ซีรี่ส์ “รู้จักชัยค์ยูซุฟ กอรฎอวีย์” [ตอนที่4]

อ่านไดอะรี่ส่วนตัว ชัยค์ยูซุฟ  กอรฎอวีย์”

ตำบลของเราค่อนข้างใหญ่ ขณะที่ข้าพเจ้ายังเด็ก มีประชากรมากกว่า 20,000   คน มีกุตตาบ 4  แห่ง แห่งหนึ่งอยู่บริเวณใจกลางตำบล ซึ่งเป็นที่ตั้งของบ้านและซอยของเรา  และที่เหลืออยู่ทิศตะวันออกและตะวันออกอย่างละหนึ่งแห่ง

กุตตาบแต่ละแห่งเป็นที่รู้จักกันในนามของครูผู้สอน ซึ่งปกติแล้วก็เป็นเจ้าของและอยู่ติดกับบ้านหรือเป็นส่วนหนึ่งของบ้านครูผู้สอน

ในบริเวณบ้านของเราเป็นที่ตั้งของกุตตาบชัยค์ยะมานีย์ มุรอดและกุตตาบชัยค์หามิด อบูซูวัยล์

ครั้งแรกข้าพเจ้าไปเรียนที่กุตตาบชัยค์ยะมานีย์ มุรอด ตามคำแนะนำของญาติพี่น้องตนหนึ่งที่มีลูกเรียนอยู่ที่นั่น แต่ไปเพียงวันเดียวและไม่ไปอีกเลยหลังจากนั้น เพราะชัยค์ใช้วิธีตีเด็กทุกคนเพื่อกระตุ้นให้ท่องจำโดยไม่มีเหตุผลหรือความผิดใดๆ  ซึ่งรวมถึงข้าพเจ้าด้วยตั้งแต่วันแรกที่ไปเรียน  อาจจะเป็นข้าพเจ้าไม่ชอบการทำร้ายรังแกหรือถูกทำร้ายรังแกโดยธรรมชาติ

หลังจากนั้นข้าพเจ้าจึงไม่ยอมไปเรียนที่กุตตาบใดๆ ระยะหนึ่ง จนกระทั่งคุณแม่คะยั้นคะยอ ให้ไปเรียนที่กุตตาบชัยค์หามิด ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านของคุณตา และรับรองว่าจะขอร้องให้ชัยค์สอนด้วยดี และขอร้องมารดาของชัยค์ ซึ่งเป็นน้าของข้าพเจ้าชื่อรัยยาด้วย

คุณแม่ได้จูงมือข้าพเจ้าไปเยี่ยมบ้านคุณตาและพาไปมอบตัวกับชัยค์  และกล่าวว่า นี้เป็นอะมานะฮฺของท่านแล้ว ชัยค์กล่าวว่า เขาคือลูกของเรา เราจะดูแลเขาอย่างดี

ชัยค์และมารดาได้ต้อนรับข้าพเจ้าอย่างดี  ข้าพเจ้ามักจะไปยังกุตตาบเป็นคนแรก ข้าพเจ้าจะไปเคาะประตูบ้านคุณน้ารัยยาตั้งแต่เช้าตรู่ แล้วเอาลูกกุญแจไปเปิดประตูกุตตาบ บ้างนางเปิดประตูให้ข้าพเจ้า  นางเตือนให้ข้าพเจ้าระวังตัวหมัดบนพื้นกุตตาบที่เป็นพื้นดินเหมือนบ้านส่วนใหญ่ทั่วไป  ตัวหมัดจะกรูกันเข้ามานักเรียนคนแรกที่ไปโรงเรียน ซึ่งก็คือข้าพเจ้าในทุกๆวัน ข้าพเจ้าก็หนีขึ้นไปบนแคร่สี่เหลี่ยม  รอจนเด็กๆมา และได้รับส่วนแบ่งจากการกัดของตัวหมัดเหมือนๆ กัน

ค่าเล่าเรียนที่กุตตาบต่ำมากๆ คือครึ่งเปียส ( หนึ่งปอนด์อียิปต์เท่ากับ  100 เปียส อัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบัน หนึ่งดอลลาร์สหรัฐเท่ากับ …. ปอนด์อียิปต์ ) ต่อสัปดาห์ โดยเก็บทุกๆวันพุธซึ่งเป็นวันนัดของตำบล แต่จำนวนนี้ก็เป็นเรื่องใหญ่สำหรับเด็กๆหลายคน ซึ่งในจำนวนนั้นรวมข้าพเจ้าด้วย แต่ชัยค์ได้อนุโลมสำหรับข้าพเจ้าโดยเก็บครึ่งเปียสต่อสองสัปดาห์ เนื่องจาก หนึ่งข้าพเจ้ากำพร้าบิดา และสองข้าพเจ้าเรียนเก่ง

คุณลักษณะที่ดีอีกประการหนึ่งของชัยค์คือ ท่านไม่เคยตีข้าพเจ้าเลย แม้ว่าท่านจะตีเด็กอื่นๆทั้งหมด

ข้าพเจ้ายังจำได้ ครั้งหนึ่งชัยค์จะตีข้าพเจ้า มิใช่เป็นเพราะความบกพร่องในการท่องจำ แต่เพราะสาเหตุอื่น โดยผู้ปกครองส่วนใหญ่กลัวลูกหลานจะไปอาบน้ำที่เหมืองน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันศุกร์ชัยค์จะใช้ดินสอทำเครื่องหมายที่ขาของเด็กๆ  และในวันเสาร์ก็จะเปิดดู ใครที่เครื่องหมายดังกล่าวยังคงอยู่ก็โชคดี หากใครไม่มีก็แสดงว่าไปอาบน้ำที่เหมืองน้ำแล้ว


ที่มาเพจ อ่านบันทึกส่วนตัว ชัยค์ยูซุฟ กอรฎอวีย์

ซีรี่ส์ “รู้จักชัยค์ยูซุฟ กอรฎอวีย์” [ตอนที่3]

อ่านไดอะรี่ส่วนตัว ชัยค์ยูซุฟ  กอรฎอวีย์”

บ้านสองหลัง

สิ่งหนึ่งที่อัลลอฮฺอนุเคราะห์แก่ข้าพเจ้าคือ การมีบ้านสองหลัง

หลังแรกคือบ้านของครอบครัวเรา ที่เป็นครอบครัวใหญ่ ประกอบด้วยลุง และลูกๆ และข้าพเจ้ากับมารดา

อีกหลังหนึ่งคือบ้านของคุณตา ที่ข้าพเจ้าไปบ่อยๆ และอยู่คราวละนานๆ เพราะสองสาเหตุคือ มารดาได้มีความสุขกับครอบครัวของนาง และมีลูกของน้าๆ ที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับข้าพเจ้าหลายคน ที่เราได้เล่นกันอย่างสนุกสนาน ซึ่งต่างจากลุงกับป้าไม่มีลูกที่มีอายุไกล้เคียงกับข้าพเจ้า

ส่วนใหญ่เรามักจะอยู่ที่นั่นตลอดวัน และกลับจากละหมาดอีชาและอาหารค่ำ

บ้านของคุณปู่อยู่ใกล้กับตัวเมืองมากกว่า ใช้ทั้งเตาแก๊สและเตาถ่าน มีโซฟาและเก้าอี้นวม แต่ที่บ้านของเรามีม้านั่งพิงกับผนังบ้านเพียงตัวเดียว


ที่มาเพจ อ่านบันทึกส่วนตัว ชัยค์ยูซุฟ กอรฎอวีย์

ซีรี่ส์ “รู้จักชัยค์ยูซุฟ กอรฎอวีย์” [ตอนที่2]

อ่านไดอะรี่ส่วนตัว ชัยค์ยูซุฟ  กอรฎอวีย์”

ตอนที่ 2

หลังจากบิดาเสียชีวิต มารดาก็กลับไปอาศัยที่บ้านเดิมกับครอบครัวของนาง

มารดาและน้าชายของข้าพเจ้าเฉลียวฉลาดมาก นางสามารถคำนวณตัวเลขหลายหลักในใจได้อย่างรวดเร็ว

ข้าพเจ้าจะมาเล่นสนุกและสนิทสนมกับลูกๆของน้าๆอาๆ มากกว่าลูกๆของลุงๆป้าๆ ที่ไม่มีรุ่นราวคราวเดียวกับข้าพเจ้า

คุณยายรักและเอ็นดูข้าพเจ้ามาก ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าทำผิด คุณตาจะตี แต่นางได้ขอร้องไม่ให้ตี โดยมีเงื่อนไขว่า ข้าพเจ้าจะต้องไม่ทำผิดซ้ำอีก คุณตาก็ยอมและนางมักจะเก็บอาหารไว้เป็นพิเศษสำหรับข้าพเจ้าเสมอ

คุณตาเสียชีวิตขณะที่ข้าพเจ้าอายุได้ 5 ปี คุณยายและคุณน้าคุณอาก็ยิ่งให้ความรักความเอ็นดูต่อข้าพเจ้ามากขึ้นเหมือนลูกคนหนึ่งของพวกนาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังจากที่มารดาของข้าพเจ้าเสียชีวิตไป ขณะที่ข้าพเจ้ามีอายุได้ 15 ปี

สภาพครอบครัวกอรอฎอวีย์ ขณะนั้นบางปีการเกษตรมีปัญหา บางครั้งหนอนฝ้ายกัดกินฝ้ายจนเสียหายไม่สามารถจ่ายค่าเช่าที่ดินได้

ปัญหาหนึ่งของครอบครัวเราที่ข้าพเจ้าเคยพบเห็นผลที่เกิดกับเราคือ ควายที่ใช้ไถนาตายลง ซึ่งมันมักจะตายในฤดูใบไม้ผลิ เพราะมีอาหารการกินสมบูรณ์เกินไป เมื่อมันเป็นโรค ก็ใช้มีดรักษาและขายเนื้อในราคาถูกๆ

ปกติเราจะมีควาย 2 ตัวหรือควายหนึ่งกับวัวอีกหนึ่งไว้สำหรับไถนา เมื่อควายตายลงก็เหมือนโศกนาฏกรรมสำหรับชาวนา เพราะการหาเงินซื้อควายตัวใหม่ไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายสำหรับชาวนาจนๆ ดังนั้น บางครั้งเพื่อนบ้านจึงไปแสดงความเสียใจกับเจ้าของเหมือนหนึ่งการได้สูญเสียสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวไป

สำหรับครอบครัวเราแล้ว ควายมีความสำคัญอย่างยิ่งเพราะเราใช้นมสดของมันดื่มแทนการรับประทานเนื้อ ที่เราไม่สามารถซื้อรับประทานได้เป็นประจำนอกจากในวันพุธ ซึ่งเป็นวันตลาดนัดของตำบล


ที่มา เพจ อ่านบันทึกส่วนตัว ชัยค์ยูซุฟ กอรฎอวีย์

ซีรี่ส์ “รู้จักชัยค์ยูซุฟ กอรฎอวีย์” [ตอนที่ 1]

อ่านไดอะรี่ส่วนตัว ชัยค์ยูซุฟ  กอรฎอวีย์

ตอนที่ 1

ข้าพเจ้าเกิดในชนบทที่ตำบลเล็กๆ ของอียิปต์ ไม่มีประปา  ไฟฟ้า ถนนลาดยาง  ห้องสมุด สโมสร หรือลักษณะของความทันสมัยใดๆทั้งสิ้น

ตำบลของเราคือ  ศุฟต์ตุรอบ ตั้งอยู่ระหว่างเมืองตอนตอซึ่งเป็นอำเภอเมืองของจังหวัดฆอร์บียะฮฺและอำเภอมะหัลละต์กุบรอ เมืองใหญ่อีกเมืองหนึ่งของจังหวัด ห่างจากตอนตอ ประมาน 21 กม. จากมะหัลละต์ ประมาณ   9 กม.

ตระกูล กอรอฎอวีย์ ของเราเดิมอพยพมาจากตำบลกอรอเฎาะต์ จังหวัดกัฟรูชัยค์ เป็นตระกูลเล็กๆในตำบล ที่สืบทอดตระกูลมาจากปู่ของข้าพเจ้าที่ชื่อ ฮัจญีอาลี    กอรอฎอวีย์  ซึ่งเป็นฮัจญีเพียงไม่กี่คนในตำบล

มารดาของข้าพเจ้าเป็นหญิงหม้าย นางสมรสครั้งแรกขณะยังเยาว์วัยกับบุตรลุงของนางที่อยู่กรุงไคโร ไม่ค่อยเคร่งครัดในศาสนา  เขามักดื่มเหล้าและกลับบ้านดึกๆดื่นๆ ในสภาพเมามาย มารดาซึ่งเป็นหญิงชนบทที่ไม่คุ้นเคยกับสภาพเช่นนี้ จึงกลัวเขามาก

เมื่อคุณตาไปเยี่ยมมารดา รู้เห็นสภาพดังกล่าว จึงสั่งให้เขาซึ่งเป็นหลานชาย(บุตรของน้องชาย)หย่ากับกับนางเสีย  แล้วพากลับบ้านทันที ซึ่งขณะนั้นนางกำลังตั้งครรภ์พี่สาวร่วมมารดาของข้าพเจ้าที่มีอายุมากกว่าข้าพเจ้า  8 ปี

บิดาของข้าพเจ้าก็เคยสมรสและได้หย่ากับภรรยาคนแรกแล้ว จึงมาสู่ขอมารดาของข้าพเจ้าภายหลังจากที่นางคลอดบุตร  7 ปี และการสมรสก็มีขึ้น นางก็ตั้งครรภ์ข้าพเจ้าในทันที เมื่อคลอดข้าพเจ้าพวกเขาตกลงกันตั้งชื่อข้าพเจ้าว่ายูซุฟ  ตามชื่อลุงของข้าพเจ้าที่ตายไปโดยไม่มีบุตร ซึ่งชื่อลุงก็ถูกตั้งตามชื่อของปู่ของเขา ฉะนั้นวงศ์ตระกูลของข้าพเจ้าคือ ยูซุฟ บุตร อับดุลลอฮฺ  บุตร อะลีย์ บุตร ยูซุฟ

บิดาของข้าพเจ้าเสียชีวิตตั้งแต่ข้าพเจ้าอายุได้ 2  ปี ด้วยโรคทางเดินปัสสาวะ ด้วยในสมัยการแพทย์ยังล้าหลังมาก  ลุงอะหมัดจึงดูแลข้าพเจ้าต่อมา ลุงเป็นเกษตรกร ไม่รู้หนังสือ ไม่มีทรัพย์สินรวมทั้งที่ดิน  มีเพียงที่ดินอยู่อาศัยของป้าประมาณครึ่งเอเคอร์ ( ประมาณ  12.5  ไร่ – ผู้แปล ) และได้เช่าที่ดินทำกินจากผู้อื่น

ตอนนั้นลุงอายุประมาณ  50  ปี  ท่านเป็นที่นับหน้าถือตาของชาวบ้าน มีความขยันขันแข็งในการทำงาน  เคร่งครัดศาสนาและละหมาดญะมาอะต์ห้าเวลาที่มัสยิดเป็นกิจวัตร

ท่านเป็นคนสมถะ รับประทานโรตีแข็ง ที่ทำจากข้าวโพด กับเนยแข็งดอง กับผักดองที่ตัวหนอนเล็กๆคลานอยู่ต้วมเตี้ยม  เสร็จแล้วดื่มน้ำจากเหยือกดินเผา แล้วกล่าวว่า  ขอบคุณอัลลอฮฺ ที่ให้ความสุขนี้แก่เราและรักษาไว้มิให้สูญหาย

ลุงและชาวชนบททั่วไป พอใจกับสิ่งที่อยู่ ตามที่ท่านนบี  ศอลลัลลอฮูอะลัยฮิวะสัลลัม  สอนไว้ว่า

   ارض بما قسم الله لك تكن أغنى الناس

“จงพอใจในสิ่งที่อัลลอฮฺแบ่งสรรให้ แล้วท่านจะเป็นมหาเศรษฐี ”

แม้ว่าลุงจะไม่รู้หนังสือแต่ก็ชอบทายปัญหาและเล่านิทานให้เราฟัง

ท่านเคยทายว่า  “ป้าของเจ้า พี่สาวของบิดาของเจ้า  แล้วน้าชายของลูกชายของป้าเจ้าเป็นอะไรกับเจ้า”

ข้าพเจ้าตอบว่า “เป็นบิดาหรือลุงของฉัน”

ลุงเคยเล่านิทานตลกเรื่อง ญุฮา ( ตัวละครเอกของนิทานพื้นบ้านอาหรับ เช่นเดียวกับ ศรีธนญชัยของไทย หรืออบูนาวาสของมาลายู – ผู้แปล)ให้เราฟังบ่อยๆ


ที่มา เพจ อ่านบันทึกส่วนตัว ชัยค์ยูซุฟ กอรฎอวีย์

ชัยคุลอิสลามแห่งตูนีเซีย

ท่านคือชัยคุลอิสลามแห่งตูนีเซีย เป็นทั้งอิมามใหญ่ยามิอฺซัยตูนะฮ์ มุฟตีและกอฎีชัรอีย์ (ผู้พิพากษาสูงสุดแห่งกฎหมายอิสลาม) ผู้มีนามว่า มูฮัมมัด ฏอฮิร บินอาชูร (มีชีวิตระหว่างปีค.ศ. 1879-1973) สายตระกูลของท่านเป็นชาวอพยพมาจากอันดาลูเซีย นอกจากนี้ท่านยังดำรงตำแหน่งคณบดีคณะนิติศาสตร์อิสลามและอุศูลุดดีนของมหาวิทยาลัยซัยตูนะฮ์  มหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในโลกอิสลาม

ช่วงนั้นรัฐบาลตูนิเซียโดยประธานาธิบดีบูรฆีบาห์ รณรงค์ให้สตรีตูนีเซียถอดฮิญาบ โดยครั้งหนึ่งนายบูรฆีบาห์ ได้ลงจากรถ แล้วไปถอดฮิญาบของสตรีนางหนึ่งในใจกลางเมืองตูนิเซีย พร้อมกล่าวว่า ยุคมืดได้ผ่านพ้นไปแล้ว

ทำให้ชัยคุลอิสลามมูฮัมมัดฏอฮิร บินอาชูร อ่านคุตบะฮ์สั้นๆด้วยประโยคว่า “สตรีมุสลิมะฮ์นางหนึ่งได้มาร้องเรียนยังข้าพเจ้า” ท่านทวนประโยคนี้ 2 ครั้งแล้วนั่งลง และลุกใหม่ พร้อมกล่าวว่า “ละหมาดของท่านไม่สร้างความดีงามใดๆ ตราบใดที่ภรรยาและลูกสาวของท่านเปลือยกาย(ไม่ใส่ฮิญาบ)” จงละหมาดเถิด

นายบูรฆีบาห์ได้รณรงค์ไม่ให้ชาวตูนิเซียถือศีลอดในเดือนรอมฎอน ซึ่งเขาถือว่า การถือศีลอดเป็นเหตุให้เศรษฐกิจของประเทศย่ำแย่ ทำให้ผู้คนเกียจคร้านทำงาน เขาจึงดื่มน้ำและสูบซิการ์ในรัฐสภาช่วงเดือนรอมฎอน เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนไม่ถือศีลอด

เท่านั้นยังไม่พอ เขาได้ไปหาชัยคุลอิสลามอิบนุอาชูร์ ในฐานะมุฟตีและบุคคลสัญลักษณ์ทางศาสนา ผู้มีบทบาทสูงในขณะนั้น พร้อมขอร้องให้ออกคำฟัตวาเรื่องการถือศีลอดให้เป็นไปตามนโยบายอันชั่วร้ายของเขา ซึ่งก็ได้รับการตอบรับด้วยดีจากท่านมุฟตี โดยมีเงื่อนไขว่า รัฐบาลจะต้องเชิญชวนผู้คนมารวมตัวกันเพื่อฟังคำฟัตวานี้

เมื่อถึงเวลาที่กำหนด รัฐบาลได้เกณฑ์ผู้คนจำนวนมากมาย เพื่อฟังคำชี้ขาดทางศาสนาที่มีความสำคัญนี้ หลังจากที่นายบูรฆีบาห์ให้โอวาทเสร็จ ชัยคุลอิสลามจึงถูกเชิญให้คำฟัตวา ชัยค์จึงพูดว่า

โอ้ชาวมุสลิมทั้งหลาย แท้จริงการทานอาหารในกลางวันรอมฎอน โดยไม่ใช่เป็นการผ่อนปรนทางศาสนา ถือเป็นบาปใหญ่ เพราะการถือศีลอดเป็นหลักปฏิบัติตามศาสนบัญญัติที่สำคัญประการหนึ่งในอิสลาม ผู้ใดที่ปฏิเสธหลักศาสนบัญญัติข้อนี้ ผู้นั้นย่อมเป็นคนตกศาสนาโดยปริยาย พร้อมอ่านอายัตกุรอาน

يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُوا كُتِبَ عَلَيْكُمُ الصِّيَامُ كَمَا كُتِبَ عَلَى الَّذِينَ مِن قَبْلِكُمْ لَعَلَّكُمْ تَتَّقُونَ (البقرة/١٨٣)

อัลลอฮ์ตรัสจริงเสมอ

บูรฆีบาห์ต่างหากคือจอมโกหก

บูรฆีบาห์ต่างหากคือจอมโกหก

บูรฆีบาห์ต่างหากคือจอมโกหก

นายบูรฆีบาห์หน้าแตกยับเยินชนิดหมอไม่รับเย็บ

หลังจากนั้นท่านจึงถูกปลดออกจากทุกตำแหน่งที่ท่านดำรงอยู่ รวมทั้งรัฐบาลยังได้สั่งปิดมหาวิทยาลัยซัยตูนะฮ์เป็นเวลาหลายปี

เกือบ 50 ปีแล้วที่ท่านเสียชีวิต แต่ชาวตูนิเซียก็ยังคงกล่าวดูอาให้กับท่านด้วยดีมาโดยตลอด ชีวประวัติของท่านถูกกล่าวขานอย่างสง่างามต่อไป

แต่สำหรับนายบูรฆีบาห์ ทาสผู้ซื่อสัตย์ของกรุงปารีส ถึงแม้เขาจะเถลิงอำนาจอยู่ในตำแหน่งประธานาธิบดีตูนิเซียนานถึง 30 ปี และเพิ่งปิดฉากตำนานแห่งความชั่วร้ายในปี 2000 ที่ผ่านมา ในประเทศตูนีเซียปัจจุบัน เชื่อว่าไม่มีใครคนไหนที่สดุดีและชื่นชมเขา นอกจากชาวเซคิวล่าร์ สาวกแห่งกรุงปารีส ผู้ชิงชังต่ออิสลามและประชาชาติมุสลิมเท่านั้น


โดย Mazlan Muhammad

ความรู้ที่ถูกยกไป

มูฮัมมัด อาลี อัศศอบูนีย์

อุละมาอฺผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุค เกิดเมื่อ 1 มกราคม 1930 ที่เมืองหะลับ ซีเรีย เสียชีวิตแล้ว เมื่อ 19 มีนาคม 2021 ขณะอายุ 91 ปี ถือเป็นการสูญเสียผู้รู้ที่สำคัญในโลกอิสลามโดยเฉพาะด้านตัฟซีร อัลกุรอาน เจ้าของผลงาน مختصر تفسير ابن كثير،  صفوة التفاسير ، تفسير آيات الأحكام และอื่นๆ อีกกว่า 50 เล่ม

เคยได้รับการยกย่องเป็นบุคคลแห่งปีโลกอิสลาม ปี 2007 จาก “รางวัลนานาชาติดูไบเพื่ออัลกุรอาน”

เคยสอนที่คณะชะรีอะฮฺและอิสลามศึกษาที่นครญิดดะห์ร่วม 30 ปี ได้รับการแต่งตั้งจากมหาวิทยาลัยกษัตริย์ อับดุลอะซีซ เมืองญิดดะห์ เป็นผู้เชี่ยวชาญและนักวิจัยที่ศูนย์วิจัยและฟื้นฟูวัฒนธรรมอิสลาม เป็นที่ปรึกษาสันนิบาตโลกมุสลิมโลก เป็นผู้สอนและให้คำวินิจฉัยรายวันที่มัสยิดหะรอม เคยได้รับเชิญเป็นอิมามนำละหมาดตะรอเวี้ยะห์และละหมาดศุบฮิที่มัสยิดหะรอม

ชัยค์อัศศอบูนีย์ได้วิจารณ์นายบัชชาร์ อะสัด ประธานาธิบดีซีเรียว่าเป็น มุสัยลิมะฮ์ อัลกัซซาบ และตักเตือนชัยค์มูฮัมมัด รอมฎอน อัลบูฏีย์ ด้วยคำตักเตือนที่รุนแรงเพราะชัยค์อัลบูฏีย์สนับสนุนนายบัชชาร์ อะสัดและไม่เห็นด้วยกับการลุกขึ้นต่อต้านระบอบบัชชาร์ของประชาชนชาวซีเรีย

ด้วยจุดยืนอันดุดันและมั่นคงที่สนับสนุนและเคียงข้างการประท้วงของชาวซีเรีย ทำให้สื่ออาหรับและชาวซีเรียตั้งฉายาท่านว่า “الشيخ الثائر” หรือผู้เฒ่านักปฏิวัติ

غفر الله له ورحمه رحمة واسعة وأدخله فسيح جناته ورزق لأهله وذويه الصبر والسلوان


โดย Mazlan Muhammad

10 ผู้เปลี่ยนประวัติศาสตร์ จอมทัพมุสลิมเชิงยุทธศาสตร์

คลิปดีๆ  สุดยอด  10 ผู้เปลี่ยนประวัติศาสตร์ จอมทัพมุสลิมเชิงยุทธศาสตร์

1. อบูยะฟัร อัลมันซูร ผู้สร้างอาณาจักรอับบาซียะฮ์ตัวจริง

2. อับดุลเราะห์มาน อัดดาคิล  ผู้พิชิตไอบีเรียและสถาปนาอาณาจักรอิสลามในสเปนกว่า 780 ปี

3. อัลป์ อัรสะลาน เติร์กเซลจู๊กผู้เปิดประตูดินแดนอานาโตเลีย ผู้กรุยทางสู่อาณาจักรเติร์กออตโตมัน

4. นูรุดดีน ซังกี  ผู้พิชิตก๊กอาหรับเผ่าต่างๆ จนเป็นหนึ่งเดียว ทั้งอียิปต์และแคว้นชาม  เพื่อการกอบกู้มัสยิดอักซอ

5. ซอลาหุดดีน  อัยยูบีย์ แม่ทัพของนูรุดดีน ซังกี ผู้พิชิตครูเสดและกอบกู้มัสยิดอักซอ

6. ซัยฟุดดีน  กุตุซ  ผู้หยุดมองโกลในโลกมุสลิม ในสมรภูมิอัยน์จาลูต  อียิปต์

7. ยูซุฟ บินตัชฟีน  ผู้ปกครองดินแดนแอลจีเรีย โมรอคโค  ผู้ปราบครูเสดและปกครองแอนดาลุสเซีย  กว่า 400 ปี ไปจนวันกรานาดาล่มสลาย

8. มุฮัมมัด  ฟาติห์ แห่งออตโตมัน ผู้พิชิตคอนสแตนติโนเปิล

9. สะลีม ที่ 1 แห่งออตโตมัน ผู้พิชิตดินแดนต่างๆ จนออตโตมันมีดินแดนกว้างใหญ่สูงสุด ผู้พิชิตซาฟาวิด และปกครองอียิปต์  ชาม และหิจาซ

10. สุลัยมาน  กอนูนีย์ ผู้วางรากฐานทางกฎหมายของออตโตมัน และปกป้องโลกอาหรับจากการตกเป็นเมืองขึ้นของนักล่าอาณานิคม

#ศัตรูไม่เคยลืมพวกเขาแต่มุสลิมเรากลับลืมเลือน

#ชนใดไร้ประวัติศาสตร์ชนนั้นย่อมไร้อนาคต


โดย Ghazali Benmad

มัลคอล์ม เอกซ์ ชะฮีดผู้มอบชีวิตให้ศาสนา

มัลคอล์ม  เอกซ์  จากเด็กจรจัดสู่นักคิดระดับโลกด้วยการอ่าน ผู้ชักชวนมุฮัมมัดอาลีเข้ารับอิสลาม  ตลอดจนนำคนนับแสนเข้ารับอิสลาม และเสียชีวิตจากการถูกยิงขณะยืนปราศรัยเผยแพร่อิสลาม

นักเผยแพร่อิสลามและนักปกป้องสิทธิมนุษยชน  นักต่อสู้เพื่อความยุติธรรมและความเสมอภาคชาวแอฟริกัน-อเมริกัน เข้าร่วมกับกลุ่ม Nation of Islam ในขณะเป็นนักโทษ

● การเกิดและการเลี้ยงดู

มัลคอล์ม  เอกซ์ เดิมชื่อ  มัลคอล์ม  ลิตเติ้ล เกิดเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 1925 พ่อชื่อ อิรัล ลิตเติ้ล  เป็นบาทหลวงในนิกายแบบติสม์ และเป็นผู้เรียกร้องสิทธิของคนผิวดำ มีพี่น้อง  11  คน โดย 4 คนถูกฆ่าในช่วงกลุ่มคลูกลักแคลน -kkk-อาละวาดหนัก บ้านถูกเผาราบเรียบ

ครอบครัวของเขาต้องเปลี่ยนที่อยู่อาศัยมากกว่าหนึ่งครั้งเพื่อหลีกเลี่ยงแรงกดดันและการคุกคามของกลุ่มคลูคลักแคลน

ต่อมาครอบครัวย้ายในยังแลนซิง รัฐมิชิแกน มัลคอล์ม  เอกซ์  อายุได้ 6 ปี ในปี  1931 พ่อของเขาถูกฆาตกรรมโดยถูกกลุ่มกลูคลักแคลน kkk ทำร้ายจนตายและจับไปให้รถไฟฟ้าเหยียบทับ แต่รัฐบาลประกาศผลการชันสูตรศพระบุว่าเป็นการฆ่าตัวตาย

หลังจากนั้นแม่ของเขาซึ่งมีอายุ  34  ปี พร้อมลูก 7 คน ต้องทำงานทุกอย่างเลี้ยงลูก จนต้องเข้าสถานบริการสุขภาพจิต ในปี 1936 เนื่องจากเธอทุกข์ทรมานจากการสูญเสียสามีและความเครียดในการหางานทำทุกอย่างเพื่อเลี้ยงดูเด็กๆ  หลังจากนั้นๆ ลูกๆของนางก็กระจัดกระจายไปยังศูนย์เลี้ยงเด็กในที่ต่างๆ 

ขณะอยู่ในสถานเลี้ยงเด็ก มัลคอล์ม  เอกซ์   ใฝ่ฝันที่จะเรียนกฎหมาย แต่ถูกไล่ออกจากโรงเรียนตั้งแต่มัธยมศึกษาตอนต้น

การไม่ยอมรับสภาพความเป็นจริงทางสังคมที่เขามองว่าเหยียดผิวและไม่ยุติธรรม  เขาจึงย้ายไปบอสตัน แมสซาชูเซตส์ ทำงานทุกอย่างที่คนผิวดำทำได้ ตั้งแต่ล้างจาน เช็ดรองเท้า  เฝ้ายาม ขายแซนด์วิช และจมดิ่งสู่วงการการพนัน และยาเสพติด  จากนั้นก็ถูกคุมขังในสถานพินิจใน 1946  ในข้อหาลักทรัพย์และปล้น

เรือนจำเป็นสถานีชีวิตที่โดดเด่นในชีวิตของเขา  เขาเริ่มต้นศึกษามัธยมปลาย และศึกษาด้วยตนเองโดยใช้ประโยชน์จากห้องสมุดเรือนจำ และการสนทนาด้านความเชื่อ

ในปี 1948 พี่น้องของเขาจากข้างนอก บอกข่าวว่า พวกเขานับถือศาสนาใหม่ เป็นศาสนาของคนผิวดำ ที่จะปลดปล่อยคนดำออกจากคนขาว เรียกว่า ศาสนาอิสลาม ที่นำโดยกลุ่ม “Nation of Islam” มีศาสดาชื่อ มุฮัมมัด ฟาร๊อจ  โดยมีผู้สืบทอดชื่ออาเลจาห์ มุฮัมมัด มีพระเจ้า 2 องค์ คือพระเจ้าความดี ซึ่งมีผิวดำ และพระเจ้าความชั่ว ซึ่งมีผิวขาว  ละหมาดวันละ 2 เวลา ถือศีลอดปีละ 1 วัน คือในวันคริสต์มาส  ซะกาตจ่ายให้กับศาสดาอาเลจาห์ มุฮัมมัด  ฮัจญ์สำหรับผู้ไร้ความสามารถ ให้ไปเยี่ยมบ้านอาเลจาห์ มุฮัมมัด

เขาเริ่มคุ้นเคยกับงานเขียนขององค์กร “Nation of Islam ประชาชาติอิสลาม” เขาสนใจคำสอนของเอลียาห์ มูฮัมหมัดและงานเขียนของเขาในการวิพากษ์วิจารณ์ความเป็นชายขอบของชุมชนคนผิวดำและการไม่ให้อำนาจแก่พวกเขา  ทั้งในด้านการเมืองสังคมและเศรษฐกิจ

จากการเปลี่ยนศาสนา การชอบโต้แย้ง วิพากษ์ และไม่มีงานอื่น  ทำให้มัลคอล์ม เอกซ์  อุทิศตนให้กับการอ่านหนังสือศาสนา ปรัชญาตะวันตกและตะวันออก วรรณกรรม  กฎหมายและประวัติศาสตร์อย่างบ้าคลั่ง วันละ   15  ชม.  ตลอดจนการโต้เถียงและวิพากษ์สังคมร่วมกับเพื่อนๆในคุก

ด้วยทุนทางความรู้เหล่านั้น ทำให้มัลคอล์ม เอกซ์   กลายเป็นผู้เผยแพร่ศาสนาใหม่ในคุก จนมีผู้ตามมากมาย 

มัลคอล์ม เอกซ์  สอนนักโทษให้เคร่งครัดในคำสอนศาสนา  และละทิ้งนิสัยไม่ดีทั้งหลาย

จากพฤติกรรมที่ดีเยี่ยมในคุก มัลคอล์ม เอกซ์ ได้รับการปล่อยตัวจากคุกก่อนกำหนดในปี 1952 และกลายเป็น “สมาชิกผู้อุทิศตน” ขององค์กร “Nation of Islam ประชาชาติอิสลาม”

เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นโฆษกอย่างเป็นทางการขององค์กรและดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการในเขตบอสตัน ฟิลาเดลเฟียและนิวยอร์กเขาก่อตั้งมัสยิดใหม่สำหรับองค์กรในดีทรอยต์และนิวยอร์ก  และในปี 1957 ได้เปิดตัวหนังสือพิมพ์ชื่อ “Elijah Muhammad Talks “ เป็นกระบอกเสียงขององค์กร

ด้วยความสามารถพิเศษ ความกระตือรือร้นและความสามารถในการมีอิทธิพลของเขา  เขาสามารถดึงดูดชาวอเมริกันผิวดำหลายพันคนให้เป็นสมาชิกกลุ่ม สมาชิกของพวกเขาจึงทวีคูณหลายสิบเท่า และมีจำนวนถึงสามหมื่นในปี 1957 หลังจากที่พวกเขาประมาณ 500 คน ในปี  1930

ผลจากการอ่านอย่างบ้าคลั่งในคุก ขณะนี้เขาประสบความสำเร็จในการดึงดูดผู้สนับสนุน และนำเสนอแนวคิดที่โดดเด่น เขาจึงได้ออกรายการในสื่อที่มีชื่อเสียงที่สุด  และเข้าร่วมในการสัมมนาและการอภิปรายในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่สุดในอเมริกาและได้รับการจัดอันดับโดย  นสพ.  New York Times ให้เป็นนักเผยแผ่ศาสนาที่มีอิทธิพลอันดับ 2 ของสหรัฐอเมริกา

ชื่อเสียงของเขาแซงหน้าชื่อเสียงของที่ปรึกษาและที่ปรึกษาทางจิตวิญญาณของเขา  เอลีจาห์  มูฮัมหมัด  ความขัดแย้งระหว่างพวกเขาเริ่มต้นขึ้น เมื่อมัลคอล์ม เอกซ์ ถูกห้ามพูดในนามของ “ประชาชาติอิสลาม” เป็นเวลา  90 วัน เมื่อเขาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการลอบสังหารของ ประธานาธิบดีจอห์นเอฟ. เคนเนดี ว่า เป็นเพราะทำตัวเอง

ในเดือนกุมภาพันธ์ 1964 เขาชักชวนให้ แคสเซียส เคลย์ แชมป์มวยโลก ประกาศเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม  และเปลี่ยนชื่อเป็น มูฮัมหมัดอาลี และเข้าร่วมกลุ่มของเขา

ในปี  1964 มัลคอล์ม เอ็กซ์  ไปประกอบพิธีฮัจญ์ เพื่อไปขอบริจาคให้กับกลุ่ม และกลับมาพร้อมกับแนวทางใหม่ในการดำเนินการต่อสู้ในขบวนการสิทธิพลเมือง โดยมีวิสัยทัศน์ทางศาสนาอิสลามที่แตกต่างไปจากแนวทางก่อนหน้าของเขา

ผลกระทบจากการไปเห็นชาวมุสลิมที่อยู่เคียงข้างกันการละหมาดในแถวที่ชิดกัน  การรับประทานอาหารจากจานเดียวกัน และการพูดในการชุมนุมที่เป็นหนึ่งเดียวโดยไม่มีความแตกต่างระหว่างสีผิวและเชื้อชาติ  ทำให้มัลคอล์ม เอ็กซ์ เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

มัลคอล์ม เอ็กซ์ กล่าวว่า  อเมริกาต้องเรียนรู้อิสลาม  เพราะอิสลามเป็นศาสนาเดียวที่แก้ปัญหาเหยียดผิวได้

เขาเลิกการเหยียดผิวขาว และประกาศเข้ารับอิสลามใหม่ พร้อมเดินทางไปอียิปต์เพื่อศึกษาศาสนาอิสลามกับชัยค์หะสะนัยน์  มัคลู๊ฟ  มุฟตีย์อียิปต์ขณะนั้น รวมถึงอุลามาอ์อื่นๆของอัซฮัร

เขาเพิ่มชื่อแรกของเขาว่า “ฮัจยีมาลิก  ชาบาซ”

กลับจากฮัจญ์  มัลคอล์ม เอ็กซ์ ได้พูดชักชวนเอเลจาห์  มุฮัมมัด ให้แก้ไขกฎเกณฑ์แนวปฏิบัติของกลุ่ม

และชักชวนให้ไปประกอบพิธีฮัจญ์ เพื่อจะได้เห็นศาสนาอิสลามที่แท้จริง แต่เอเลจาห์  มุฮัมมัด ปฏิเสธ

มัลคอล์ม เอ็กซ์  จึงออกมาตั้งกลุ่มใหม่ เป็นกลุ่มอิสลามอะลิซซุนนะฮ์ ไม่ต่อต้านคนผิวขาว และเข้าไปมีส่วนร่วมในการสมัครเลือกตั้งในระดับต่างๆ  ได้ออกปราศรัยทางการเมืองและเรียกร้องสิทธิของคนผิวดำ

เสียงเรียกร้องของเขาก็เริ่มดังขึ้นจากวงล้อมของชาวอเมริกันผิวดำ กระจายออกไปยังเผ่าพันธุ์และส่วนประกอบต่างๆของสังคมอเมริกัน

มัลคอล์ม เอ็กซ์ สนับสนุนและต่อสู้เพื่อจัดตั้ง “องค์กรเอกภาพแห่งแอฟริกันอเมริกัน” ในความพยายามที่จะเชื่อมโยงการต่อสู้ของคนอเมริกันผิวดำกับการต่อสู้ของชาติในแอฟริกาที่กำลังดิ้นรนเพื่อการปลดปล่อยแห่งชาติ

ในช่วงสองปีสุดท้ายของชีวิตเขาทุ่มเทให้กับการเขียนอัตชีวประวัติร่วมกับนักเขียน “อเล็กซ์เฮลีย์” ซึ่งตีพิมพ์ไม่นานหลังจากการฆาตกรรมของเขาภายใต้ชื่อ “อัตชีวประวัติของมัลคอล์ม”

● การเสียชีวิต

มัลคอล์ม เอ็กซ์  ถูกลอบสังหารเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 1965 โดยมือปืนสามคนจาก Nation of Islam ที่กระหน่ำยิงเขาในนิวยอร์ค ขณะที่กำลังปราศรัยเผยแผ่ศาสนาอิสลาม   และถูกฝังไว้ใน Ferncliffe Cemetery ใน Hartsdale, New York

● หลังการเสียชีวิต

ต่อมา วารีษุดดีน  บุตรชายของเอเลจาห์  มุฮัมมัด  ได้ขึ้นมาเป็นผู้นำกลุ่ม Nation of Islam หลังการเสียชีวิตของบิดา  วารีษุดดีน  เลื่อมไสในแนวคิดของ มัลคอล์ม เอ็กซ์ ได้นำสมาชิกกลุ่มทั้งหมดที่มีราวๆ 2 แสนคน เข้ารับอิสลามที่ถูกต้องและยกเลิกกลุ่ม Nation of Islam

จึงกล่าวได้ว่า เด็กจรจัดอย่างมัลคอล์ม เอ็กซ์  เป็นผู้นำคนนับแสนเข้ารับอิสลามด้วยประการฉะนี้

ขอให้อัลลอฮ์ตอบแทนความดีงามของท่าน


โดย Ghazali Benmad

12 กุมภาพันธ์ รำลึกวันเสียชีวิตอิหม่ามหะซัน อัลบันนา : เหตุผลของคนรังเกียจหะซัน บันนา

ชัยค์มูฮัมหมัด ฆอซาลี กล่าวในหนังสือ ”  دستور الوحدة الثقافية بين المسلمين   ธรรมนูญแห่งเอกภาพทางวิชาการของสังคมมุสลิม” ว่า

“อิหม่ามหะซัน  บันนา ผู้ซึ่งข้าพเจ้าและใครต่อใครอีกจำนวนมาก เห็นว่า ท่านเป็น “มุจัดดิด-นักปฏิรูป” ในฮิจเราะฮ์ศักราชศตวรรษที่ 14″

“ท่านวางหลักการจำนวนหนึ่ง ที่จะทำให้ความแตกแยกจะกลายเป็นความสามัคคี ทำให้เป้าหมายแจ่มชัดในความขมุกขมัว และนำมุสลิมหวนคืนสู่คัมภีร์ของพระเจ้าและซุนนะฮ์ของท่านศาสดาของพวกเขา”

“หะซัน อัลบันนา ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของบรรดาผู้นำอิสลามในอดีต อัลลอฮ์ได้ให้พรสวรรค์ที่หลายคนมีมารวมกันในตัวท่านคนเดียว ท่านอ่านอัลกุรอานเป็นกิจวัตรด้วยสำเนียงไพเราะเสนาะโสต ทั้งยังสามารถอรรถาธิบายได้ช่ำชองประดุจดั่งอัตตอบารีย์ หรือกุรตุบีย์ และโดดเด่นเป็นพิเศษในการทำความเข้าใจความหมายที่ยากที่สุดและจากนั้นนำเสนอแก่ผู้คนในลักษณะที่ง่ายและเข้าใจได้ทั่วกัน”

“ในขณะเดียวกัน วิธีการอบรมสั่งสอนศิษย์ผู้ติดตามท่าน และการจุดไฟรักต่ออัลลอฮ์ของท่าน ทำให้นึกถึงหาริษ อัลมุหาซิบีย์ หรืออบูฮามิด อัลฆอซาลี”

“อิหม่ามอัลบันนา เข้าใจประวัติศาสตร์อิสลามอย่างครอบคลุมทะลุปรุโปร่ง สามารถเข้าใจปัจจัยความรุ่งเรืองและความตกต่ำ น้ำขึ้นน้ำลง ในยุคต่างๆของอิสลาม และมีความรู้ที่ลึกอย่างที่สุดเกี่ยวกับโลกอิสลามในปัจจุบัน และการสมคบคิดของต่างชาติในการยึดครองโลกมุสลิม”

“ท่านได้ก่อตั้งกลุ่มขึ้นมา เพื่อกระทุ้งทำลายอาณานิคมทางวัฒนธรรมและทางทหาร และใส่วิญญาณแห่งชีวิตเข้าสู่เรือนร่างที่ไม่ไหวติง ทำให้อเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส

ส่งเอกอัครราชทูตไปยังรัฐบาลของกษัตริย์ฟารุกเรียกร้องให้ยุบกลุ่มภราดรภาพมุสลิม ในที่สุดกลุ่มก็ถูกยุบ และอิหม่ามหนุ่มก็ถูกสังหาร”

“หะซัน บันนา เริ่มต้นทำงานจากศูนย์  ไร้เสียงโหวกเหวก เพื่อปลุกอิสลามที่หลับใหลอยู่ในหัวใจได้ตื่นฟื้นคืนมา รวมถึงการกำกับทิศทางการทำงาน”

“เกียรติศักดิ์ของท่านเพียงพอแค่เพียงผลงานการสร้างกลุ่มคนหนุ่มที่ทำลายค่ายทหารอังกฤษที่ตั้งอยู่ในแนวคลองสุเอซ และคอยติดตามโจมตีจนกระทั่งอังกฤษถอนตัวออกไปจากอียิปต์”

“เกียรติศักดิ์ของท่านเพียงพอแค่เพียงผลงานการสร้างคนหนุ่มที่รบปะทะกับยิวในทุกสมรภูมิ สามารถยัดเหยียดความปราชัยและทำให้ยิวต้องล่าถอยทุกครั้งไป”

“นี่คือเหตุผลที่ทำให้ลัทธิล่าอาณานิคมยืนยันที่จะต่อต้านสำนักนี้ไม่ว่า ณ ที่ใดๆ ในโลก”


โดย Ghazali Benmad

คำกล่าวแสดงความยินดีแก่บัณฑิตมอย. รุ่นที่ 9/2554

ชีค ดร.อุมัร อุบัยด์ หะสะนะฮฺ

ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและอิสลามศึกษาประเทศกาตาร์

เนื่องในโอกาสพิธีประสาทปริญญารุ่นที่ 9 ประจำปีการศึกษา 2554

29 มกราคม 2555

          มวลการสรรเสริญแด่พระผู้ทรงเลือกสรรให้เราอยู่ในฐานะผู้รับมรดกภารกิจของบรรดานบีและสืบทอดเจตนารมณ์แห่งอัลกุรอาน พระองค์กล่าวความว่า : “และเราได้ให้คัมภีร์เป็นมรดกสืบทอดมาแก่บรรดาผู้ที่เราคัดเลือกแล้วจากปวงบ่าวของเรา บางท่านในหมู่พวกเขาเป็นผู้อธรรมแก่ตัวเองและบางคนในหมู่พวกเขาเป็นผู้เดินสายกลางและบางคนในหมู่พวกเขาเป็นผู้รุดหน้าในการทำความดีทั้งหลาย” (ฟาฏิร/32)และเราวอนขอจากอัลลอฮฺได้โปรดทำให้เราเป็นกลุ่มชนที่เป็นรุดหน้าในการทำความดีเพื่อตอบสนองคำสั่งของอัลลอฮฺ ความว่า “ ท่านทั้งหลายจงแข่งขันรุดหน้าทำความดีกันเถิด ” (อัลบาเกาะเราะฮฺ/148)

          ความจำเริญและศานติขอมอบแด่ศาสนทูตผู้เป็นบรมครูซึ่งท่านได้กล่าวความว่า “ แท้จริงฉันถูกส่งมายังโลกนี้ในฐานะบรมครูเท่านั้น ” ส่วนหนึ่งของการวอนดุอาอฺของท่านอยู่เนืองนิจ คือ “ ฉันขอให้พระพระองค์ทรงเพิ่มพูนความรู้แก่ฉันด้วยเถิด ” และท่านขอความคุ้มครองให้รอดพ้นจากความรู้ที่ไม่มีประโยชน์เพราะความรู้ไม่มีคุณค่าจะไม่สามารถสร้างประโยชน์แก่มวลมนุษย์ ด้วยเหตุนี้มนุษย์ที่เป็นที่รักที่สุดของอัลลอฮฺคือ ผู้ที่สร้างคุณประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์มากที่สุด

–        ฯพณฯรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศาสนสมบัติและกิจการอิสลามประเทศกาตาร์

–        ท่านนายกสภามหาวิทยาลัยอิสลามยะลา

–        อธิการบดีมหาวิทยาลัยอิสลามยะลา

–        กรรมการสภา คณะผู้บริหารและคณาจารย์ แขกผู้มีเกียรติ ผู้ปกครองและลูกหลานบัณฑิตทุกท่าน

Assalamu alaikum warahmatullah wabarakatuh

          อัลลอฮฺกล่าว ความว่า “ จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) “ ด้วยความโปรดปรานของอัลลอฮและด้วยความเมตตาของพระองค์จงดีใจเถิดด้วยสิ่งดังกล่าวนั้น (เพราะความโปรดปรานและความเมตตาของพระองค์)ดียิ่งกว่าสิ่งพวกเขาสะสมไว้ ” (ยูนุส/58)

          ในโอกาสพิธีประสาทปริญญา รุ่นที่ 9 มหาวิทยาลัยอิสลามยะลาในครั้งนี้ ผมใคร่ขอแสดงความความยินดีและเป็นช่วงเวลาที่มีความเหมาะสมที่สุดที่เราต่างปลาบปลื้มเนื่องจากความโปรดปรานอันยิ่งใหญ่นี้ ที่อัลลอฮฺได้ประทานเตาฟิกให้กำเนิดมหาวิทยาลัยแห่งนี้และได้ดำเนินภารกิจอย่างสำเร็จลุล่วงและทรงอุปถัมป์สถาบันแห่งนี้ด้วยการให้โอกาสแก่ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมพัฒนา ดังกรณีกระทรวงศาสนสมบัติและกิจการอิสลามประเทศกาตาร์ที่ได้ยืนอย่างเคียงบ่าเคียงไหล่กับมหาวิทยาลัยในการเปิดสาขาและศาสตร์ต่างๆที่สร้างความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน แก่นักศึกษา สร้างความภูมิใจให้กับพวกเขาในการเป็นผู้รับมรดกจากบรรดาศาสนทูตและเสริมสร้างบุคลิกภาพแห่งความเป็นสายกลางและสันติเพื่อสานต่อภารกิจของบรรดานบี รู้จักปฏิสัมพันธ์กับยุคสมัยอย่างรู้เท่าทัน พร้อมเชิญชวนมนุษย์สู่คุณค่าของอิสลามด้วยวิทยปัญญาและการตักเตือนที่ดี เพราะบัณฑิตในวันนี้คือกำลังหลักที่สำคัญของสังคมในอนาคต พวกเขาจะแบกภาระศาสนานี้ในสังคมต่อไป นบีได้กล่าวความว่า “ ความรู้นี้จะถูกรับภาระโดยผู้ทรงความยุติธรรมที่สืบทอดจากบรรพชนรุ่นแล้วรุ่นเล่า พวกเขาจะปฏิเสธการตีความของคนไม่รู้ จะลบล้างการแอบอ้างของมิจฉาชน และจะยับยั้งการเบี่ยงเบนของบรรดาผู้สุดโต่ง ”  (รายงานโดยบัยหะกีย์)

ผู้มีเกียรติทุกท่าน

ไม่เป็นที่สงสัยเลยว่า ภราดรภาพอิสลาม ยืนหยัดด้วยฐานแห่งหลักการศรัทธา ดั้งอัลลอฮ กล่าวความว่า “ ศรัทธาชนคือพี่น้องกัน ”  (อัลหุญร็อต/10)  นบีมุหัมมัดกล่าวความว่า   “ จะไม่เป็นผู้ศรัทธาจนกว่าเขาจะรักพี่น้องของเขาเสมือนที่เขารักตนเอง ”  (รายงานโดยอัลบุคอรีย์)  ประชาชาติมุสลิมคือประชาชาติเดียวที่ก่อร่างสร้างตัวด้วยอัลกุรอานและสามารถโลดแล่นด้วยพลังแห่งมัสยิด และมัสยิดคือสถาบันแรกที่ค้ำจุนการกำเนิดของสังคมมุสลิม  อิสลามได้กำหนดว่าการแสวงหาความรู้คือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับมุสลิมทุกคน ทั้งนี้เพราะการเรียนการสอน การแสวงหาความรู้และการอ่านถือเป็นกุญแจสำคัญในศาสนานี้ พจนารถแรกที่ถูกประทานลงมายังฟากฟ้า เพื่อกอบกู้มนุษย์บนโลกนี้และสร้างอารยธรรมแห่งความปรานี ผ่านศาสนาทูตคนสุดท้ายคือพจนารถที่เริ่มต้นด้วย “ อิกเราะ ” แปลว่าจงอ่าน

สิ่งเหล่านี้เป็นคำยืนยันถึงอัตลักษณ์สาสน์ของเรา พร้อมปฏิบัติภารกิจบนโลกนี้ทั้งต่อตนเอง สังคม ประเทศชาติและมนุษยชาติทั้งมวล อัลลอฮฺได้กำหนดเป้าหมายสำคัญของการประทานนบีมูฮำมัดคือ การธำรงไว้ซึ่งความปรานีแก่สากลจักรวาล เราต้องถามตัวเองว่า อะไรบ้างที่เป็นบทบาทและผลงานของเราในอารยธรรมแห่งความปรานีนี้ อารยธรรมสายกลางและความสมดุล  ดังที่อัลลอฮฺกล่าว ความว่า “ และในทำนองเดียวกัน เราได้ให้พวกเจ้าเป็นประชาชาติที่เป็นกลาง เพื่อพวกเจ้าจะได้เป็นสักขีพยานแก่มนุษย์ทั้งหลาย“ (อัลบะเกาะเราะฮฺ / 143)                           

ภารกิจสำคัญของเราขณะนี้คือ ทวงคืนกระบวนการสร้างอารยธรรมแห่งความปรานี  อารยธรรมที่เรียกคืนศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ สิทธิเสรีภาพในความเชื่อและประกอบพิธีทางศาสนาและกำหนดทางเลือกแก่ตนเอง ภายใต้สโลแกน ” ไม่มีการบังคับในการนับถือศาสนา”(อัลบะเกาะเราะฮฺ/256)หลังจากที่เราชี้แจงเส้นทางที่ถูกต้องและเส้นทางที่เบี่ยงเบนแก่มนุษย์แล้ว

นับเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่มหาวิทยาลัยอิสลามยะลายึดถือมาโดยตลอด คือการให้เกียรติบุคคลตามโอกาสพิเศษต่าง โดยที่ในปีนี้มหาวิทยาลัยอิสลามยะลาได้มีมติ มอบรางวัล โล่เกียรติคุณ ผู้สร้างคุณประโยชน์แก่สังคมดีเด่น(Tokoh Berjasa) แก่ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง

เลขาธิการ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ข้าพเจ้าในนามคณะกรรมการสภามหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ใคร่แสดงความยินดีแก่ท่านด้วยความจริงใจ

           แขกผู้มีเกียรติ

           ลูกหลานบัณฑิตทุกท่าน

          สาส์นของท่านยิ่งใหญ่มาก และใหญ่เพิ่มเป็นทวีคูณเมื่อเทียบกับการที่ท่านอยู่ในประเทศนี้ ภารกิจของท่านถือเป็นการก่อสร้างที่หนักหน่วง ถือเป็นญิฮาดและสัญลักษณ์สำคัญของการญีฮาดทีเดียว

          ดังนั้น จึงไม่แปลกที่อัลกุรอานใช้คำว่า “ กองกำลังกลุ่มหนึ่ง“ แทนกลุ่มนักศึกษา ดังที่  อัลกุรอานกล่าว ความว่า “ ทำไมแต่ละกลุ่มในหมู่พวกเขาจึงไม่ออกไปเพื่อหาความเข้าใจในศาสนา และเพื่อจะได้ตักเตือนหมู่คณะของพวกเขา เมื่อพวกเขาได้กลับมายังหมู่คณะของพวกเขา โดยหวังว่าหมู่คณะของพวกเขาจะได้ระมัดระวัง “ (อัตเตาบะฮฺ /122)        

ดังกรณีที่ อัลกุรอานใช้คำว่า “ กองกำลังกลุ่มหนึ่ง” กับกองพลในสนามรบ “ พวกเจ้าจงออกไปกันเถิด ทั้งที่ผู้มีสภาพว่องไว และผู้ที่มีสภาพเชื่องช้า (บุคคลทุกประเภทที่สามรถจะเดินทางได้) และจงเสียสละทั้งด้วยทรัพย์ของพวกเจ้า และชีวิตของพวกเจ้าในทางของอัลลอฮฺ นั่นแหละคือสิ่งที่ดียิ่งสำหรับพวกเจ้า หากพวกเจ้ารู้

          วันนี้เป็นวันแห่งความปลาบปลื้มและปีติยินดี จากความสำเร็จของลูกหลานของเราที่เป็นบัณฑิตใหม่ ซึ่งเป็นการเริ่มต้นของการกลับสู่ครอบครัว สังคม และประชาชาติ เราจำเป็นที่จะต้องมอบภารกิจให้กับพวกเขาในการนำศาสตร์ความรู้ที่ถูกต้อง และลบล้างทัศนคติเชิงลบทั้งหลาย พร้อมนำความรู้ไปพัฒนาคุณภาพชีวิต และตักเตือนพวกเขาให้พ้นจากเส้นทางที่เบี่ยงเบน (หวังว่าหมู่พวกเขาจะได้ระมัดระวัง)

          พี่น้องนักศึกษา

          ใบปริญญาจากมหาวิทยาลัยเปรียบเสมือนเข็มทิศ จะนำทางสู่การทำงานและเป็นกุญแจดอกเล็กๆ เพื่อเปิดทางในกระบวนการสร้างสิ่งยิ่งใหญ่ และปริญญาคือการเริ่มต้น ไม่ใช่เป็นการสิ้นสุดของการศึกษาหาวิชาความรู้

          ขอดุอาอฺจากอัลลอฮฺให้เพิ่มพูนความรู้ และขอความคุ้มครองให้รอดพ้นจากความรู้ที่ไม่มีประโยชน์ ภารกิจทุกอย่างขอมอบแด่อัลลอฮฺ แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงคุ้มครองที่ดีเลิศ และผู้ทรงช่วยเหลือที่ดีเยี่ยม

          สุดท้ายนี้ ขอแสดงความยินดีให้กับบัณฑิตทุกคน และขอชื่นชมมหาวิทยาลัยอิสลามยะลาและคณะผู้บริหารที่มีบทบาทสำคัญ ในการสร้างเกียรติประวัติของมุสลิมในภูมิภาคนี้ และได้สร้างหอประภาคารแห่งการเรียนรู้ และแสงสว่างที่นำทางแก่มวลมนุษย์ นำเสนอคุณค่าของศาสนาอิสลาม ที่ปราศจากรุนแรงและสุดโต่ง

Wassalam