บทความยอดเยี่ยมระดับ 5 ดาว โดย ศ.ดร.มุฮัมมัดฮาบีบ อัลมัรซูกีย์ นักคิดตูนีเซีย

บทความยอดเยี่ยมระดับ 5 ดาว
โดยศาสตราจารย์ ดร.มุฮัมมัดฮาบีบ อัลมัรซูกีย์ นักคิดตูนีเซีย สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญตูนีเซีย อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยตูนีเซีย และมหาวิทยาลัยอิสลามนานาชาติ มาเลเซีย

***

การที่ประเทศกรีซกลัวความก้าวหน้าและความทะเยอทะยานของตุรกีที่จะกลับคืนสู่ความยิ่งใหญ่และบทบาทเหมือนเช่นในอดีต เป็นที่เข้าใจได้ เพราะกรีซยังไม่ลืมว่าในอดีตยุคหนึ่งเคยตกอยู่ภายใต้การปกครองของออตโตมัน แม้จะลืมไปว่าออตโตมันได้ให้เสรีภาพในการนับถือศาสนาแก่พวกเขา อันเป็นไปตามหลักการศาสนาอิสลาม ที่ขัดแย้งอย่างสิ้นเชิงกับความคลั่งในศาสนาคริสต์ออโตด๊อกซ์ของพวกเขา

หากว่าไม่มีออตโตมัน แน่นอนพื้นที่ทะเลในเขตทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทั้งหมด ก็จะตกอยู่ภายใต้อำนาจของโรมันเหมือนเช่นในอดีต ที่ทะเลแห่งนี้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นภาษาโรมันว่า “ทะเลมารานุตรา” และกษัตริย์ชาร์ล ที่ 5 ต้องการเข้ามาปกครองเหมือนเช่นในอดีตอีกครั้ง

การที่ฝรั่งเศสหวาดกลัวตุรกีด้วยเหตุผลเดียวกัน ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เนื่องจากฝรั่งเศสยังไม่ลืมว่าความใฝ่ฝันของบรรพบุรุษของพวกเขาจบลงพร้อมกับการเข้ามาของออตโตมัน แม้ว่าฝรั่งเศสจะลืมไปว่าบรรพบุรุษของพวกเขาได้รับการคุ้มครองโดยอาณาจักรออตโตมันเช่นกัน

การที่โปรตุเกสกลัวตุรกีก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะอาณาจักรออตโตมันเป็นผู้ขับไล่พวกเขาออกจากอ่าวอาหรับ ทะเลแดง และทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

การที่เยอรมันกลัวออตโตมัน ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะว่าออตโตมันเป็นผู้ทำให้กษัตริย์ชาร์ล ที่ 5 ผู้สถาปนายุโรปสมัยใหม่ ต้องถูกขับไล่พ้นไปจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และออตโตมันยังทำให้สงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ผู้นับถือศาสนาอิสลามที่เกิดขึ้นกับอาหรับในแอนดาลุสเซียสิ้นสุดลง และยับยั้งแผนการของไกเซอร์ในภูมิภาคนี้

การที่ชนชาติเปอร์เซียกลัวตุรกีก็เป็นที่เข้าใจได้ เพราะว่าพวกเขาต่อต้านอิสลามสายสุนหนี่มาตลอด ตั้งแต่ในอดีตจนกระทั่งปัจจุบัน และไม่มีใครกำหราบพวกเขาได้ ยกเว้นเซลจู๊กเติร์กในยุคแรก และออตโตมันเติร์กในยุคหลัง

แต่การที่อิสราเอลกลัวตุรกีเป็นสิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้เลย ยกเว้นเรื่องของการ ไม่รู้จักบุญคุณคนและอันธพาลทางเชื้อชาติ เพราะว่าออตโตมันเป็นผู้คุ้มครองยิวในโลกในช่วงสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และสงครามศาสนาในยุคครูเสด

ที่ยิ่งไม่เข้าใจไปกว่านั้น คือการที่ชนชั้นปกครองของอาหรับกลัวตุรกี และมุ่งมาดปรารถนาที่จะต่อต้านทำลายตุรกี

เป็นปริศนาที่ยากจะเข้าใจ เป็นเรื่องที่ อาหรับคนหนึ่ง หากว่ามีความเป็นลูกผู้ชายแม้เพียงสักเศษเสี้ยว ก็ย่อมไม่อาจปฏิเสธความจริงได้ว่า หลังจากสิ้นสุดราชวงศ์อุมัยยะฮ์หลักและอุมัยยะฮ์สายย่อย หากว่าไม่มีเติร์กช่วยคุ้มครองไว้ อาหรับก็จะไม่สามารถดำรงอยู่ได้มาถึงวันนี้

หากไม่มีออตโตมัน มุสลิมสุนหนี่และอาหรับก็จะไม่มีหลงเหลืออีก

หากไม่มีออตโตมัน ก็จะไม่มีมุสลิมสักคนคงเหลือในภูมิภาคอาหรับ เพราะว่า สงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ผู้นับถือศาสนาอิสลามที่เกิดขึ้นยุคนั้น-หมายถึงอาหรับในแอนดาลุสเซีย- ร้ายแรง ยิ่งกว่าสงครามครูเสดเพราะสงครามครูเสดเกิดขึ้นในยุคที่อิสลามเจริญสูงสุดและเข้มแข็งที่สุด ในขณะที่ สงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ผู้นับถือศาสนาอิสลามในแอนดาลุสเซีย เกิดขึ้นในช่วงที่อาหรับตกต่ำที่สุด ทั้งทางจิตวิญญาณและวิทยาการทางวัตถุ

หากว่าไม่มีออตโตมัน แน่นอนพื้นที่ทะเลในเขตทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทั้งหมด ก็จะตกอยู่ภายใต้อำนาจของโรมันเหมือนเช่นในอดีต ที่ทะเลแห่งนี้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นภาษาโรมันว่า “ทะเลมารานุตรา” และกษัตริย์ชาร์ล ที่ 5 ต้องการเข้ามาปกครองเหมือนเช่นในอดีตอีกครั้ง

เขตทะเลอาหรับ ทะเลแดง และอ่าวเปอร์เซีย ก็เช่นเดียวกัน หากว่าข้อตกลงสัญญาพันธมิตรระหว่างซาฟาวิดและโปรตุเกส เกิดขึ้นจริงอย่างที่คาดหวัง แน่นอนอิหร่านปัจจุบันก็จะได้ครอบครองเขตพื้นที่ทั้งหมดที่ตกอยู่ภายใต้อาณานิคมของเปอร์เซียโบราณก่อนอิสลาม รวมถึงเขตอาณานิคมของไบเซนไตน์

อิสราเอลปัจจุบัน มาแทนที่อาณาจักรไบแซนไทน์ในอดีต และรัสเซีย โดยวลาดิเมียร์ปูติน อาจวางแผนที่จะฟื้นคืนบทบาทไบเซนไทน์ในภูมิภาคนี้ในอดีตเช่นกัน

แต่ที่สามารถเข้าใจได้ก็คือ จุดยืนของผู้ปกครองโลกอาหรับปัจจุบัน ย่อมเป็นจุดยืนโดยธรรมชาติของผู้ปกครองที่ อังกฤษแต่งตั้งขึ้น เพื่อการทรยศหักหลังออตโตมัน และเป็นพันธมิตรร่วมกันโค่นอาณาจักรออตโตมันในอดีต

และเข้าใจได้ว่าอาหรับชาตินิยมบางกลุ่ม และซากเดนของเผด็จการฟาสซิสต์ และกลุ่มซ้ายจัดที่เป็นทาสของเผด็จการทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะในอาหรับอย่างเดียว

เข้าใจได้ที่คนเหล่านี้ล้วนหวาดกลัวต่อการหวนคืนของตุรกีสู่การเป็นอิสลามเหมือนเช่นบรรพบุรุษ รวมถึงความยิ่งใหญ่ของพวกเขา ซึ่งสิ่งนี้หมายถึง ความเพ้อฝันของอาหรับเหล่านั้น ที่จะใช้ชีวิต อย่างเกษมสำราญ บนเปลือกของเศษซากของอารยธรรม อ้างว่าเป็นความทันสมัยและวัฒนธรรมยุคใหม่ ทั้งๆที่ความจริงแล้วไม่มีอะไรมากไปกว่าเรื่องของการแสวงหาความสุขสำราญไปวันๆ

ผู้เขียนไม่เคยเห็นชนชั้นนำของประเทศไหนที่โง่เง่าเช่นนี้ ที่เห็นว่าความทันสมัย คือการใช้ชีวิตในฐานะผู้บริโภค ไม่ใช่ผู้ผลิตที่มีเกียรติศักดิ์ศรี มีจิตวิญญาณเสรี และไม่ตกเป็นเบี้ยล่างของผู้ใด

สิ่งที่ไม่เข้าใจอีกประการหนึ่งคือ ทั้งๆ ที่ตุรกีไม่มีอะไรน่ากลัวสำหรับชาวอาหรับ ถ้าหากพวกเขามีสมองเพียงเล็กน้อย เพียงแค่รวมรัฐเล็กๆ 4 รัฐในโลกอาหรับ ก็เพียงพอที่จะสามารถเป็นผู้มีอำนาจทางเศรษฐกิจ หรือแม้กระทั่งอำนาจทางทหารที่ทัดเทียมกับตุรกีหรือมากกว่าเป็นเท่าตัว เพราะรายได้มวลรวม GDP ของประเทศเหล่านั้นมีมากกว่าล้านล้านดอลลาร์

เพียงแค่พวกเขามีความใฝ่ฝันเหมือนบรรพบุรุษ ก็จะสามารถหลุดพ้นจากการเป็นเด็กๆ ไร้สมองของพวกเขา เพราะรายได้จีดีพีของพวกเขาเหนือกว่าจีดีพีของตุรกี

จริงๆ แล้วอาหรับไม่จำเป็นต้องกลัวตุรกี แต่สามารถใช้เป็นที่พึ่ง ปกป้องประชาชาติอิสลามในโลกอาหรับรวมถึง ประชาชาติทั้งมวล ตั้งแต่อาหรับภาคตะวันตกไปจนกระทั่งอินโดนีเซีย รวมถึงมุสลิมพลัดถิ่นในพื้นที่ต่างๆทั่วโลกหากว่าอาหรับผู้สถาปนารัฐอิสลามยุคแรกและตุรกีผู้พิทักษ์ยุคหลัง จับมือกันจริงๆ เหมือนเช่นในอดีต

ผู้เขียนไม่เคยเห็นชนชั้นนำของประเทศไหนที่โง่เง่าเช่นนี้ ที่เห็นว่าความทันสมัย คือการใช้ชีวิตในฐานะผู้บริโภค ไม่ใช่ผู้ผลิตที่มีเกียรติศักดิ์ศรี มีจิตวิญญาณเสรี และไม่ตกเป็นเบี้ยล่างของผู้ใด

หากทว่าในความเป็นจริง บรรดาผู้นำอาหรับ -ไม่รวมประชาชนชาวอาหรับ -ที่ไร้ความใฝ่ฝันกลับชอบที่จะแตกแยก
พวกเขามี 2 กลุ่ม กลุ่มทาสและกลุ่มผู้อยู่ภายใต้อารักขา

ผู้นำอาหรับส่วนหนึ่งเป็นทาสของซาฟาวิด บางส่วนเป็นทาสของไซออนิสต์ พวกเขาจ่ายค่าคุ้มครองอีก 2 เท่า ให้แก่รัสเซียและอเมริกา ตลอดจนแขนขาของทั้งสอง ทั้งอิหร่านและอิสราเอล และมีความสุขอยู่กับการกลับไปสู่ความแตกแยกเหมือนชนเผ่าอาหรับโบราณ

สิ่งเหล่านั้นทำให้ผู้ปกครองอาหรับในวันนี้ กดขี่ประชาชนอย่างโหดร้ายทารุณ ทั้งทางการเมืองและทางเศรษฐกิจ มีการอุปโลกน์ผู้นำจอมปลอมและพวกกเฬวรากให้กลายเป็นวีรบุรุษกลวงๆ ให้เป็นชนชั้นนำทางการเมืองและทางการศึกษา ทั้งๆที่ ผู้นำเหล่านั้นนำพาประเทศไปสู่ความตกต่ำ ความใฝ่ฝันสูงสุดของผู้นำเหล่านั้นคือการรับเอาความเจริญรุ่งเรืองที่ผิดที่ผิดทาง เนื่องจากพวกเขาคิดว่าความเจริญรุ่งเรืองเป็นสิ่งของสำเร็จรูปที่สามารถนำเข้ามาได้ พวกเขายังสับสน ยังเข้าใจผิดคิดว่านั่นเป็นความเจริญ

อัลลอฮ์สร้างคนมาหลากหลายประเภทจริงๆ

—————
แปลสรุปโดย Ghazali benmad

อ่านต้นฉบับเต็มๆที่
http://howiyapress.com/%d8%a7%d9%84%d8%b9%d8%ab%d9%85%d8%a7%d9%86%d9%88%d9%81%d9%88%d8%a8%d9%8a%d8%a7/

ติดตามอ่านบทความต่างๆของท่านได้ทาง https://twitter.com/Abou_Yaareb?s=09

รัฐมนตรีต่างประเทศประเทศลิเบียแจ้งไม่พร้อมต้อนรับคณะรัฐมนตรีต่างประเทศของกลุ่มอียู

รัฐมนตรีต่างประเทศประเทศลิเบียแจ้ง ไม่พร้อมต้อนรับคณะรัฐมนตรีต่างประเทศของกลุ่มอียู

ภาพจาก mugtama.com

มุฮัมมัด สิยาละฮ์ รัฐมนตรีต่างประเทศลิเบีย ได้แจ้งกับบรรดาคณะรัฐมนตรีต่างประเทศของกลุ่มประเทศยุโรป ให้ชะลอการเดินทางมาเยือนลิเบีย ออกไปก่อน จากเดิมที่มีกำหนดว่า จะมาเยือนในวันที่ 7 มกราคม 2563

การปฏิเสธการมาเยือนของกลุ่มประเทศยุโรปในครั้งนี้ บ่งบอกถึงความไม่พอใจของลิเบียที่มีต่อยุโรป ที่ไม่เคยแสดงความตั้งใจที่จะมาแก้ไขปัญหาจากการถูกโจมตีโดยกองกำลังของนายพลฮัฟตาร์ แต่หลังจากที่ตุรกีลงนามในสัญญา การทหารและความมั่นคง ก็ขอมาเยี่ยมเยียนทันที ซึ่งลิเบียและตุรกีมองว่าเป็นการเข้ามาขัดขวางการทำงานของตุรกีมากกว่าที่จะต้องการแก้ไขปัญหาของลิเบีย อีกทั้งกลุ่มประเทศยุโรปบางส่วน เช่น ฝรั่งเศส ก็เป็นผู้สนับสนุนนายพลฮัฟตาร์ ในการโจมตีรัฐบาลลิเบีย รวมถึงมีกระแสว่ากลุ่มยุโรปและมหาอำนาจ ต้องการรับรองสถานะของนายพลฮัฟตาร์ ให้เท่าเทียมกับรัฐบาลลิเบีย ที่สหประชาชาติรับรอง ในการประชุมแก้ปัญหาลิเบียที่กรุงเบอร์ลินปลายเดือนนี้

เขียนโดย Ghazali benmad

มหากาพย์ลิเบีย (ตอนที่ 1)

หลังจากอดีตผู้นำลิเบียกัดดาฟีถูกโค่นล้มในปี ค.ศ. 2011 ส่งผลให้ลิเบียเกิดภาวะไร้ขื่อแป เกิดสงครามกลางเมืองระหว่างกลุ่มติดอาวุธนับร้อยทั่วประเทศ ส่งผลให้มีรัฐบาลลิเบียสองชุด ชุดแรกเรียกว่ารัฐบาลสามัคคีแห่งชาติ (The Government of National Accord – GNA) อยู่ในกรุงตริโปลี ภาคตะวันตกเป็นรัฐบาลที่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน และได้รับการยอมรับจากสหประชาชาติ อีกชุดหนึ่งไปตั้งอยู่ที่เมืองโตบรุก ทางภาคตะวันออก โดยมีกองกำลังติดอาวุธกองทัพแห่งชาติลิเบีย (Libyan National Army -LNA) ของจอมพล เคาะลีฟะฮ์ ฮัฟตาร์ ซึ่งมีสหรัฐฯ อียิปต์ และสาธารณรัฐอาหรับอิมิเรตส์หนุนหลัง

จอมพลฮัฟตาร์ (77 ปี) มีภารกิจคล้ายๆกับนายพลซีซีย์แห่งอิยิปต์ สื่ออาหรับเรียกเขาว่า ซีซีย์แห่งลิเบียทีเดียว

เขาได้รับการสนับสนุนทางอาวุธจากมหาอำนาจตะวันตกโดยมีประเทศอาหรับบางประเทศคอยเป็นเจ้าภาพคอยจ่ายสดให้ หลังจากลี้ภัยที่สหรัฐฯเกือบ 20 ปี แต่กลับสามารถสร้างกองทัพที่เข้มแข็ง ท้าทายความมั่นคงของรัฐบาลกลางตริโปเลีย ภายในระยะเวลาสั้นๆเพียง 3-4 ปี พร้อมๆกับข้ออ้างของสหรัฐฯว่า ต้องการปราบปรามกลุ่มไอเอสที่ลิเบีย

จอมพลฮัฟตาร์เริ่มปฏิบัติการจุดไฟสงครามกลางเมือง ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ค. ศ. 2014 และยืดเยื้อจนกระทั่งปัจจุบัน ทั้งๆที่รัฐบาลได้รับการรับรองจากสหประชาชาติ ผ่านการเลือกตั้งตามครรลองประชาธิปไตยทุกประการ แต่มหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ และรัสเซีย ได้โหวตคัดค้านมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่จะหยุดยั้งการบุกโจมตีกรุงตรีโปลีของจอมเผด็จการเปื้อนเลือด จอมพลฮัฟตาร์ แม้กระทั่งประธานาธิบดีทรัมป์แห่งสหรัฐฯ ได้ประกาศยอมรับว่าจอมพลฮัฟตาร์ มีบทบาทสำคัญในการต่อสู้กับกลุ่มก่อการร้ายและการรักษาความมั่นคงของลิเบีย

ใครที่ยังไม่เข้าใจบทบาทของที่ลิเบียขอให้รีวิวบทบาทของนายมะห์มูดอับบาส แห่งปาเลสไตน์ นายซีซีย์แห่งอียิปต์ กลุ่มก่อการร้ายติดอาวุธ PKK ที่ตุรกี และกลุ่มสาขาย่อยของ PKK ทางภาคเหนือซีเรียและอิรัก

ชาติมหาอำนาจตะวันตกคำรามก้องทั่วโลกว่า จะปราบปรามก่อการร้าย แต่กลุ่มก่อการร้ายกลับผุดขึ้นอย่างเข้มแข็ง อย่างดอกเห็ดทั่วโลกเช่นกัน เพราะกลุ่มก่อการร้ายเหล่านี้ หาใช่เป็นใครอื่น นอกจากเป็นกลุ่มไวรัสที่บริษัทแอนตี้ไวรัสตั้งใจสร้างขึ้นมา และเผยแพร่ไปทั่วโลก เพื่อหวังกำไรจากธุรกิจนี้ให้มากที่สุดเท่านั้น

คลิปชาวลิเบียตะโกนด่านายหัฟตาร์ว่า เป็นศัตรูของอัลลอฮ์ หลังจากที่เขาถล่มชาวบ้านเมื่อ เมษายน 2019 ที่ผ่านมา

โดย ทีมข่าวต่างประเทศ

ตุรกีส่งทหารเข้าลิเบียตามข้อตกลงทวิภาคีระหว่างตุรกีกับลิเบีย

ประธานาธิบดีแอร์โดฆานแห่งตุรกีประกาศ เริ่มส่งทหารเข้าไปช่วยรัฐบาลลิเบีย ในขณะที่อียิปต์ สาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เลขาธิการสหประชาชาติ ผู้นำศาสนาของอียิปต์และซาอุดิอาระเบียออกแถลงการณ์คัดค้าน

ท่ามกลางความโกลาหล ที่กองกำลังนายพลฮัฟตาร์ โดยการสนับสนุนของอียิปต์ อิมิเรตส์ รัสเซียและซูดาน ทุ่มเทกำลังพลและอาวุธ บุกโจมตีฝ่ายรัฐบาลในกรุงทริโปลีอย่างหนักหน่วง เมื่อวันอาทิตย์วานนี้ 5/1/2563 ทำให้โรงเรียนนายร้อยของลิเบียถูกเครื่องบินโจมตี และมีนักเรียนนายร้อยเสียชีวิต 30 คน และบาดเจ็บอีกจำนวนมาก

สถานการณ์เลวร้ายถึงขนาดที่ฝ่ายรัฐบาลลิเบียอาจจะต้องถูกกองทัพนายพลฮัฟตาร์ยึดเมืองหลวงได้ หากไม่ได้ตุรกีที่เข้ามาแทรกแซงตามข้อตกลงทางทหารกับลิเบีย

ประธานาธิบดีแอร์โดฆานแห่งตุรกีให้สัมภาษณ์ ผ่านช่อง CNN และช่อง D เมื่อวันอาทิตย์วานนี้ 5/1/2563 ว่า ยืนยันที่จะสนับสนุนรัฐบาลที่ได้รับการรับรองจากนานาชาติ และจะไม่รับการแก้ปัญหาแบบพบกันครึ่งทางระหว่างรัฐบาลที่ชอบธรรมและได้รับการรับรองจากสหประชาชาติกับฝ่ายกบฏ พร้อมประกาศว่า ทหารตุรกีชุดแรกเริ่มออกเดินทางไปยังลิเบียแล้ว

ในการนี้ มุฟตีย์ลิเบีย บรรดานักปราชญ์ และภาคประชาชนชาวลิเบีย ต่างออกมาขอบคุณตุรกีที่ตัดสินใจส่งทหารเข้าไปในลิเบียในวินาทีชี้เป็นชี้ตายนี้

ในขณะที่เลขาธิการสหประชาชาติและ กระทรวงต่างประเทศของซาอุดิอาระเบียแถลงประณามและคัดค้านตุรกีที่ส่งทหารเข้าไปในลิเบีย อ้างว่าทำให้การแก้ปัญหายุ่งยากมากขึ้น

แถลงการณ์ของซาอุดิอาระเบียกล่าวว่าตุรกีละเมิดมติของสหประชาชาติเกี่ยวกับลิเบีย รวมถึงละเมิดมติของสันนิบาตอาหรับ ในวันที่ 31 ธันวาคม 2019 ที่ผ่านมา

แถลงการณ์กระทรวงต่างประเทศของซาอุดิอาระเบียยังกล่าวว่า การกระทำของตุรกีเป็นการคุกคามความมั่นคงของลิเบีย โลกอาหรับ ตลอดจนภูมิภาคนี้ทั้งหมด และเป็นการแทรกแซงกิจการภายในของประเทศอาหรับ รวมถึงสนธิสัญญาระหว่างประเทศหลายฉบับ

ก่อนหน้านี้ สำนักข่าวของอิมิเรตส์รายงานข่าว เอมิเรตส์ประณามตุรกีว่าละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศและมติสหประชาชาติ ที่ 1970 ปี 2011 ที่กำหนดให้มีคณะกรรมการพิจารณาโทษเกี่ยวกับลิเบีย และห้ามนำเข้าอาวุธหรือความช่วยเหลือทางทหารเข้าไปในลิเบีย ยกเว้นได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการชุดนี้ การกระทำของตุรกีจึงถือเป็นการขัดขวางที่จะสถาปนาความมั่นคงขึ้นในภูมิภาคแห่งนี้

เอมิเรตส์ยังกล่าวว่า ขอเตือนถึงภัยจากการแทรกแซงทางทหารของตุรกีในลิเบีย อีกทั้งข้ออ้างทางกฎหมายของตุรกีถือว่าไม่มีน้ำหนัก และสั่นคลอนความมั่นคงภูมิภาคอาหรับและเขตทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

สำนักข่าวของอิมิเรตส์ยังกล่าวต่อว่าแถลงการณ์ของอิมิเรตส์กล่าวว่า ตุรกีดำเนินการอันตรายอย่างยิ่งด้วยการสนับสนุนกลุ่มหัวรุนแรงและกลุ่มก่อการร้ายให้เดินทางเข้าสู่ลิเบีย ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องสนับสนุนให้มีการสร้างความเป็นปึกแผ่นขึ้นในลิเบีย ให้เป็นนิติรัฐเพื่อต่อต้านแนวคิดสนับสนุนกลุ่มก่อการร้ายและกลุ่มหัวรุนแรงติดอาวุธโดยการสนับสนุนของตุรกี และเห็นว่า สังคมโลกจำเป็นจะต้องเข้ามาขัดขวางการดำเนินการของตุรกีในครั้งนี้

ส่วนชัยค์อะหมัด ฏอยยิบ ชัยค์อัซฮัร ผู้นำศาสนาสูงสุดของมหาวิทยาลัยอัซฮัร อียิปต์ ออกมาประณามตุรกี หาว่าเป็นการบ่อนทำลายความสงบสุข และยืนยันสนับสนุนแนวทางการแก้ปัญหาด้วยสันติวิธีของอียิปต์

ประธานาธิบดีแอร์โดฆานกล่าวผ่านช่อง CNN และช่อง D ว่า เราไม่ให้ความสำคัญกับการที่ซาอุดิอาระเบียประณามการตัดสินใจของตุรกีที่จะส่งทหารไปยังลิเบีย และจะไม่นำมาใส่ใจอย่างเด็ดขาด

เขียนโดย Ghazali Benmad

ปฏิทินสุดดราม่าระดับโลก

ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา โลกเกิดเหตุการณ์ระทึกชนิดอกสั่นขวัญหายโดยเฉลี่ย 5 ปีต่อครั้ง ส่วนหนึ่งได้แก่

ปี 2001/ 2544 เหตุวินาศกรรมเครื่องบินพุ่งชนตึกแฝด WTC ในมหานครนิวยอร์ก ทำให้ประธานาธิบดีบุชประกาศสงครามกับอิสลามทั่วโลกโดยมีกลุ่มอัลไคด้าเป็นตัวชูโรง ทั่วโลกอยู่ในอาการหวาดกลัวสุดขีด New World Order และตำรวจสากลที่ประกาศโดยบุช ทำให้องค์กรอิสลามทั่วโลกกลายเป็นง่อย พี่น้องปาเลสไตน์ถูกขังเดี่ยวอย่างทรมาน

cr. www.independent.co.uk

ปี 2003/ 2546 ประธานาธิบดีบุชแห่งสหรัฐฯสร้างความหวัดกลัวแก่ชาวโลกเรื่องอาวุธนิวเคลียร์ของซัดดัม หุเซ็น ปูทางให้สหรัฐฯพร้อมด้วยกองกำลังพันธมิตรเกือบ 40 ประเทศปูพรมถล่มอิรักจนราบเป็นหน้ากลอง แต่ไม่พบระเบิดนิวเคลียร์แม้แต่ลูกเดียว

cr. www.voanews.com

ปี 2013 / 2556 สหรัฐฯยุคประธานาธิบดีโอบามาพร้อมด้วยชาติพันธมิตรเกือบ 60 ประเทศโจมตีกองกำลังไอเอสที่สถาปนารัฐอิสลามระบอบคอลีฟะฮ์ที่โมซุล อิรัก ทั่วโลกหวาดกลัวและตื่นเต้นสุดขีดกับการปรากฏตัวของไอเอสราวปาฏิหารย์พร้อมๆ กับความสยดสยองและความน่ากลัว

cr.www.thebaghdadpost.com

ทั้ง 3 เหตุการณ์ช็อคโลกนี้ เหยื่อที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือประชาชาติมุสลิมและโลกอิสลาม

อัลไคด้ายังอยู่ ไอเอสถูกหักเขี้ยวเล็บกลายเป็นเครือข่ายใยแมงมุมทั่วโลก อิหร่านยังคงเข้มแข็งอย่างน่ามหัศจรรย์ต่อไป

แต่อิรักแหลกลาญ ซีเรียกลายเป็นจุณ เยเมนเป็นดินแดนมิคสัญญี เลบานอนกลายเป็นอัมพาต ประเทศอ่าวอาหรับมีหน้าที่จ่ายสดตามใบสั่งสถานเดียว

ขึ้นต้นปีใหม่ ปี 2020 / 2563 นี้ สหรัฐฯยุคประธานาธิบดีทรัมป์ ใช้โดรนถล่มพลตรีสุไลมานี ผู้กุมอำนาจตัวจริงเบอร์ 1 ของอิหร่านพร้อมด้วยมือขวาคนสำคัญอีก 6 คนที่สนามบินกรุงแบกแดดทั่วโลกหวั่นว่าจะเป็นการจุดชนวนสงครามโลกครั้งที่ 3 ที่นำร่องโดยสงครามระหว่างสหรัฐฯกับอิหร่าน

เพราะอิหร่านประกาศกร้าวว่าจะล้างแค้นที่หนักหน่วง

เพียงแต่เราต้องตั้งคำถามว่า เหยื่อของการล้างแค้นครั้งนี้คือใคร แต่ที่แน่ๆไม่ใช่สหรัฐฯ และไม่ใช่อิสราเอลแน่นอน ฟันธงครับ

โดยทีมข่าวต่างประเทศ

อัลจาซีร่าห์โพล กรณีสังหารนายพลสุไลมานี

อัลจาซีร่าห์โพล ได้สำรวจความคิดเห็นของผู้ชมกรณีสหรัฐฯสังหารพลตรีคาซิม สุไลมานี

สำนักข่าวอัลจาซีร่าห์ ได้สำรวจความคิดเห็นผู้ชมกรณีการสังหารพลตรีคาซิม สุไลมานี โดยตั้งประเด็นคำถามว่า หลังพลตรีคาซิม สุไลมานีถูกสังหาร ในความเห็นของท่านคิดว่า จะเกิดสงครามในภูมิภาคระหว่างอิหร่านกับสหรัฐฯหรือไม่

ปรากฏว่าจากยอดผู้แสดงความคิดเห็นจำนวน 65,600 คน มีคนเห็นว่าสงครามเกิดขึ้นแน่นอน จำนวน 33 % ในขณะที่มีคนเห็นว่าไม่มีทางเกิดขึ้นจำนวน 67 %

ในอดีต สหรัฐฯได้สร้างเหตุวินาศกรรม 9/11 กระฉ่อนโลก ทำให้ชาวโลกหวาดหวั่นอิทธิพลของอัลไคด้ามาแล้ว แต่ในความเป็นจริง เป็นแค่เหตุผลสร้างความชอบธรรมตั้งฐานทัพที่ยิ่งใหญ่บริเวณประเทศอ่าวจนกระทั่งปัจจุบัน ล่าสุดสหรัฐฯมีส่วนปลุกปรากฏการณ์ไอเอสสร้างความปั่นป่วนในประเทศตะวันออกกลางโดยเฉพาะอิรักและซีเรียมาแล้ว

เขียนโดย ทีมข่าวต่างประเทศ

วินาทีสังหาร พลตรีคาซิม สุไลมานี ผบ. หน่วยรบพิเศษอัลกุดส์แห่งอิหร่าน

อีหร่านเดือดหลังสุไลมานีโดนสังหารที่สนามบินอิรักพร้อมสมุนใกล้ชิดอีกอย่างน้อย 4 ราย ในขณะที่อาบูตารีกาห์ยืนยัน ถึงเวลาที่สหรัฐฯเปลี่ยนอะไหล่ชิ้นใหม่ในเกมส์ที่สุดสกปรก

ช่วงเช้าวันที่ 3 มกราคม 2563 ตามเวลาที่อิรัก พลตรีคาซิม สุไลมานี วัย 62 ปี ผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในอิหร่าน รองจากอะยาโตลาห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดอิหร่าน ถูกสังหารด้วยโดรนทิ้งระเบิดโจมตีตามคำสั่งของประธานาธิบดีทรัมป์แห่งสหรัฐฯ พร้อมผู้ใกล้ชิดอย่างน้อยอีก 4 ราย ที่สนามบินในกรุงแบกแดดหลังจากเดินทางกลับจากซีเรียและเลบานอน

พลตรี คาซิม สุไลมานี คือผู้บัญชาการหน่วยรบพิเศษอัลกุดส์ของอิหร่าน ผู้อยู่เบื้องหลังปฎิบัติการนองเลือดในตะวันออกกลางโดยเฉพาะที่อีรัก ซีเรียและเลบานอน

เตหะรานข่มขู่ที่จะตอบโต้อย่างรุนแรงในขณะที่เครือข่ายแกนนำชีอะฮ์ที่อิรักเลบานอนและเยเมน ต่างออกมาข่มขู่ที่จะตอบโต้สหรัฐฯเช่นเดียวกัน

ตำนานนักฟุตบอลแห่งเมืองฟาโรห์ อบูตารีกาห์ เขียนในทวิตส่วนตัวกรณีการสังหารครั้งนี้ว่า ซาตานได้สังหารฆาตกรบนแผ่นดินอาหรับและในประเทศอิสลาม โอ้อัลลอฮ์ ได้โปรดปกป้องอิรัก และได้โปรดทำลายผู้อธรรมด้วยฝีมือผู้อธรรม โปรดให้เราปลอดภัย สหรัฐฯได้เวลาเปลี่ยนอะไหล่ในเกมส์อันสกปรกของเขา ที่ท้ายสุดแล้ว เหยื่อที่แท้จริง ไม่พ้นประชาชาติมุสลิมและประเทศอิสลาม

ตลอดระยะเวลาเกือบ 40 ปีที่อิหร่านประกาศสงครามกับสหรัฐฯและกล่าวหาสหรัฐฯว่าเป็นซาตานที่ยิ่งใหญ่ แต่ในปัจจุบันพบว่า ฝ่ายที่ได้รับความเสียหายครั้งรุนแรงที่สุดคือประชาชาติอิสลาม

เขียนโดย ทีมข่าวต่างประเทศ

รมว. ศึกษาธิการมาเลเซีย ประกาศลาออกจากตำแหน่ง

Dr. Maszlee Malik รมว. ศึกษาธิการมาเลเซีย ชุดรัฐบาลปัจจุบันได้แถลงข่าวประกาศลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ หลังจากดำรงตำแหน่งนี้นาน 20 เดือนในชุด ครม. Harapan ที่มี ตุน ดร. มหาเธร์ โมฮัมมัด เป็นหัวหน้ารัฐบาล

Dr. Maszlee กล่าวว่า หลังจากได้เข้าพบนายกรัฐมนตรีและปฏิบัติตามข้อแนะนำของท่าน ตนจึงตัดสินใจประกาศลาออกจากตำแหน่งนี้ ซึ่งท่านได้เปิดใจสั้นๆ ว่า มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรับตำแหน่งนี้ สำหรับบุคคลที่ไม่มีฐานหนุนทางการเมือง

การประกาศลาออกจากตำแหน่งระดับรัฐมนตรี ถือเป็นกรณีแรกที่เกิดขึ้นใน ครม. ชุดมหาเธร์ 2 โดยการลาออก จะมีผลในวันพรุ่งนี้ ในวันที่ 3 มกราคม 2020

ถือเป็นข่าวใหญ่ต้อนรับปีใหม่ในแวดวงการเมืองของมาเลเซียทีเดียว

อ่านเพิ่มเติมได้ที่
https://www.hmetro.com.my/utama/2020/01/531359/maszlee-malik-letak-jawatan-metrotv

คำกล่าวในพิธีเปิดประชุม KL Summit 2019 ของนายแพทย์มหาธีร์ มุฮัมมัด ประธานการประชุม

นายแพทย์มหาธีร์ มุฮัมมัด นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย กล่าวในพิธีเปิด KlSummit 2019 ที่มาเลเซียเป็นเจ้าภาพวานนี้ 19 ธันวาคม 2019 ว่า โลกมุสลิมอ่อนแอเกินไปจนไม่สามารถที่จะปกป้องประชาชาติอิสลามได้ และว่าเราไม่ได้มีเจตนาจะทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง เพียงแต่ในขั้นต้นต้องการเริ่มแบบเล็กๆก่อนเท่านั้น

นายกรัฐมนตรีมาเลเซียกล่าวอีกว่า การประชุมครั้งนี้ต้องการพิจารณาเกี่ยวกับสถานการณ์ของประชาชาติอิสลามในปัจจุบัน ไม่ใช่มาโต้แย้งเรื่องหลักการศาสนา

นายแพทย์มหาธีร์ มุฮัมมัด ย้ำว่า เราทั้งหลายต่างรู้ดีว่าเรามุสลิมประสบกับวิกฤติ ชาวมุสลิมต้องทิ้งบ้านเกิดเมืองนอนเพื่อไปยังประเทศที่ไม่ได้นับถือศาสนาอิสลาม

นอกจากนั้น โลกมุสลิมยังประสบกับปัญหาภายใน มีการกดขี่ข่มเหงต่อมุสลิมด้วยกัน ในการประชุมคราวนี้เราต้องการที่จะสร้างความชัดเจนว่าปัญหาต่างๆเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร เราจะรับมือกับสงครามภายในนี้ได้อย่างไร ? จะรับมือกับวิกฤติและเยียวยาแก้ไขให้ดีขึ้นได้อย่างไร? จะรักษาชื่อเสียงเกียรติยศศาสนาของเราได้อย่างไร ? นายแพทย์มหาธีร์ มุฮัมมัด กล่าว

ไม่มีประเทศมุสลิมแม้แต่ประเทศเดียวที่เป็นประเทศเจริญแล้ว แม้ว่าจะมีทรัพยากรธรรมชาติมหาศาล แต่ก็ยังเป็นประเทศกำลังพัฒนา นายแพทย์มหาธีร์ มุฮัมมัดกล่าว

และว่า น่าเสียใจอย่างยิ่ง ที่ประเทศเหล่านี้ต่างอ่อนแอไม่สามารถปกป้องรักษาประชาชาติอิสลามได้

นายกรัฐมนตรีมาเลเซียยังกล่าวว่า ปัจจุบันนี้อิสลามถูกมองเทียบเท่ากับการก่อการร้าย

นายกรัฐมนตรีมาเลเซียยังกล่าวว่า ในอดีต มุสลิมได้สถาปนาอารยธรรมที่มีความเจริญก้าวหน้า และเผยแพร่ศาสนาอิสลามไปทั่วโลก แต่วันนี้ โลกไม่ได้ยกย่องให้เกียรติเรา เพราะเราไม่ใช่เป็นผู้ส่งออกวิชาความรู้เหมือนในอดีต เราไม่มีบทบาทในอารยธรรมโลกปัจจุบัน

นายกรัฐมนตรีมาเลเซียกล่าวว่า การเสื่อมถอยของอารยธรรมอิสลามเริ่มต้นในราวกลางคริสต์ศตวรรษที่ 15 ในช่วงเวลานั้น สังคมมุสลิมต่างปฏิเสธที่จะเรียนวิชาความรู้ใดๆ นอกจากความรู้ที่เกี่ยวข้องการทำอิบาดะฮ์เฉพาะเท่านั้น ทำให้นักวิชาการในยุคนั้นมัวแต่โต้แย้งเกี่ยวกับหลักการศาสนาที่มีความเห็นแตกต่างกัน กลายเป็นกลุ่มเป็นพวก จนกลายเป็นสงครามทางความคิด

นายแพทย์มหาธีร์ มุฮัมมัด กล่าวอีกว่า ในอัลกุรอาน อัลเลาะห์บอกว่าจะช่วยมุสลิม ต่อเมื่อมุสลิมทุ่มเทความพยายาม ไม่ใช่งอมืองอเท้าแล้วรอคอยความช่วยเหลือจากอัลเลาะห์อย่างเดียว

และย้ำว่า นวัตกรรมใหม่ๆ ในรอบ 100 ปีนี้ไม่มีสิ่งใดที่นำเสนอคิดค้นโดยมุสลิม เครื่องมือเครื่องใช้ที่เราใช้อยู่ในตอนนี้ทั้งหมดล้วนคิดค้นโดยผู้อื่น ซึ่งหมายความว่า เราต้องพึ่งพิงประเทศที่สามารถใช้ความรู้ความสามารถในการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆและการพัฒนา

ทั้งที่เราทราบว่า บางประเทศล่มสลายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ก็สามารถกลับมายืนได้อีกครั้งและพัฒนาตัวเอง ในขณะที่ประเทศมุสลิมส่วนใหญ่ไม่มีความสามารถแม้แต่ในด้านบริหาร อย่าว่าแต่ด้านการพัฒนา

นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย กล่าวว่า นี้เป็นสิ่งที่ศาสนาของเราสอนหรือ อิสลามคือต้นเหตุที่ทำให้เราเป็นแบบนี้หรือ

นายแพทย์มหาธีร์ มุฮัมมัด นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย กล่าวย้ำว่า นี่คือสิ่งที่เราจะมาแลกเปลี่ยนความเห็นกันในการประชุมครั้งนี้ เพื่อนำข้อเสนอแนะที่เห็นพ้องต้องกันนำไปสู่การปฏิบัติให้เห็นเป็นรูปธรรม สู่การริเริ่มที่ยิ่งใหญ่มากกว่าต่อไป

เขียนโดย Ghazali Benmad

ผู้นำโลกมุสลิมตระหนักถึงความทุกข์ร้อนของประชาชาติอิสลาม

ดร.อะหมัด มันซูร ผู้สื่อข่าวอาวุโสของสถานีอัลจาซีรา ซึ่งเข้าร่วมในการประชุมกัวลาลัมเปอร์ซัมมิต 2019 ครั้งนี้ รายงาน เบื้องหลังสถานการณ์การประชุมครั้งนี้ผ่านเว็บไซต์ ว่า เจตนารมณ์ของผู้เข้าร่วมประชุมครั้งนี้ ให้ความสำคัญกับการ เฟ้นหาผู้นำโลกมุสลิมที่ตระหนักถึงความทุกข์ร้อนของประชาชาติอิสลาม และตั้งใจจริงในการกอบกู้สถานภาพของประชาชาติอิสลาม และสังคมโลกมุสลิม ตลอดจนสร้างความเป็นเอกภาพและความเข้มแข็งของโลกมุสลิมให้มีบทบาท ในสังคมโลก ไม่ใช่อยู่อย่างเป็นอัมพฤกษ์อัมพาต

ดร.อะหมัด มันซูร บอกว่า นพ.มหาธีร์ มุฮัมมัด กล่าวว่า ในตอนแรกมีประเทศที่ตอบรับการประชุม 5 ประเทศ อันได้แก่ มาเลเซีย ตุรกี กาตาร์ ปากีสถานและอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่มีความพร้อม ทั้งในด้าน ภูมิศาสตร์ ทรัพยากรบุคคล ทรัพยากรธรรมชาติ การทหาร อาวุธยุทโธปกรณ์ชั้นสูง และเทคโนโลยี ไม่รวมถึงอิหร่านที่ประธานาธิบดีอิหร่าน เพิ่งตัดสินใจในภายหลัง ถึงไม่ได้ถูกนำเข้ามาในรายชื่อของผู้เข้าร่วมในตอนแรก ตลอดจนได้ส่งคำเชิญไปยังประเทศสมาชิกโอไอซีจำนวนมาก

ทั้งนี้ ด้วยเหตุผลความตึงเตรียดระหว่างตุรกีและกาตาร์ เจ้าภาพหลักของการประชุมครั้งนี้ฝ่ายหนึ่ง กับอิมิเรตและซาอุดิอาระเบียฝ่ายหนึ่ง จึงส่งผลต่อการตัดสินใจของประเทศใกล้ชิด กระทั่งสุดท้ายแล้ว ทำให้ปากีสถานและอินโดนีเซีย ที่เศรษฐกิจของประเทศ มีความเกี่ยวข้องกับซาอุดิอาระเบียและ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์อย่างมหาศาล จึงจำเป็นต้องถอนตัว คงเหลือตัวแทนของรัฐในระดับต่างๆ เข้าร่วมประชุมเพียง 18 ประเทศ และระดับประมุขสูงสุด เพียง 3 คน ประเทศ คือ ตุรกี กาตาร์ และอิหร่าน

เขียนโดย Ghazali Benmad