนาะ เราเชื่อว่ามันมีอยู่จริง
ความเชื่อมันมีอิทธิพลต่อการกระทำของมนุษย์มาก
เราจึงลงมือทำและตั้งใจกลัวโควิดกันมากมาย

ถ้าเราเชื่อและตระหนักว่าบาปบุญมีจริงแม้จะมองไม่เห็น
เชื่อว่าชีวิตเราคงเปลี่ยนไปมากอ่ะ
เราคงใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังมากขึ้น เธอว่าจริงมั้ย? …

สุดท้าย ท้ายสุด อยากให้จำไว้เสมอเนาะ
ไม่ต้องเครียดและวิตกเกินไป
โควิด powerful แค่ไหน มันก็เป็นแค่มัคลู้กตัวหนึ่งของอัลลอฮ
มีแสนยานุภาพมากแค่ไหน ก็ไม่มีทาง powerful เท่าผู้สร้างมัน
เรามีอัลลอฮ ผู้ทรงอานุภาพเหนือสิ่งอื่นใด วางใจเนาะ
ป้องกันตัวเอง แล้วมอบหมายอย่างหนักแน่น
ให้เชื่อมั่นว่าพระองค์จะดูแลเรา
because Allah loves you more than you love yourself.

แค่อยากให้เธออุ่นใจ
แค่อยากให้เธอปลอดภัย
เมื่อเธอเปลี่ยนจากข้างใน
อะไรข้างนอกก็เปลี่ยนตาม

ด้วยรักและดุอาอ์ให้กันและกันเนาะ ❤️

เขียนโดย ครูฟาร์ Andalas Farr

อย่าทำเป็นเล่นกับสัญญาณของพระเจ้า

ความดันทุรังของปวงประชา
ความไม่ประสาของรัฐบาล
คือสองพลังแห่งความวิบัติ

จากที่เคยตะเบ็งว่า เอาอยู่
อาจกลายเป็นโศกนาฏกรรมหมู่

จากที่เคยบายานว่าเราศรัทธา
อาจเห็นโลงศพพร้อมน้ำตา

จากที่เคยมองข้ามไวรัสร้าย
อาจทำให้ทุกอย่างสิ้นมลาย

———
อย่าทำเป็นเล่นกับสัญญาณของพระเจ้า
وما نرسل بالآيات إلا تخويفا
“และเรามิได้ส่งสัญญาณลงมา เว้นแต่เพื่อสร้างความหวาดกลัวให้แก่มนุษย์เท่านั้น” (อิสรออฺ/59)

اللهم لا تهلكنا بما فعل السفهاء منا
โอ้อัลลอฮ์ อย่าได้ทำลายพวกเรา เนื่องจากผลงานของคนโง่เขลาในหมู่เรา

اللهم أعذنا وأعذ جميع أولادنا وأزواجنا وذرياتنا وإخواننا وأخواتنا ومشايخنا وطلابنا وطالباتنا ومن أوصانا بالدعاء والمسلمين والمسلمات والعباد والبلاد من البرص والجنون والجذام وسيئ الأسقام ووباء كورونا ومن جهد البلاء ودرك الشقاء وسوء القضاء وشماتة الأعداء واشف مرضانا واحفظنا جميعًا بحفظك الحصين من كل سوء ومكروه يا عزيز يا غفار يا ذا الجلال والإكرام

มืด..ดำ..นำทาง

คงไม่มีใครอยากเจอเรื่องเศร้าๆ
แต่ความจริงคือ ชีวิตคนเราล้วนต้องเจอความเศร้ากันทั้งนั้น…

หากเราเรียกเรื่องเศร้าๆว่าเป็นมลทินสีหม่น สีดำคงจะเป็นตัวแทนความหมองนั้นได้ดีกว่าสีใด แต่สีดำก็คือสีดำ สีดำคืออีกหนึ่งสีธรรมชาติที่เราต้องเจอมันอยู่แทบทุกวี่วันบนโลกใบนี้ ท้องฟ้าตอนกลางคืนเป็นสีดำ มองรถบนถนนก็เจอล้อสีดำ แค่มองตัวเองยังเจอสีดำบนตาสีขาวนั่น สีดำจึงเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์อย่างเราๆ ที่ปฏิเสธไม่ได้เลย ว่า..“เราต้องเจอมันทุกวัน”

แต่สีดำก็คือสีดำ มันคือส่วนหนึ่งของสัจธรรมแห่งโลกที่มีสี
และตัวมันเองอาจไม่ได้อำมหิตอย่างที่บางคนเข้าใจหรือให้นิยาม…

หากเราจะเปรียบความเศร้าในชีวิตเป็นสีดำ การเจอเรื่องเศร้าๆเป็นหย่อมๆในแต่ละวันจึงเป็นเรื่องปกติมาก เราจะหนีเพื่อไม่อยากเจอสีดำเลย คงเป็นไปได้ยาก เช่นเดียวกับการหนีเพื่อไม่อยากเจอเรื่องเศร้าๆในชีวิตเลย ก็คงยากที่จะเป็นไปได้เช่นเดียวกัน

สีดำ..ความเศร้า จึงเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ไม่ได้เลวร้ายในตัวมันเอง หากแต่เราปล่อยให้ตัวเอง “มองหา” สีดำไปเรื่อย อันนี้สิท่าจะไม่ดี การปล่อยให้ตัวเองจดจ้องแต่สีดำบ่อยเกินไป อาจทำให้โลกของเราดูมืดลง เราอาจเริ่มเห็นอะไรขุ่นมัวจนเริ่มหาจุดโฟกัสไม่เจอ จนเราเริ่มมองไม่เห็นอะไร..เริ่มไม่เห็นใคร แล้วในที่สุดเราก็เข้าใจไปเองว่าเราอยู่บนโลกใบมืดตัวคนเดียว

…ใครก็ได้เปิดไฟให้ที…

หากสีดำคือสีแห่งความมืด ความมืดมักทำให้เรามองไม่เห็นทางออกจนเริ่มกลัวและไม่กล้าเดินหน้า แสงสว่างจึงเป็นทางรอดเดียวที่จะพาเราออกมาจากความมืดได้ ใช่..แสงสว่าง..มนุษย์จะเห็นสีอื่นในชีวิตได้ก็ต่อเมื่อมีแสงสว่างเข้ามาช่วยปรับวิสัยทัศน์ให้ชัดเจน

รู้มั้ย…
ความน่าอัศจรรย์อย่างหนึ่งของสิ่งใกล้ตัวที่เราเรียกว่า “อัลกุรอาน” คืออะไร?
อัลกุรอานคือคัมภีร์แสงสว่างที่ถูกประทานจากฟากฟ้า
ใช่..จากฟากฟ้า from the sky..by The Lord of All Lights.

ถ้าเรานำแสงสว่างที่ส่องจ้าจากฟากฟ้ามาฉายให้ชีวิตที่มืดดำ
มันจะช่วยมลายความมืดมนได้มากแค่ไหนลองจินตนาการดู
“การเข้าหาอัลลอฮ..ผู้เป็นต้นแสงแห่งความสว่าง
จึงเป็นทางออกของความมืดมนที่ดีที่สุดแล้ว…จริงๆ”

หากวันนี้เรารู้สึกว่าตัวเองเผลอไปจ้องสีดำมากเกินพอดี
จนเริ่มเห็นอะไรหม่นมัว
ชีวิตเราต้องการ “แสงสว่าง” นั้นแล้วล่ะคนดี
คนที่เจอภาวะซึมเศร้า เขามักเล่าว่าโลกของตัวเองช่างมืดมน
หากวันนี้เราเริ่มรู้สึกว่าโลกของตัวเองเริ่มเป็นสีดำหมองมัว
ได้เวลากลับไปหาไออุ่นจาก “แสงสว่าง” นั้นแล้วล่ะคนดี
อัลกุรอ่าน คือแสงสว่างนั้น…
มันจะช่วยเยียวยาทุกสิ่งทุกอย่างให้เธอเอง

May He lead you out of darkness with ‘The Light’.
ขอเป็นกำลังใจให้เธอนะ

เขียนโดย ครูฟาร์ Andalas Farr

สังคมมุสลิมกับการแต่งงานหนีวาลี

ในทางทฤษฎี
ผู้รู้ชีอะฮ์สนับสนุนให้คนเอาวามแต่งงานมุตอะฮ์ (แต่งงานชั่วคราว)
แถมยังอ้างความประเสริฐและผลบุญอันมหาศาลของการแต่งงานชนิดนี้
แต่ในทางปฏิบัติ
เชื่อว่า ผู้รู้ชีอะฮ์คงไม่อยากให้เกิดขึ้นกับลูกเมียของตัวเอง
หากยกประเด็นนี้มา อาจมีเคืองจนเป็นเรื่องบานปลายก็ได้

ในหลักนิติศาสตร์อิสลามว่าด้วยการแต่งงาน
ก็มีเรื่องหนึ่ง ที่เป็นประเด็นเห็นต่างในหลักวิชาการ
คือการแต่งงานหนีวาลี (แต่งงานโดยฝายหญิงไม่จำเป็นขออนุญาตจากผู้ปกครอง) ซึ่งมีรายละเอียดและเงื่อนไขตามหลักวิชาการมากมาย ซึ่งจะไม่พูดถึง ณ ที่นี่

การแต่งงานชนิดพิเศษนี้ เป็นเรื่องที่ควบคู่กับสังคมมุสลิมภาคใต้มายาวนาน
และเป็นแหล่งที่หญิงชายจากประเทศเพื่อนบ้านมาฟอกตัวเองเป็นว่าเล่น จนกระทั่ง เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การเลือกตั้งคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดในแต่ละครั้ง เป็นไปอย่างดุเด็ดเผ็ดมัน เฉือดเฉือน หักเหลี่ยม ที่บางครั้งเกิดความวุ่นวายมาโดยตลอด

แม้กระทั่งหนุ่มสาว 3 จว. ภาคใต้บางคู่บางคน ที่ไปร่ำเรียนหรือทำงานในเมืองกรุง ก็มักใช้วิธีฟอกตัวเองในลักษณะนี้อยู่เป็นเนือง (คือหญิงแต่งงานโดยไม่ขออนุญาตจากผู้ปกครองก่อน) เพราะมีผู้รู้หรืออ้างว่ารู้ คอยจัดการ ชี้โพรงให้

ผู้ชายมักจะอ้างหลักการนี้ในการฟอกตัวเอง
โดยเฉพาะบาบอที่ทำพิธีแต่งงานลูกสาวคนอื่นโดยวิธีนี้

ถามว่า
หากเกิดขึ้นกับลูกสาวของตนเอง
จะรับได้หรือไม่

หลังจากคู่นี้แต่งงาน มีลูกมีหลานแล้ว
เขาจะประสานรอยร้าวในครอบครัวได้อย่างไร

ลูกสาวที่เคยทำให้พ่อต้องขายหน้า เสียใจ จะวางตนอย่างไร และจะใช้เวลานานแค่ไหนที่จะสมานรอยแผลนี้

หลักชะรีอะฮ์ที่สร้างผลกระทบเชิงลบ ทั้งความสัมพันธ์ในครอบครัวที่ร้อนฉ่า ปฐมเหตุของความโกรธเคืองและบาดหมาง สร้างความอับอายแก่ผู้เกี่ยวข้อง สัญญาณลูกอกตัญญู สร้างมลทินชีวิต ไม่น่าจะเป็นหลักปฏิบัติที่ฮาลาล และไม่น่าจะเป็นแนวปฏิบัติของผู้ที่มีความยำเกรง

หะดีษจากอับดุลลอฮ์บินอัมร์ กล่าวว่า
قال رسول الله صلى الله عليه وسلم قال رضا الله في رضا الوالد وسخط الله في سخط الوالد / رواه ابن حبان بسند صحيح

ความว่า : ความพึงพอใจของอัลลอฮ์(ที่มีต่อคนที่เป็นลูก) อยู่ที่ความพึงพอใจของบิดาของเขา และความโกรธเคืองของอัลลอฮ์(ที่มีต่อคนที่เป็นลูก) อยู่ที่ความโกรธเคืองของบิดาของเขา

เราจะอธิบายหะดีษนี้ให้แก่ลูกสาวที่แต่งงานหนีวาลีได้อย่างไร

หลักชะรีอะฮ์มีความถูกต้องเสมอ แต่ความเข้าใจและการประยุกต์ใช้ต่างหากที่อาจไม่คู่ควรกับเจตนารมณ์ที่แท้จริงในอิสลาม

หากชะรีอะฮ์อนุญาตและส่งเสริมการแต่งงานประเภทนี้ ถามว่า ตั้งแต่ยุคอิมามชาฟิอีย์ลงมา มีผู้รู้(อุละมาอฺ) ท่านใดบ้างที่เคยผ่านการแต่งงานประเภทนี้ พอมีประวัติเล่าขานกันบ้างไหม

พูดเรื่องนี้ทีไร
นึกถึงการแต่งงานมุตอะฮ์ของชีอะฮ์ทันทีครับ

คนนอกทำได้
แต่คนในมีเคือง

ปล.
ผู้เขียนไม่ได้มีปัญหากับหลักวิชาการว่าด้วยการแต่งงานโดยไม่มีวาลี ภายใต้เงื่อนไขและรายละเอียดมากมาย เนื่องจากมีช่องว่างและประเด็นศึกษามากมายในตำราฟิกฮ์ แต่ที่อดนึกไม่ได้คือ หัวใจของผู้เป็นพ่อแม่ ต่างหากครับ

เขียนโดย ผศ.มัสลัน มาหะมะ

กินไม่มีขอบเขตคือเหตุแห่งหายนะ

ความคิดความเชื่อเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมของมนุษย์ ตราบใดที่มนุษย์ยังมีชีวิต มนุษย์จะมีความคิดความเชื่อเป็นของตนเอง หากคิดผิดหรือเชื่อผิดๆ มนุษย์ก็จะทำผิดโดยปริยาย แม้แต่ในเรื่องกิน ถ้ากินสิ่งผิดเพราะความเชื่อผิด ในที่สุดชีวิตและสังคมก็วิบัติ

ในตอนเป็นเด็ก ผมเคยเห็นกรรมกรชาวจีนจับหางลูกหนูตัวแดงๆที่เพิ่งคลอดออกมาใหม่ๆและยังไม่ลืมตาใส่ปากกินสดๆตามด้วยเหล้าขาวหรือเหล้าโรงเพราะเชื่อว่าการเปิบอาหารเมนูพิสดารนี้จะช่วยเพิ่มกำลังวังชา ผู้หญิงบางคนเห็นภาพหรือแค่เพียงได้ยินคำบอกเล่าจะเกิดอาการขยะแขยงจนตัวสั่นขึ้นมาทันที บางคนถึงขั้นอาเจียนออกมา

ปัจจุบันนี้ ภาพดังกล่าวไม่มีให้เห็นอีกแล้วเพราะกรรมกรส่วนใหญ่หันมาดื่มเครื่องดื่มชูกำลังเพราะหลงเชื่อคำโฆษณาที่ผ่านหูผ่านตาทุกวันว่าเครื่องดื่มชูกำลังจะให้พลังดุจช้างสาร ด้วยความหลงเชื่อเช่นนี้เอง แรงงานไทยทั่วประเทศจึงร่วมกันสร้างความมั่งคั่งร่ำรวยให้แก่เจ้าของบริษัทผลิตเครื่องดื่มชูกำลังจนเป็นมหาเศรษฐีอันดับต้นๆของประเทศในขณะที่แรงงานไทยยังจนกันต่อไป

อย่างไรก็ตาม ความเชื่อในเรื่องอาหารชูกำลังยังมีให้เห็นอยู่ตามร้านอาหารป่าในบางจังหวัด เช่น การกินดีงูผสมเหล้าโรง เป็นต้น และอาหารประเภทนี้นิยมกินกันสดๆ นั่นคือ ต้องกรีดท้องงูเอาดีงูมาใส่แก้วเหล้าต่อหน้าลูกค้าเพื่อให้ดื่มกันทันที

ในประเทศจีน หมีหลายตัวต้องทนทุกข์ทรมานจากการถูกจับขังไว้ในกรงและถูกเจาะท้องเพื่อเอาดีมากินเป็นยาอายุวัฒนะตามความเชื่อของคนจีน เสือถูกล่าเพื่อเอากระดูกไปทำยาและเอาหนังไปปูพื้นหรือติดผนังเพื่อสร้างบารมี เพื่อนชาวสิงค์โปร์ของผมคนหนึ่งเคยพูดติดตลกว่าอะไรก็แล้วแต่ที่มีสี่ขา คนจีนกินทั้งนั้น ยกเว้นโต๊ะ

หลายเดือนที่ผ่านมามีข่าวออกมาเป็นระลอกว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐได้จับผู้ลักลอบนำสุนัขและสัตว์ป่าหลากชนิดไปขายยังประเทศเพื่อนบ้านที่ต้องการนำไปทำอาหารชุดเปิบพิสดารตามความเชื่อของผู้คนที่นั่น ลักษณะการกินอย่างไม่มีขอบเขตเช่นนี้บ่งบอกให้รู้ว่ามนุษย์กลุ่มหนึ่งในยุคนี้ยังมีวิถีการกินเหมือนกับคนป่าที่ไร้อารยธรรม หากไม่สร้างความตระหนักถึงเรื่องนี้ให้แก่มนุษย์ ภัยพิบัติจะมาเยือนมนุษย์ในไม่ช้า นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมศาสนาจึงมีคำสอนที่จำกัดขอบเขตการกินของมนุษย์

คำสอนของทุกศาสนาที่ห้ามกินเนื้อของสัตว์ที่ใช้เขี้ยวและกรงเล็บจับเหยื่อเป็นอาหารมิใช่คำสอนที่ไร้เหตุผล เพราะนอกจากเนื้อของสัตว์ประเภทนี้ไม่มีประโยชน์ทางโภชนาการแล้ว สัตว์กินเนื้อยังมีจำนวนน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับสัตว์กินพืช และมันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรักษาสมดุลทางนิเวศ

หลายคนที่เคยดูสารคดีธรรมชาติคงรู้ดีว่าสัตว์ประเภทหนู กระต่าย เก้ง กวางและควายป่าสามารถแพร่พันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว เรือกสวนไร่นาของใครถูกฝูงหนูรุกรานเมื่อใด หายนะก็มาเยือนเจ้าของไร่นานั้นทันที สัตว์กินเนื้อประเภทนกฮูก นกเค้าแมว เหยี่ยวและงูจึงถูกสร้างมาเพื่อกำจัดหรือลดจำนวนสัตว์เหล่านี้ลงเป็นการรักษาสมดุลทางธรรมชาติและรักษาพืชผลที่มนุษย์ปลูกไว้

ฝูงควายป่านับหมื่นตัวเดินทางไปยังแหล่งหญ้าที่ใด มันจะกินหญ้าจนบางแห่งไม่เหลือหญ้าไว้ปกคลุมดิน ถ้าฝนไม่ตกหลายปี ทุ่งหญ้าแห่งนั้นอาจกลายเป็นทะเลทราย สัตว์ประเภทเสือ สิงโตหรือหมาป่าจึงถูกสร้างมาเพื่อลดจำนวนประชากรสัตว์กินพืชที่หากมีมากไปอาจทำลายดุลทางนิเวศ

การล่าสัตว์ป่าที่มีเขี้ยวและกรงเล็บจับเหยื่อจึงเป็นการทำลายเครื่องมือรักษาสมดุลทางธรรมชาติโดยน้ำมือของมนุษย์

เหตุผลที่ศาสนากำหนดขอบเขตการบริโภคโดยห้ามกินเนื้อสัตว์และอาหารบางอย่างก็เพื่อรักษาดุลทางนิเวศไว้ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อมนุษย์เอง แม้แต่สัตว์ก็ถูกกำหนดขอบเขตในการกินไว้เช่นกัน เช่น แพะ แกะ วัวและควายต้องกินหญ้า ถ้าสัตว์พวกนี้กินโดยไม่มีขอบเขตและสามารถกินสัตว์อื่นๆรวมทั้งมนุษย์ด้วย ลองจินตนาการดูก็แล้วกันว่าอะไรจะเกิดขึ้น

ถ้าการกินเนื้อสัตว์ป่าดังกล่าวเป็นสาเหตุแห่งความหายนะได้ถึงขนาดนั้น ลองจินตนาการต่อไปอีกสักนิดว่าถ้ามนุษย์กินทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า เช่น กินหิน กินดิน กินทรายจนเลยเถิดไปถึงกินบ้านกินเมือง อะไรจะเกิดขึ้น?

ถ้าสัตว์จะกินดิน มันก็กินแค่ดินโป่งเพียงเพราะร่างกายต้องการแร่ธาตุบางอย่าง เมื่อเพียงพอแล้ว มันก็หยุดกิน แต่มนุษย์นั้นแม้ล้นกระเพาะแล้วก็ยังกินไม่หยุด ไม่เพียงเท่านั้น มนุษย์ยังมีลักษณะการกินที่แปลกไปจากสัตว์อีก นั่นคือ กินใต้โต๊ะและกินตามน้ำ

เพราะกินกันอย่างไม่มีขอบเขตเช่นนี้เองที่เป็นสาเหตุแห่งความหายนะ

เขียนโดย Banjong Binkason

ผู้ล้มละลาย มี 3 ประเภท

1. สุนัขล่าเหยื่อ เหน็ดเหนื่อยไล่ตะครุบเหยื่อจนลิ้นห้อย เลียแข้งเลียขานาย สุดท้ายต้องมอบเหยื่อที่ล่าให้นายเสวยสุข เจ้าตัวได้แต่มองตาปริปๆ

2. คนตระหนี่ถี่เหนียว อุตส่าห์เก็บหอมรอมริบ ไม่ค่อยแตะต้องเงินทองหรือสิ่งของที่รวบรวมมาทั้งชีวิต เพื่อบริจาคในหนทางของอัลลอฮ์ เมื่อถึงลิขิตแห่งเวลา ทุกอย่างก็ต้องจากจร ปล่อยให้คนอื่นมาเชยชม

3. คนชอบนินทาและทำร้ายผู้อื่น อุตส่าห์สะสมแต้มแห่งความดีตลอดชีวิต แต่ในวันอาคิเราะฮ์ ความดีที่ได้ปฏิบัติถูกกินรวบ เพราะความดีของตนจะถูกถ่ายโอนมอบให้คนที่เขาเคยนินทาหรือทำร้าย แถมบาปของคนเหล่านั้นถูกยัดใส่ตน เพื่อชดเชยความผิดพลาดของตนที่ได้ก่อไว้

ประเภทที่ 3 นี้คือผู้ล้มละลายอย่างแท้จริง ตามหะดีษนบี


อย่าเป็นสุนัขรับใช้ อย่าตระหนี่ถี่เหนียว อย่านินทาและทำร้ายคนอื่น

نسأل الله لنا ولكم السلامة والعافية

มากกว่าสิ่งที่มองเห็น

ตะกอนความคิดส่วนหนึ่งจากซูเราะห์กะฮ์ฟี

ในช่วงการเดินทางระหว่างนบีมูซากับคิฎิร มีเหตุการณ์เกิดขึ้น ๓ อย่าง
๑.คิฎิรจงใจทำให้เรือของคนจนรั่ว
๒.คิฎิรจงใจฆ่าเด็กผู้ชายคนหนึ่ง และ
๓. คิฎิรอาสาสร้างกำแพงให้กับชาวเมืองที่ไม่ได้แยแสจะเป็นมิตรกับใคร

นบีมูซาไม่เห็นด้วยกับการกระทำทั้งหมดของคิฎิร ทนไม่ได้กับสิ่งที่เกิดจนร้อนตัวต้องคัดค้านกับทุกเรื่อง แล้วในที่สุด คิฎิรก็เฉลยถึงที่มาที่ไปของเรื่องราวทั้งหมด

อัลลอฮกำหนดให้เรือนั้นรั่ว
เพราะข้างหน้าเรือลำนี้จะเจอการปล้นสะดม
อัลลอฮกำหนดให้เด็กนั้นถูกฆ่า
เพราะในอนาคตเด็กคนนี้จะอกตัญญูและเนรคุณต่อพ่อแม่ที่แสนดี
อัลลอฮกำหนดให้อาสาสร้างกำแพงนั้นโดยไม่ได้ให้ผลประโยชน์ใดๆ
เพราะพระองค์ต้องการจะปกป้องทรัพย์สมบัติที่ฝังอยู่ข้างใต้นั้น ให้กับเด็กกำพร้าสองคนจนกว่าจะถึงวัยอันควร

ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นมีอะไรอีกมากมายข้างหน้าที่เรายังไม่รู้

เรื่องนี้สอนอะไรเราบ้าง?

มนุษย์เรารู้อะไรผิวเผินมาก แต่เรามักจะคิดว่าเรารู้เยอะแล้ว

บางครั้ง สิ่งที่เราเห็นและเข้าใจ ณ ปัจจุบัน อาจไม่ใช่บทสรุปของเรื่องราวทั้งหมด ยังมีเบื้องลึกอีกมากมายที่เราไม่รู้

หลายครั้ง ที่เราไม่เข้าใจหลายอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิต ทำไมมันต้องเลวร้ายอย่างนั้น ทำไมมันต้องจบแบบนี้ เราร้อนรน คัดค้าน ขุ่นเคือง
บางครั้งยังเผลอล้ำเส้นตัดพ้อการกำหนดของพระเจ้าว่าไม่ดี นั่นเป็นเพราะเราไม่รู้ว่าสุดท้ายมันจะดีกับเรายังไงใช่ไหม?
แต่การไม่เห็นว่ามันดี ก็ไม่ได้แปลว่ามันจะไม่ดีนี่นา #ยังมีอะไรที่ไม่รู้อีกเยอะจริงๆ

สงบใจเถอะคนดี #อัลลอฮไม่เคยให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นเว้นแต่สิ่งนั้นจะดีต่อเรา
และอัลลอฮไม่เคยพรากสิ่งหนึ่งสิ่งใดเว้นแต่พระองค์จะทดแทนด้วยสิ่งที่ดีกว่าให้เรา

ถ้าเราคิดดีต่อพระเจ้าและเข้าใจตรงนี้ให้มาก เราจะรู้สึกอุ่นใจ และยอมรับในทุกการกำหนดของพระเจ้ามากขึ้น

เชื่อมั่นไว้นะ แผนการของ “อัลฮากีม” พระเจ้าผู้ทรงรอบรู้และปรีชาญาณนั้นย่อมสวยงามเสมอ

ตอนนี้เราอาจยังไม่เห็นว่ามันดียังไง แต่ศรัทธาจะช่วยให้เราเชื่อมั่น..ว่ามันต้องดี และมันก็ดีจริงๆ

ศรัทธาช่วยเราได้จริงๆ

ขอเป็นกำลังใจและดุอาอ์ให้ในวันที่เธอไม่เข้าใจ
ขออัลลอฮมอบศรัทธาให้เธออุ่นใจ ขอพระองค์ทรงนำทาง
just have faith in Him. You just have to really trust Him.

กะฮ์ฟี…เพื่อใคร่ครวญ

เขียนโดย ครูฟาร์ Andalas Farr