เข้าใจอิสลามง่าย ๆ [ตอนที่ 4]

3. หลักคุณธรรม (อิ๊ห์ซาน)

หมายความถึง ความดีต่าง ๆ ที่ต้องประพฤติอยู่เสมอ อันได้แก่หน้าที่และมารยาทที่ต้องแสดงออก และคุณสมบัติที่ดีทางจิตใจ เช่นหน้าที่ของบุคคลต่อพระเจ้า ต้องระลึกอยู่เสมอว่า ตัวเองอยู่ต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงมองเห็นอยู่ตลอดเวลา จึงต้องทำแต่ความดี มีมารยาท และ    ละเว้นการกระทำที่ผิดต่อบทบัญญัติของพระองค์

หน้าที่ของผู้รู้ ครูและผู้รู้โดยทั่วไปจะต้องสำนึกอยู่เสมอว่าความรู้ที่ตนได้มานั้นเป็นไปโดยความเมตตาของพระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงประทานให้ ดังนั้นจึงต้องเผยแพร่ต่อให้ผู้อื่นได้รับความรู้นั้นโดยไม่มุ่งหวังอามิสสินจ้าง  ใด ๆ ทั้งสิ้น และไม่แนะนำความรู้ไปสร้างสมอำนาจบารมีหรือนำความรู้ไปแข่งขันกับใคร หรือทับถมผู้รู้อื่น ๆ หรือหาประโยชน์อันมิชอบ

หน้าที่ของผู้ไม่รู้ผู้ไม่รู้จะต้องศึกษาเพื่อจะได้มีความรู้ ความรู้มิได้จำกัดแต่เฉพาะความรู้ทางด้านสามัญหรือศาสนาด้านใดด้านหนึ่ง มุสลิมจะต้องเรียนรู้ทั้งสองด้าน จนสามารถนำความรู้ ความสามารถไปประพฤติทางด้านศาสนาอย่างดีและนำความรู้สามัญหรือวิชาชีพไปประกอบสัมมาอาชีพต่อไป และผู้เรียนรู้ทุกคนจะต้องให้ความเคารพต่อผู้สอนมีความนอบน้อมถ่อมตน พูดจาสุภาพ อ่อนโยน และคอยอุปถัมภ์และดูแลช่วยเหลือผู้สอนของตนอยู่เสมอ

หน้าที่ของพ่อแม่ เมื่อพ่อแม่มีลูกก็ต้องเลี้ยงดูลูกอย่างดีให้การดูแล ให้ความสุข ให้การศึกษา คอยอบรมบ่มนิสัยให้เป็นคนดี มีมารยาทไม่ปล่อยปละละเลยต่อลูกจนขาดความอบอุ่นทางจิตใจ เตลิดออกไปหาความสนุกสนานนอกครอบครัว พ่อแม่ต้องสร้างสถาบันครอบครัวให้เป็นความหวังของลูก เป็นสวรรค์ของลูก อย่าทำให้เป็นนรกสำหรับลูก

หน้าที่ของสามี-ภรรยา จะต้องมีหน้าที่พึงปฏิบัติต่อกันกล่าวคือ สามีต้องรับผิดชอบในด้านการปกครองครอบครัวและการหารายได้เลี้ยงดูครอบครัว และสามีจะต้องเป็นที่พึ่งของครอบครัว มีความประพฤติที่ดีงามต่อคนในครอบครัว เป็นแบบอย่างที่ดีงามแก่คนในครอบครัวโดยสม่ำเสมอ ไม่ทิ้งครอบครัวออกไปหาความสุขนอกบ้าน และต้องตักเตือนและสอนภริยาและคนในครอบครัว

หน้าที่ของภริยา ภริยามีหน้าที่ช่วยเหลือสามีในด้านต่าง ๆ คอยสอดส่องดูแลเป็นกำลังใจให้สามีให้ความสุขแก่สามีและต้องต้อนรับแขกของสามีด้วยมารยาท ด้วยอัชฌาสัยไมตรี ด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส และด้วยความจริงใจ ไม่นินทาสามีลับหลัง ไม่บ่นหรือก้าวร้าวสามีหากสามีทำผิดก็เตือนด้วยความหวังดีและครองสติไม่โมโห ให้เกียรติสามีและอยู่ในโอวาทของสามี

หน้าที่ของลูก ลูกทุกคนมีหน้าที่ต้องระลึกถึงพระคุณอันยิ่งใหญ่ของพ่อแม่ ต้องมีความกตัญญูกตเวทิคุณต่อท่านทั้งสอง ต้องคิดอุปการะท่านทั้งสอง ไม่ปล่อยให้ท่านทั้งสองต้องเดียวดาย อยู่กับความเหงา และต้องปรนนิบัติท่านทั้งสองเป็นอย่างดีที่สุด

หน้าที่ของเพื่อน คนทุกคนมีเพื่อน ไม่ว่าเพื่อนร่วมงาน เพื่อนร่วมโรงเรียน เพื่อนร่วมหมู่บ้าน ตลอดจนเพื่อนร่วมโลก ทุกคนต้องหวังดีต่อกัน มีความประพฤติที่ดีต่อกัน ไม่ดูถูก ไม่เกลียด ไม่อาฆาตแค้น ไม่ทับถมหรือทำลายใคร ต่างคิดที่จะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

หน้าที่ของผู้นำ ผู้นำทางสังคมในตำแหน่งต่าง ๆ ที่ถูกแต่งตั้งหรือเลือกตั้งก็ตาม จะต้องปฏิบัติตนต่อผู้ตามด้วยความเมตตา และด้วยความนอบน้อม ไม่ถือตัว พูดจาสุภาพอ่อนโยน เมื่อจะใช้อำนาจก็ใช้ด้วยความยุติธรรม มีความกล้าหาญ และกล้าตัดสินใจ ไม่ลังเล ไม่อ่อนแอ ไม่ขลาดกลัวต้องประพฤติดี พร้อมทั้งเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับประชาชน ต้องเสียสละทุกสิ่งเพื่อประชาชน

หน้าที่ของประชาชน ประชาชนในฐานะผู้ตามจะต้องเคารพผู้นำ กฎต่าง ๆ ที่ออกมาโดยชอบธรรม ประชาชนต้องปฏิบัติโดยเคร่งครัด ผู้ตามจะคิดกระด้างกระเดื่องไม่ได้แต่ก็กล้าหาญที่จะเตือนผู้นำด้วยความสุภาพ และอ่อนโยนเมื่อผู้นำทำผิดหรือออกกฎหมายโดยไม่ชอบธรรม ให้ความร่วมมือในกิจกรรมที่ดีรักษาและปกป้องเกียรติยศของผู้นำที่มีคุณธรรม ไม่ละเมิดต่อสิทธิ์ของผู้นำและสิทธิของประชาชนด้วยกัน

หากอิสลามเป็นดั่งต้นไม้ หลักศรัทธาคือส่วนรากที่มีหน้าที่หล่อเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของต้นไม้ คอยยึดเกี่ยวให้ลำต้นมั่นคงแข็งแรงติดกับผืนดิน พร้อมรักษาความสมดุลให้ลำต้นสูงตระหง่านต่อไป ในขณะที่ลำต้นและกิ่งก้านคือหลักศาสนปฏิบัติที่เป็นสัญญาณว่ารากมีความอุดมสมบูรณ์มากน้อยเพียงใด คอยทำหน้าที่ลำเลียงอาหารและน้ำไปยังส่วนต่าง ๆ ให้เจริญเติบโตและสมบูรณ์ ส่วนหลักอิห์ซาน คือใบและดอกผล

ที่นอกจากสร้างความร่มรื่นและความสวยงามแก่ผู้พักพิงและเชยชมแล้ว ผู้คนยังสามารถบริโภคเป็นอาหารดำรงชีวิตต่อไป ต้นไม้ต้นนี้จะออกดอกออกผลอย่างต่อเนื่อง เพื่อความผาสุขของปวงประชาอย่างแท้จริง


โดยทีมวิชาการ

เข้าใจอิสลามง่าย ๆ [ตอนที่ 3]

2 . หลักการปฏิบัติศาสนกิจ (อัรกานุลอิสลาม)

หลักปฏิบัติศาสนกิจ หมายถึง หลักศาสนกิจที่อิสลามได้บัญญัติ เป็นพื้นฐานแรกสำหรับมุสลิมทุกคนที่จะต้องนำมาปฏิบัติเป็นองค์ประกอบสำคัญที่สุดของอิสลาม ซึ่งเราเรียกว่า “อัรกานุลอิสลาม” ประกอบด้วยหลัก 5 ประการ คือ

2.1 การปฏิญาณตน (ชะฮาดะฮฺ)

ผู้ประสงค์จะเข้าสู่อิสลาม มีประตูทางเข้าเพียงประตูเดียว คือจะต้องกล่าวคำปฏิญาณตน อย่างเปิดเผยและชัดเจน พร้อมทั้งเลื่อมใสศรัทธาตามที่ตนปฏิญาณและจะต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติอย่างจริงใจ การเป็นมุสลิม มิใช่เพียงการกล่าวคำปฏิญาณเท่านั้น หากจะต้องประกอบด้วย ความเลื่อมใสศรัทธาอย่างแท้จริงด้วย องค์ประกอบแห่งการปฏิญาณจะต้องมีพร้อมทั้ง 3 ประการ คือ 

1) กล่าวปฏิญาณด้วยวาจา 

2) เลื่อมใสด้วยจิตใจและ 

3) ปฏิบัติด้วยร่างกาย

คำปฏิญาณของอิสลาม มิใช่การสบถสาบานให้มีอันเป็นไปต่าง ๆ นานา มิใช่คำสวดภาวนา หากเป็นประโยคที่กล่าวแสดงถึงความศรัทธามั่นในพระเจ้า และในศาสนทูตมูฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม โดยกล่าวว่า “ข้าพเจ้าปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่ควรแก่การเคารพภักดี  นอกจากอัลลอฮ์ และข้าพเจ้าปฏิญาณว่า มูฮัมมัดเป็นศาสนทูตของอัลลอฮ์

أَشْهَدُ أَلاَّ إِلَهَ إِلاَّ اللهُ وَأَشْهَدُ أَنَّ مُحَمَّدًا رَسُوْلُ اللهِ

ผู้ที่ประสงค์จะเข้ารับอิสลาม จึงต้องเริ่มด้วยจิตใจที่มีศรัทธา จากนั้นจึงกล่าวประโยคปฏิญาณดังกล่าว ซึ่งทุกคนกล่าวได้ เพราะไม่ใช่เป็นประโยคต้องห้ามแต่อย่างใด การสอนประโยคปฏิญาณ จึงไม่จำเป็นต้องเลือกเอาบุคคลที่มีความรู้ศาสนาสูงหรือผู้มีตำแหน่งทางสังคมมากล่าวนำ ทุกคนสามารถกล่าวนำประโยคปฏิญาณได้ หรือผู้ที่สมัครใจรับอิสลาม ก็สามารถกล่าวประโยคนี้ตามลำพังได้เช่นเดียวกัน หากเขาศรัทธา

2.2 การละหมาด

การละหมาด เป็นการเข้าเฝ้าและการแสดงความเคารพนมัสการต่ออัลลอฮ์ตะอาลา ประกอบด้วย จิตใจ วาจา และร่างกายพร้อมกัน มุสลิมจำเป็นต้องปฏิบัติละหมาดวันละ 5 ครั้ง คือ ละหมาดซุฮ์ริในช่วงบ่าย ละหมาดอัศริในช่วงเย็น ละหมาดมัฆริบ ในช่วงตะวันลับขอบฟ้า ละหมาด   อิชาอ์ในช่วงหัวค่ำ และละหมาดศุบฮิในช่วงแสงอรุณขึ้น ผู้ทำละหมาดโดยสม่ำเสมอ จะก่อประโยชน์แก่ตัวเขาเองอย่างอเนกอนันต์ ทำให้จิตใจของเขาสะอาดบริสุทธิ์ ขจัดความหมองหม่นทางอารมณ์ ทำลายความตึงเครียด ทำให้เป็นคนที่เคร่งครัดในระเบียบวินัย ตรงต่อเวลา มีความซื่อสัตย์สุจริต อดทนและจิตใจสำรวมระลึกอยู่กับพระเจ้าตลอดเวลา เมื่อจิตใจสำรวมอยู่กับพระเจ้า และระลึกถึงแต่พระองค์ก็ไม่มีโอกาสที่จะคิดทำความชั่วต่าง ๆ คิดแต่จะปฏิบัติตามคำบัญชาและบทบัญญัติของพระองค์ ไม่กล้าทำความผิด และฝืนบทบัญญัติของพระองค์

ก่อนละหมาด มุสลิมต้องอาบน้ำละหมาด และทำความสะอาดทั้งร่างกายและสถานที่  อิสลามส่งเสริมอย่างหนักแน่นให้ผู้ชายละหมาด 5 เวลาที่มัสยิดโดยพร้อมเพรียงกันร่วมกับอิมามนำละหมาด ซึ่งนอกจากได้รับผลบุญอันมากมายและลบล้างบาปแล้ว ยังเป็นการสร้างปฏิสัมพันธ์กับสมาชิกในสังคมอย่างทั่วถึง สามารถถามไถ่สารทุกข์สุกดิบระหว่างเพื่อนบ้านอย่างใกล้ชิด นอกจากการละหมาดในมัสยิดแล้ว มุสลิมยังสามารถละหมาดที่บ้านได้อย่างอิสระ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ละหมาดหลังเที่ยงคืนเป็นต้น เพื่อสอนว่า มุสลิมมีโอกาสเข้าเฝ้าอัลลอฮ์ในทุกที่ ทุกเวลาและทุกโอกาส ตราบที่เขาต้องการ มุสลิมจึงเป็นทั้งผู้ครองตน ผู้ครองธรรม และผู้ครองเรือนในคนเดียวกัน 

มุสลิมถือว่าการละหมาดและกิจกรรมการภักดีอื่น ๆ เช่นการถือศีลอด และการทำฮัจย์ เป็นต้น เป็นโอกาสสำหรับการเข้าเฝ้าพระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่ภาระงานที่จำเป็นต้องสะสางให้แล้วเสร็จไปวัน ๆ ดังนั้นทุกครั้งที่ถึงเวลาละหมาดมุสลิมจะเตรียมตัวเข้าเฝ้าพระผู้เป็นเจ้าด้วยความกระตือรือร้น และจิตใจที่ถวิลหา 

2.3 การจ่ายซะกาต

ซะกาต คือ ทรัพย์จำนวนหนึ่งที่ได้กำหนดไว้เป็นอัตราส่วนจากจำนวนทรัพย์ที่เจ้าของทรัพย์ได้มาจนครบพิกัดที่ศาสนาได้บัญญัติไว้และนำทรัพย์จำนวนนั้นจ่ายออกไปแก่ผู้มีสิทธิ

คำว่า “ซะกาต” แปลว่า การงอกเงย เพิ่มพูน และการขัดเกลา ให้สะอาดเนื่องเพราะเมื่อเจ้าของทรัพย์ได้จ่ายซะกาตออกไป เท่ากับเป็นการขัดเกลาจิตใจให้สะอาดปราศจากกิเลสนานาประการ โดยเฉพาะความตระหนี่ความใจแคบ ซึ่งเป็นกิเลสใหญ่ชนิดหนึ่งที่เป็นสาเหตุสำคัญให้สังคมอยู่กันอย่างเห็นแก่ตัว ไม่มีการช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน แน่นอนสังคมที่เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว ไม่นานวิกฤติการณ์ก็จะต้องเกิดแก่สังคมนั้น การแก่งแย่งฉกชิง กดขี่ ขูดรีด ทำลายกัน และอาชญากรรมต่าง ๆ จะต้องอุบัติขึ้น การจ่ายซะกาตจะทำให้สังคมเจริญก้าวหน้า คนยากจนมีโอกาสได้รับการช่วยเหลือ การสังคมสงเคราะห์จะกระจายออกไปอย่างกว้างขวาง สถาบันทางสังคมได้รับการพัฒนา รวมทั้งผู้ยากไร้ที่หมดทุนในการประกอบอาชีพ หรือไม่มีทุนศึกษาต่อ ก็มีโอกาสที่จะใช้ซะกาตเจือจุนสร้างชีวิตใหม่แก่ผู้ขาดแคลนและผู้ยากไร้เหล่านั้น ระบบซะกาต เป็นสวัสดิการภาคประชาสังคม หากนำมาจัดดำเนินการอย่างเต็มระบบแล้วจะมีผลในทางพัฒนาทั้งด้านเศรษฐกิจ ด้านการศึกษา ด้านการเมืองและด้านสังคม ตลอดจนด้านอื่น ๆ ที่ขาดแคลนทุนโดยตรง

ซะกาตมี 2 ประเภทได้แก่

  1. ซะกาตตนหรือซะกาตอาหาร ในภาษาอาหรับเรียกว่า ซะกาต     ฟิตเราะห์ ซึ่งเป็นบริจาคทานภาคบังคับให้มุสลิมทุกคนไม่ว่าชายหรือหญิง เด็กเล็กหรือผู้ใหญ่ ยากดีมีจน โดยใช้อาหารหลักของท้องถิ่นบริจาคตามพิกัดที่ถูกกำหนด สำหรับประเทศไทยซึ่งรับประทานข้าว ให้บริจาคข้าวสาร จำนวน 2.75 ลิตร หรือ 4 ทะนาน หรือบริจาคเงินโดยคิดตามราคาข้าวสารในท้องถิ่นนั้น โดยผู้ที่ต้องจ่ายซะกาต คือ มุสลิมทุกคนที่มีชีวิตอยู่ในวันสุดท้ายของเดือนรอมฎอน เพื่อนำไปมอบแก่มุสลิมที่มีความเหมาะสมที่จะรับซะกาตต่อไป โดยที่ทุกคนต้องจ่ายเท่ากัน ซะกาตประเภทนี้จะสิ้นสุดเวลา เมื่ออิมามนำละหมาดกล่าวตักบีรละหมาดอิดิลฟิตร์
  2. ซะกาตทรัพย์สิน  เป็นซะกาตที่มีการกำหนดเวลาและมีเงื่อนไขของจำนวน เป็นทานบังคับเฉพาะมุสลิมที่มีทรัพย์สินถึงจำนวนที่กำหนด ถ้ามีต่ำกว่า ไม่ต้องจ่ายซะกาต ทรัพย์สินที่ต้องจ่ายซะกาต มีดังต่อไปนี้
    1.  โลหะ เงินและทองคำ เงินสด เงินในบัญชี หุ้น สินค้า หากมีมูลค่าเท่ากับราคาทองคำหนัก 85 กรัม หรือประมาณ 5.66 บาท  เมื่อครบรอบปีต้องจ่ายซะกาต 2.5% จากทรัพย์สินเหล่านี้
    1. ผลผลิตจากการเกษตร ต้องจ่ายซะกาตของธัญพืชและผลไม้ทันทีเมื่อครบตามพิกัด
    1. ปศุสัตว์ ได้แก่ อูฐ วัว แพะหรือแกะ การจ่ายซะกาตของสัตว์เหล่านี้ มีกฎเกณฑ์หรือเงื่อนไขว่า ต้องเป็นสัตว์ที่ถูกเลี้ยงให้หากินเองตามที่สาธารณะเป็นส่วนใหญ่
    1. ขุมทรัพย์ที่พบได้ในแผ่นดิน ได้แก่สินแร่และทรัพย์ที่ถูกฝังดินไว้

การจ่ายซะกาตทั้ง 4 ชนิดนี้ มีรายละเอียดและข้อกำหนดที่มีการพูดถึงในตำราทางวิชาการ ซึ่งมุสลิมทุกคนต้องศึกษา เพื่อสามารถนำไปปฏิบัติอย่างถูกต้องต่อไป

ผู้มีสิทธิ์รับซะกาต มีบัญญัติไว้ในอัลกุรอาน บทที่ 9 โองการที่ 60 ซึ่งมีจำนวน 8 ประเภท ดังนี้

1. คนยากจน หมายถึง คนที่ยากไร้ ไม่มีทรัพย์สมบัติ ไม่มีค่าใช้จ่ายประจำวันและไม่มีอาชีพทำ ให้จ่ายซะกาตให้เพียงพอที่พวกเขาจะได้นำไปเป็นทุนดำเนินอาชีพต่อไป

2. คนขัดสน หมายถึง บุคคลที่มีอาชีพทำ แต่รายได้ไม่พอเพียงกับรายจ่าย ให้บริจาคซะกาตเพื่อช่วยเพิ่มทุนอาชีพ หรือเสริมในส่วนที่ขาด

3. ผู้ที่ควรให้ขวัญและกำลังใจ หมายถึง บุคคลที่นับถือศาสนาอื่นและเข้ามารับอิสลามหรือมีแนวโน้มว่าจะรับอิสลาม ให้จ่ายซะกาตแก่เขา แม้เขาจะมีฐานะดีก็ตาม เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจแก่เขา

4. เจ้าหน้าที่จัดการเกี่ยวกับซะกาต หมายถึง เจ้าหน้าที่ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากรัฐ หรือ องค์การที่มีอำนาจจัดตั้งโดยไม่มีค่าตอบแทนในการจัดเก็บ รวบรวมและจ่ายซะกาตแก่ผู้มีสิทธิ์ ให้จ่ายซะกาตเป็นค่าตอบแทนแก่เขา และหากเขามีค่าตอบแทนจากรัฐหรือองค์การแล้ว เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะรับซะกาตเป็นค่าตอบแทนซ้ำซ้อนอีก

5. ทาสที่จะไถ่ตัวเอง หมายถึง ทาสที่ต้องการค่าไถ่ตัวจากนาย เพื่อเป็นเสรีชน โดยนายทาสได้อนุญาตให้หาค่าไถ่ตัว ให้รับซะกาตได้เฉพาะเท่าจำนวนที่จะนำไปไถ่ตัวเท่านั้น

6. ผู้มีหนี้สิน หมายถึง บุคคลที่เป็นหนี้ในทางที่ไม่ผิดต่อบทบัญญัติศาสนา เช่น เป็นหนี้เพราะความจำเป็นเฉาะหน้า เป็นหนี้เพราะช่วยเหลือผู้อื่น เป็นหนี้เพราะไกล่เกลี่ยหรือประนีประนอมกรณีพิพาท เป็นต้น ให้รับซะกาตตามจำนวนหนี้สินที่เขามีอยู่เท่านั้น

7. ผู้พลัดถิ่น หมายถึง ผู้เดินทางที่ขาดปัจจัยการเดินทาง ให้เขารับซะกาตได้เฉพาะที่จะจ่ายในการเดินทางเท่านั้น

8. ในทางของอัลลอฮฺ หมายถึง บุคคลหรือนิติบุคคลที่สละชีวิตของตนเองในทางของอัลลอฮฺ เพื่อปกป้องอธิปไตยของศาสนา และเชิดชูศาสนาให้สูงส่ง ให้เขารับซะกาตเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงานของเขา

2.4 การถือศีลอด

การถือศีลอดหรือการถือบวช ภาษาอาหรับใช้คำว่า “อัศเซาม์” หรือ “อัศศิยาม” ความหมายเดิมหมายถึง การงดเว้น การระงับ การหักห้ามตัวเอง ในนิยามศาสนบัญญัติหมายถึง “การงดเว้นสิ่งที่จะทำให้การถือศีลอดเป็นโมฆะ ตามศาสนบัญญัติ โดยเริ่มตั้งแต่เวลาแสงอรุณขึ้นจวบถึงตะวันตกดิน”

การถือศีลอดที่บังคับให้กระทำนั้นมีเฉพาะในเดือนรอมฎอน (เดือนที่ 9 ตามปฏิทินอิสลาม) เท่านั้น ส่วนในวาระอื่น ๆ ไม่ได้บังคับแต่ประการใด นอกจากจะมีเหตุปัจจัยอย่างอื่นมาบังคับ เช่น การบนบานไว้ว่าจะถือศีลอดอันมิใช่ในเดือนรอมฎอน อย่างนี้ถือว่าการถือศีลอดตามที่บนบานไว้นั้นถูกบังคับให้กระทำ เป็นต้น

ผลจากการถือศีลอด นำไปสู่คุณธรรมนานาประการ เช่นแสดงให้ประจักษ์ชัดถึงความเสมอภาคทางสังคม สามารถควบคุมจิตใจของตนเองได้ มีความอดทน อดกลั้น มีคุณธรรม มีความสำรวมตนเองและยำเกรงพระเจ้า ไม่ประพฤติผิดในขณะถือศีลอด มีจิตเมตตาสงสาร เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่น มีความสำนึกในเมตตาแห่งพระผู้เป็นเจ้า มีระเบียบวินัยและฝึกให้ตรงต่อเวลาเพราะการถือศีลอดมีเงื่อนไขให้ทุกคนปฏิบัติอยู่ในกรอบแห่งความประพฤติอันดีงามมากมาย จะรับประทานก็ต้องตรงต่อเวลาจะพูดจาหรือจะเคลื่อนไหวก็ต้องระมัดระวังกลัวกุศลแห่งการถือศีลอดจะบกพร่องไป

การถือศีลอดถือเป็นการภักดีแบบลับ ที่ไม่มีใครรู้เห็นนอกจากตัวเองและพระเจ้าเท่านั้น ดังนั้นผู้ที่ถือศีลอด คือผู้ที่ดำรงไว้ซึ่งความยำเกรงต่ออัลลอฮ์อันแท้จริง เขาจะไดรับผลบุญอันมหาศาลที่อัลลอฮ์ได้เตรียมไว้ สำหรับผู้ยำเกรง

2.5 การประกอบพิธีฮัจย์

การประกอบพิธีฮัจย์ครั้งหนึ่งในชีวิตของมุสลิมที่มีความสามารถพร้อมทั้งทางร่างกายและทางการเงินที่จะเดินทางไปทำพิธีที่บัยตุ้ลลอฮ์ได้ พิธีฮัจย์เป็นศาสนกิจที่สรุปไว้ซึ่งอุดมการณ์ทางสังคมอย่างครบบริบูรณ์

การที่มุสลิมจากทั่วทุกมุมโลกเดินทางออกไปจากถิ่นที่อยู่อาศัยของตนไปสู่พิธีฮัจย์เป็นประจำติดต่อกันมาถึง 1,400 กว่าปี นับเป็นกิจกรรมที่มีความมหัศจรรย์และมีพลังอันแกร่งกล้าทางศรัทธายิ่งนัก สำนึกของผู้เดินทางไปสู่พิธีฮัจย์เป็นสำนึกเดียวกัน จากวิญญาณจิตที่ผนึกเป็นดวงเดียวกัน แม้จะมาจากถิ่นฐานอันแตกต่างกัน มีภาษาผิดแผกกันมีสีผิวไม่เหมือนกัน มีฐานะต่างกัน มีตำแหน่งทางสังคมไม่เท่ากัน แต่เมื่อทุกคนเดินทางมาสู่ศาสนกิจข้อนี้สิ่งเหล่านั้นถูกสลัดทิ้งไปโดยสิ้นเชิง ทุกคนซึ่งมีจำนวนมหาศาล แต่ก็ร่วมกิจกรรมเดียวกันโดยไม่รังเกียจเดียดฉันท์ ไม่มีความโกรธเกลียดซึ่งกันและกัน คนเป็นจำนวนล้านไปรวมกันอยู่ในสถานที่เดียวกัน แต่ไม่มีเรื่องขัดแย้งกัน ทุกคนมีใบหน้าอันยิ้มแย้ม ทักทายซึ่งกันและกัน ช่วยเหลือกันอย่างไม่ถือเขาถือเรา ผิดพลาดล่วงเกินกันบ้างก็พร้อมที่จะให้อภัยแก่กันและกัน

ฮัจย์ถือเป็นสมัชชาระดับสากล ที่รวบรวมผู้คนทุกหมู่เหล่าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ถือเป็นหนึ่งในการออกแบบของผู้อภิบาลแห่งสากลจักรวาล ที่ต้องการให้มนุษยชาติประยุกต์ใช้หลักสันติภาพและหลักภราดรภาพ ที่เริ่มต้นด้วยการทำความรู้จักอันเป็นสะพานสร้างความร่วมมือระดับโลก เพื่อสร้างสังคมที่มีความสมานฉันท์ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ สันติภาพและสันติสุขตลอดไป


โดยทีมวิชาการ

เข้าใจอิสลามง่าย ๆ [ตอนที่ 2]

โครงสร้างอิสลาม

โครงสร้างอิสลามประกอบด้วยหลัก 3 ประการ ได้แก่ หลักศรัทธา    (อัรกาน อัลอีมาน) หลักศาสนปฏิบัติ (อัรกาน อัลอิสลาม) และหลักคุณธรรม (อัลอิห์ซาน) ซึ่งมีรายละเอียดโดยย่อดังนี้

1. หลักศรัทธา (อัรกานุลอีมาน) มี 6 ประการ ดังต่อไปนี้

1.1 ศรัทธาในอัลลอฮ์  

มุสลิมต้องศรัทธาว่า อัลลอฮ์คือพระผู้เป็นเจ้าเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น และต้องยึดมั่นในพระองค์อย่างแน่นแฟ้น ไม่เคลือบแคลงสงสัยหรือลังเล พระองค์ทรงไว้ซึ่งคุณลักษณะอันสมบูรณ์ที่สุด มุสลิมยึดมั่นว่าพระองค์ทรงบันดาลและเนรมิตทุกสิ่งสรรพ ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นมาเองโดยลำพังอำนาจของสิ่งนั้น แท้จริงแล้วพระองค์ทรงไว้ ซึ่งเดชานุภาพ ทรงไว้ซึ่งอำนาจอันสูงสุด ทรงเอกสิทธิ์ในการปกครองและการบริหาร ทรงเป็นที่พึ่งของทุกสิ่งสรรพ ทรงกำหนดการดำเนินชีวิตของมนุษย์และสัตว์รวมทั้งสรรพสิ่งทั้งมวล พระองค์ทรงพระปรีชา ทรงปกาศิต ทรงนิรันดร์ ทรงดำรงโดยพระองค์เองโดยไม่อาศัยปัจจัยอื่น ทรงแตกต่างไปจากทุก ๆ สิ่ง พระองค์ทรงเร้นลับ พระองค์ไม่ให้กำเนิด พระองค์มิถูกกำเนิด พระองค์มิใช่สสารวัตถุ มิใช่พลังงาน พระองค์ทรงมีอยู่อย่างแน่นอน ทรงพ้นไปจากญาณวิสัยของมนุษย์ที่จะพึงสัมผัส สื่อสัมผัสที่มนุษย์มีอยู่นั้น ไม่มีประสิทธิภาพพอที่จะสัมผัสพระองค์ ทรงเฝ้าติดตาม ตรวจสอบ ให้ความเมตตาและให้การตอบแทนอย่างยุติธรรม พระองค์ทรงมองเห็นทุก ๆ สิ่งแต่ไม่มีใครสามารถมองเห็นพระองค์ถึงกระนั้นก็ตาม ด้วยการใช้สติปัญญาใคร่ครวญ จะสามารถพิสูจน์ได้ว่าพระองค์ทรงมีอยู่จริง

นอกจากพระองค์เป็นผู้สร้างทุกสรรพสิ่งแล้ว พระองค์ยังทรงบริหารจัดการมันด้วย ซึ่งสิ่งถูกสร้างทั้งบนโลกและชั้นฟ้า ต่างน้อมรับในเดชานุภาพของพระองค์ นอกจากนี้ พระองค์ได้สร้างญิน[1] และมนุษย์เพื่อทำหน้าที่ให้ความเคารพภักดีต่อพระองค์เท่านั้น ด้วยเหตุนี้ พระองค์กำหนดให้อิสลามเป็นวิถีชีวิตแก่ญินและมนุษย์ เพื่อสร้างหลักประกันให้พวกเขาพบพานกับความสุขทั้งบนโลกนี้และโลกหลังความตาย

1.2 ศรัทธาในมะลาอิกะฮ์

มุสลิมเชื่อว่าพระองค์อัลลอฮ์ทรงบันดาลมะลาอิกะฮ์จากรัศมีเพื่อทำหน้าที่เป็นผู้รับใช้ของพระองค์ รับบัญชาจากพระองค์และปฏิบัติตามคำบัญชาของพระองค์อย่างเคารพภักดีที่สุด มะลาอิกะฮ์เป็นบริวารของอัลลอฮ์ที่ไม่สามารถมองเห็นตัวตน ไม่มีเพศ ไม่กินไม่นอน ไม่มีคู่ครอง ไม่มีบุตร สามารถจำแลงร่างได้ทุกอย่าง เป็นอีกโลกหนึ่งอันแตกต่างไปจากมนุษย์ มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นในสภาพเดิมของเขาได้ นอกจากจะแปลงร่างเป็นคนหรืออย่างอื่น ไม่มีใครสามารถรู้จำนวนอันแน่นอนของมะลาอิกะฮ์ นอกจากพระองค์อัลลอฮ์เท่านั้น พระองค์ทรงสร้างมะลาอิกะฮ์เป็นจำนวนมาก เพื่อรับใช้พระองค์ตามหน้าที่อันแตกต่างกัน และเพื่อแสดงอำนาจอันไร้จำกัดของพระองค์

เมื่อมนุษย์เชื่อว่ามีมะลาอิกะฮ์เป็นจำนวนมากทำหน้าที่ตามพระบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า ส่วนหนึ่งคอยสอดส่อง เฝ้าติดตามและรายงานความเคลื่อนไหวของมนุษย์ เขาจึงสามารถควบคุมจิตใจและความประพฤติของเขาไว้ด้วยสังวรตนเป็นอย่างยิ่ง คนที่คิดว่าจะทำความชั่วก็เกิดความกลัวที่จะทำเพราะทราบดีว่า ความชั่วนั้นมีมะลาอิกะฮ์คอยบันทึก เพื่อเสนอต่อพระผู้เป็นเจ้าอยู่ตลอดเวลา เขาจะมีกำลังใจทำแต่ความดี เพราะความดีที่เขาทำไม่มีทางสูญหายไปไหน เนื่องจากมีมะลาอิกะฮ์คอยบันทึกไว้ในทุกการเคลื่อนไหวและทุกเวลา และไม่มีการกระทำใดที่สามารถซุกซ่อนหรือคลาดจากสายตาของบรรดามะลาอิกะฮ์ได้

1.3 ศรัทธาในคัมภีร์

มุสลิมต้องศรัทธาว่า พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานคัมภีร์อันเป็นโองการของพระองค์แก่บรรดามนุษยชาติผ่านศาสนทูต ในแต่ละยุคแต่ละสมัย โองการของพระองค์เป็นบทบัญญัติที่มนุษย์จะต้องนำมาปฏิบัติเป็นธรรมนูญสูงสุดที่ใครจะฝ่าฝืนไม่ได้ในยุคที่ผ่านมา มีศาสนทูตได้รับพระคัมภีร์มาประกาศแก่มนุษย์ในยุคของท่านเหล่านั้นอยู่เป็นจำนวนมาก ตราบถึงยุคสุดท้ายคือ ยุคปัจจุบันอันเป็นยุคของท่านศาสดามูฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม

คัมภีร์ของพระผู้เป็นเจ้าที่ทรงประทานผ่านศาสนทูตมาสู่มนุษยชาติในแต่ละยุคแต่ละสมัยนั้น มีลักษณะที่สนับสนุนซึ่งกันและกันหรือเสริมให้สมบูรณ์ขึ้น จำนวนคัมภีร์ที่พระองค์ทรงประทานมา มีจำนวน 104 เล่ม ที่สำคัญมีดังนี้

1.3.1 เตารอฮ์ หรือโตราห์ในยุคของท่านศาสนทูตมูซา

1.3.2 ซะบูร ในยุคของท่านศาสนทูตดาวูด

1.3.3 อินญีล หรือไบเบิ้ล ในยุคของท่านศาสนทูตอีซา

1.3.4 อัลกุรอาน ในยุคสุดท้ายคือยุคปัจจุบันทรงประทานผ่านท่าน    ศาสนทูตมูฮัมมัด (ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน) 

1.4 ศรัทธาต่อศาสนทูต

ศาสนทูตผู้ที่อัลลอฮ์ทรงเลือกให้เป็นผู้ประกาศอิสลาม มีคัมภีร์และหลักศาสนปฏิบัติเฉพาะในยุคของตนเรียกว่า “รอซูล” ส่วนผู้ที่อัลลอฮ์ทรงเลือกให้เป็นผู้ประกาศอิสลาม แต่ไม่มีคัมภีร์และยังยึดหลักศาสนปฏิบัติเดิม ก็จะเรียกว่า “นบี”

ผู้เป็นศาสนทูต เป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติแบบมนุษย์ธรรมดาทั่วไป มิใช่เป็นผู้วิเศษหรือมะลาอิกะฮ์ ศาสนทูตจึงดำเนินชีวิตเหมือนสามัญชนคือ กิน นอน ขับถ่าย มีต้นตระกูลและแต่งงานมีลูกหลานสืบสกุล แต่ศาสนทูตมีคุณลักษณะอันสมบูรณ์เหนือกว่ามนุษย์ทั่วไป อันเป็นคุณลักษณะทางด้านความประพฤติและคุณธรรมอันสูงส่ง 4 ประการ คือ

1.4.1 ความซื่อสัตย์สุจริต เป็นที่ไว้วางใจของบุคคลทั่วไปไม่คดโกง ไม่ตระบัดสัตย์

1.4.2 มีสัจจะ พูดจริงทำจริง ไม่โกหก ไม่หลอกลวงใคร

1.4.3 มีสติปัญญาเป็นอัจฉริยะ

1.4.4 ทำหน้าที่เผยแพร่โองการจากพระผู้เป็นเจ้าแก่ประชาชนทั่วไป โดยไม่ปิดบัง และด้วยความตั้งใจสูง มีมานะอดทน เพียรพยายาม ไม่ย่อท้อต่อการขัดขวางของผู้ใดทั้งสิ้น

            นอกจากนี้ศาสนทูตสามารถสื่อสารกับอัลลอฮ์ทั้งโดยตรงหรือผ่าน      มะลาอิกัตญิบรีล ซึ่งเรียกว่า วะห์ยู ได้รับการปกป้องมิให้กระทำผิดบาปหรือ มะอฺศูม พร้อมได้รับการสนับสนุนด้วยสิ่งมหัศจรรย์ที่มนุษย์ทั่วไปไม่สามารถเลียนแบบได้ เพื่อยืนยันว่าบรรดาศาสนทูตได้รับการแต่งตั้งจากอัลลอฮ์โดย      สัจจริง ซึ่งเรียกว่า มุอฺญิซัต

การที่พระผู้เป็นเจ้าทรงคัดเลือกศาสนทูตขึ้นมาจากมนุษย์ธรรมดา ก็เพื่อให้ศาสนทูตเป็นตัวอย่างแก่ประชาชนทั่วไปนำไปประพฤติปฏิบัติตาม หาก ศาสนทูตเป็นผู้วิเศษหรือเป็นมะลาอิกะฮ์ ซึ่งดำเนินชีวิตไปอีกแบบหนึ่ง ประชาชนก็ไม่สามารถจะหาตัวอย่างการดำเนินชีวิตที่ใกล้เคียงกับตนเอง แล้วคำสอนของ ศาสนทูตก็จะไร้ผล หรือเป็นนิยายในพงศาวดารเท่านั้น

ศาสนทูตที่มีปรากฏชื่อในอัลกุรอานมีจำนวน 25 ท่าน คืออาดัม อิดรีส นูห์ ฮู๊ด ศอลิฮ์ อิบรอฮีม ลูฎ อิสหาก ยะอกู๊ป ยูซุฟ มูซา ฮารูน อิลยาส ยูนุส ชุอัยบ์ ดาวูด สุลัยมาน อัลยะซะอ์ ซุลกิฟล์ ซะกะรียา อัยยู๊บ ยะห์ยา อิสมาอีล   อีซา และมูฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม

มุสลิมไม่เลือกศรัทธาระหว่างบรรดาศาสนทูตเหล่านี้ จะไม่เลือกที่รัก มักที่ชัง เพราะทุกท่าน ประหนึ่งเป็นพี่น้องหรือญาติธรรมที่รับภารกิจมาจากพระเจ้าองค์เดียวกัน มีหน้าที่เหมือนกัน คือเชิญชวนผู้คนให้เคารพภักดีอัลลอฮ์เพียงพระองค์เดียว และห่างไกลจากการสิ่งกราบไหว้บูชาทั้งหลายเว้นแต่อัลลอฮ์

1.5 ศรัทธาในวันโลกหน้า

คำว่า “โลกหน้า” ถูกระบุในคัมภีร์อัลกุรอ่านด้วยชื่อเรียกที่หลากหลาย เช่น วันแห่งการฟื้นคืนชีพ, วันแห่งการพิพากษา และวันแห่งการตอบแทน เป็นต้น

การศรัทธาต่อการมีอยู่จริงของชีวิตในโลกหน้า ถือเป็นข้อหนึ่งที่สำคัญยิ่งของหลักการศรัทธา 6 ประการของอิสลาม คือศรัทธาอย่างแน่วแน่ว่าพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพจะทรงให้มนุษย์ฟื้นคืนชีพอีกครั้งหลังตายจากโลกนี้ไปแล้ว เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อการกระทำของตนบนโลกนี้ และเพื่อรับผลตอบแทนในการกระทำของตนได้ก่อไว้ โดยคนดีทั้งหลายจะได้รางวัลโดยได้พำนึกอยู่ในสวรรค์และคนชั่วจะถูกลงโทษในนรกสถาน อันเป็นการตัดสินที่ยุติธรรมยิ่งแล้วของพระเจ้า  

มุสลิมต้องศรัทธาว่า โลกนี้พระผู้เป็นเจ้าได้สร้างขึ้นเป็นการชั่วคราว เพื่อใช้เป็นสนามทดสอบและเป็นแหล่งเพาะปลูก เพื่อรับผลในโลกหน้าอันจีรังและนิรันดร์ต่อไป ดังนั้นโลกที่เราอาศัยอยู่ในปัจจุบันนี้ จึงต้องมีวาระดับสลาย ไม่วันใดก็วันหนึ่ง แต่ไม่มีใครสามารถตอบได้ว่าวันดับสลายของโลกจะเกิดขึ้นเมื่อใด ชีวิตมนุษย์ก็มีอายุขัยที่แน่นอน  ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า เมื่อถึงเวลาก็ต้องจากไป ละทิ้งทุกอย่างทั้งเงินทอง ลาภยศ ลูกน้องบริวาร เหลือแต่คุณงามความดีหรือความชั่วร้ายที่เขาได้ปฏิบัติ ซึ่งการกระทำของเขา จะไม่สูญเปล่า อัลลอฮ์จะทรงตอบแทนอย่างเหมาะสมและยุติธรรมที่สุด

เมื่อมนุษย์เชื่อว่า โลกนี้มีวาระดับสลาย และจะมีโลกหน้าสำหรับเป็นที่อยู่อาศัยอันแท้จริง และเป็นนิจนิรันดร์ มนุษย์ก็จะอยู่ในโลกนี้ด้วยความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน ไม่มีความโลภ ไม่มีความเห็นแก่ตัวพร้อมกับสะสมแต่ความดีงาม แม้ว่าการทำดีนั้น จะไม่ได้รับผลตอบแทน ในช่วงที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ แต่ก็มั่นใจได้ว่าต้องได้รับอย่างแน่นอนและชัดเจนในโลกหน้า ผู้ทำความดีจึงไม่ท้อแท้ที่จะทำความดี มีกำลังใจอันสูงส่งที่จะทำความดีและ ไม่คิดที่จะละเลยต่อการทำความดีจนตลอดชีวิต เพราะอัลลอฮ์ได้ยืนยันว่า ผู้ใดที่กระทำความดีงามหรือความชั่วร้ายแม้เท่าธุลีผง เขาจะได้เห็นมันและจะได้รับการตอบแทนอันคู่ควรและยุติธรรม

มุสลิมศรัทธาว่า ความสุขสบายบนโลกนี้ แม้จะมากมายเพียงใด ก็มีอัตราเพียง 1% จากความสุขสบายที่อัลลอฮ์เตรียมไว้ในสวรรค์อีก 99% เช่นเดียวกันกับความยากลำบากบนโลกนี้ ที่แม้แต่จะทุกข์ร้อนเพียงใด ก็มีอัตราเพียง 1% จากความทรมานที่พระองค์เตรียมไว้ในขุมนรกอีก 99%  

การศรัทธามั่นต่อการมีอยู่จริงของชีวิตในโลกหน้าจะก่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อการชี้นำชีวิตมนุษย์ผู้ศรัทธาอย่างอัศจรรย์ยิ่งในแง่มุมต่างๆ เช่น ทำให้มนุษย์มีระเบียบวินัย และมีความมุ่งมั่นอย่างสม่ำเสมอในการเชื่อฟังต่อพระเจ้าและสร้างสมความดีงาม ตลอดทั้งระวังตนและออกห่างจากความเห็นแก่ตัว การฉ้อโกง และการคิดชั่วทำชั่วต่าง ๆ ทั้งหลาย เป็นต้น เป็นสิ่งเตือนสติสำหรับผู้ที่ใช้ชีวิตอย่างประมาท หมกมุ่นอยู่กับเรื่องราวทางโลกและลุ่มหลงในมายากิเลสแทนที่การแข่งขันในการทำความดีและการใช้ชีวิตที่ใกล้ชิดกับพระเจ้า ทำให้ตระหนักรู้ถึงสัจจะของชีวิตอันแสนสั้นนี้ และชีวิตแห่งความเป็นจริงในโลกหน้าที่ถาวรตลอดกาล ซึ่งบุคคลใดเชื่อในวันสุดท้ายแล้วแน่นอนเขาก็จะมั่นใจอย่างแน่วแน่ว่าความสุขทุกอย่างในโลกนี้ย่อมเทียบกับความบรมสุขในปรโลกไม่ได้เลยแต่น้อย หรือแม้นหากได้รับความทุกข์ทรมานใด ๆ บนหนทางของความถูกต้องในวันนี้ก็ย่อมไม่เท่ากับความทุกข์ทรมานจากการลงโทษที่อาจได้รับในวันนั้น

1.6 ศรัทธาในกฎแห่งสภาวการณ์

สภาวการณ์ทั้งหลายถูกกำหนดมาเป็นกฎอย่างตายตัวและแน่นอน ซึ่งต้องดำเนินไปตามที่กำหนดนั้น เช่น แดดเผา ไอน้ำขึ้นไปรวมตัวกันอยู่บนอากาศ เป็นก้อนเมฆ เมื่อลมพัดก็กระจายตกลงมาเป็นฝน ฝนตกลงมาบนพื้นดิน ทำให้อุดมสมบูรณ์ มีพันธุ์ไม้และพืชนานาชนิดงอกงามขึ้นมา มนุษย์และสัตว์ได้รับประโยชน์จากพืชพันธุ์เหล่านั้น ล้วนเป็นกฎกำหนดสภาวะซึ่งพระผู้เป็นเจ้าทรงกำหนดไว้ 

การดำเนินชีวิตของมนุษย์ก็เช่นเดียวกัน ถูกกำหนดไว้อย่างเป็นระบบที่แน่นอน ไม่มีใครสามารถฝืนกฎเกณฑ์ดังกล่าวได้ ทุกคนจะต้องดำเนินไปตามกฎสภาวการณ์จากมนุษย์คนแรกจนถึงคนสุดท้าย มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย มีทุกข์ มีสุข มีดี มีจน การสลับหมุนเวียนสภาวการณ์เหล่านี้ในชีวิตของมนุษย์นั้น มุสลิมศรัทธาว่าเป็นไปโดยกำหนดของพระองค์อัลลอฮ์ ตะอาลา ทั้งสิ้น หาใช่เป็นไปโดยอำนาจของมนุษย์เองไม่ และมิใช่อำนาจของผู้วิเศษ ฟ้าดิน ดวงดาว ไสยศาสตร์ หรือโดยอำนาจอื่นใดก็ตาม อิสลามจึงไม่มีสัตว์นำโชคหรือสัตว์พาซวย ความโชคดีหรือโชคร้าย ไม่เกี่ยวกับวัน เวลา สถานที่ หรือรูปร่างหน้าตา แต่ทั้งหมดเป็นไปโดยอำนาจอันสมบูรณ์สุดของพระผู้เป็นเจ้าทั้งสิ้น มนุษย์ทุกคนต้องขอพรให้ได้รับสิ่งดี ๆ และให้คลาดแคล้วจากเภทภัยต่าง ๆ จากอัลลอฮ์เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น การที่มุสลิมเชื่อศรัทธาในกฎข้อนี้ มิได้หมายความว่า เขาต้องเป็นคนงอมืองอเท้า รอโชควาสนา โดยไม่ใช้ความพยายามใด ๆ เนื่องจากไม่มีใครสามารถหยั่งรู้ในอดีตกาลและไม่มีความสามารถทำนายอนาคต

ดังนั้นเขาต้องใช้ความพยายามทำปัจจุบันให้ดีที่สุด เขาจะไม่ย่อท้อ ผิดหวังหรือตีโพยตีพาย เมื่อประสบกับความยากลำบาก และไม่เหิมเกริมลำพองตนเมื่อได้รับความสุขสบาย เพราะทุกอย่างล้วนเป็นการกำหนดของพระองค์ทั้งสิ้น


[1] เป็นสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติชนิดหนึ่ง อาศัยอยู่บนโลกมนุษย์ แต่อยู่อีกมิติหนึ่ง มีสังคมเหมือนกับมนุษย์ มีการดำเนินชีวิต มีเกิด มีตาย มีปัญญา มีศรัทธา มีปฏิเสธ มีความสามารถเหนือมนุษย์ สามารถทำในสิ่งที่หลากหลายมากกว่า อัลลอฮ์สร้างมันจากไฟไร้ควัน มีภารกิจให้เคารพภักดีต่ออัลลอฮ์เฉกเช่นมนุษย์ทุกประการ


โดยทีมวิชาการ

เข้าใจอิสลามง่าย ๆ [ตอนที่ 1]

ความหมายของอิสลาม

อิสลามเป็นประมวลคำสอนชุดสุดท้ายที่ถูกประทานลงมาจากฟากฟ้า อันประกอบด้วยคำสอนสำคัญต่าง ๆ เช่นหลักการศรัทธา หลักการปฏิบัติ หลักการใช้ชีวิต  ตลอดจนการพิพากษาและการตอบแทนหลังความตาย ซึ่งอัลลอฮ์ ผู้ทรงกรุณาปรานี มอบให้เป็นวิถีชีวิตแก่มวลมนุษยชาติ ทุกชาติพันธุ์ ภาษาและพื้นที่ 

อิสลามแปลว่าการยอมจำนน การนอบน้อม และการเชื่อฟัง ผู้ที่นับถือและศรัทธาชุดคำสอนนี้เรียกว่ามุสลิม ซึ่งหมายถึงผู้ที่นอบน้อมและยอมจำนนต่อข้อบัญญัติของอัลลอฮ์ด้วยความพอใจและสมัครใจ ปฏิบัติตามคำบัญชาใช้และหลีกห่างจากคำสั่งห้ามของพระองค์ พร้อมทั้งยึดมั่นในคุณธรรมและจริยธรรมอันสูงส่งแห่งอิสลามโดยเชื่อมั่นศรัทธาในหลักศรัทธา 6 ประการและปฏิบัติศาสนกิจตามหลักการอิสลาม 5ประการ

อิสลาม เป็นศาสนาที่ถูกกําหนดจากพระเจ้าผู้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง ซึ่งมีพระนามว่า อัลลอฮ์ ดังนั้นอิสลามจึงเริ่มต้นตั้งแต่มนุษย์คนแรกในโลกนี้คือ อาดัม ซึ่งพระองค์ทรงสร้างขึ้น โดยผนวกรวมระหว่างธาตุดินที่กลายเป็นสรีระร่างกาย และธาตุแห่งวิญญาณ ที่ไม่มีใครสามารถหยั่งรู้ในส่วนนี้ได้ เว้นแต่พระองค์ หลังจากนั้นพระองค์สร้างคู่ชีวิตของเขา คือ เฮาวาอ์ จากกระดูกซี่โครงด้านซ้ายของเขา เพื่อให้สัญญาณว่าทั้งคู่คือส่วนที่ต้องเกื้อหนุน เติมเต็มซึ่งกันและกัน พระองค์ไม่สร้างนางจากศีรษะเพื่อให้บูชาเทิดทูน ไม่สร้างนางจากเท้าเพื่อย่ำยีกดขี่ แต่มาจากซี่โครงที่อยู่เคียงข้างหัวใจ เพื่อทำหน้าที่คอยปกป้องและเยียวยาหัวใจ และจากมนุษย์คู่แรกนี้ ก็ได้เกิดเผ่าพันธุ์มนุษย์ กระทั่งแพร่หลายกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปนับแต่นั้นมา จวบจนโลกอวสาน

อัลลอฮ์ได้ทรงเลือกสรรแต่งตั้งศาสนทูตของพระองค์ในทุกยุคทุกสมัย ตั้งแต่นบีอาดัมในฐานะมนุษย์คนแรก เพื่อทําหน้าที่สั่งสอนและชี้นำมนุษย์ให้รู้จักพระเจ้าที่แท้จริง ศรัทธาต่ออัลลอฮ์เพียงพระองค์เดียว ห่างไกลการเคารพบูชาหรือสิ่งสักการะทั้งหลาย และปฏิบัติตามข้อบัญญัติของพระองค์ ตามที่ปรากฏในคัมภีร์ของบรรดาศาสนทูตตามยุคสมัย จนกระทั่งถึงยุคของศาสทูตมูฮัมมัด ซึ่งท่านได้เผยแพร่ข้อบัญญัติจากอัลลอฮ์ คือ อิสลาม  ดังนั้นผู้คนทั้งหลายจึงมักเข้าใจว่า ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ เมื่อ 1,400 กว่าปีที่ผ่านมา ทั้ง ๆ ที่เป็นคำสอนที่ต่อเนื่องและควบคู่กับมนุษย์คนแรกด้วยซ้ำ ถึงแม้จะมีหลักปฏิบัติที่อาจต่างกันตามยุคสมัย แต่มีเนื้อแท้และแกนสารความเชื่อคือหนึ่งเดียว ไม่เคยเปลี่ยนแปลงนั่นคือ การเคารพภักดีต่ออัลลอฮ์และห่างไกลจากการเคารพบูชาสิ่งอื่นใดนอกจากพระองค์

เนื่องจากไม่มีผู้ใดทรงรอบรู้เกี่ยวกับชีวิตและไม่มีผู้ใดประกาศว่าตนเองเป็นผู้สร้างชีวิต นอกจากอัลลอฮ์พระผู้ทรงสร้างชีวิต ดังนั้น ด้วยความเมตตาของพระองค์ จึงมอบวิถีชีวิตนี้ให้มนุษย์ยึดเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง พระองค์ไม่ทรงสร้างมนุษย์ แล้วปล่อยให้มนุษย์โดดเดี่ยว ค้นหาลองผิดลองถูก เพื่อกำหนดวิถีชีวิตบนโลกนี้เองตามลำพัง เพราะทฤษฎีชีวิตที่คิดค้นโดยมนุษย์ ไม่สามารถตอบโจทย์ให้แก่มนุษย์ด้วยกันเอง มนุษย์เป็นเพียงสาเหตุที่ทำให้ชีวิตเกิดขึ้นผ่านการปฏิสนธิเท่านั้น แต่มนุษย์ไม่ใช่เจ้าของชีวิตที่แท้จริง นอกจากนี้มนุษย์ยังมีข้อจำกัดทางความรู้เรื่องราวของมนุษย์อีกด้วย จึงไม่มีสิทธิ์ที่จะกำหนดวิถีชีวิตให้มนุษย์ทั้งโลกนำไปปฏิบัติได้ 

อิสลามเป็นคําสอนที่อัลลอฮ์ได้กําหนดเป็นวิถีการดำเนินชีวิตแก่มวลมนุษยชาติในโลกนี้ ไม่ใช่คําสอนที่ถูกกําหนดมาเพื่อเฉพาะกลุ่มชนชาวอาหรับเท่านั้น เพียงแต่ว่าศาสนทูตมูฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เป็นชาวอาหรับ จึงเริ่มเผยแพร่จากถิ่นที่อยู่ของท่านและได้ขยายออกสู่ดินแดนต่าง ๆ ของโลก บนหลักการว่า “ไม่มีการบังคับในศาสนา” และการบังคับให้รับนับถืออิสลาม ไม่ว่าด้วยวิธีการใดก็ตาม จะถือเป็นการกระทำที่โมฆะทันที เพราะอิสลามเชื่อว่าการบังคับ ไม่มีผลใด ๆ ต่อการศรัทธาทางจิตใจ แม้นว่าต้องใช้กองกำลังบังคับขู่เข็ญมากมายสักปานใดก็ตาม 

ด้วยเหตุที่อิสลามเป็นศาสนาแห่งมนุษยชาติ อิสลามจึงประกอบด้วยคำสอนที่ผสมผสานระหว่างความมั่นคงที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงและความยืดหยุ่นซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนตามยุคสมัยและสถานที่ มีความสมบูรณ์และครอบคลุมในทุกมิติของชีวิต มีดุลยภาพและความเป็นสายกลาง มีความชัดเจนและจับต้องได้ มีความสมดุลระหว่างภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ มีการวางน้ำหนักที่เท่าเทียมกันระหว่างการใช้ชีวิตบนภพโลกกับภพหลังความตายอย่างมีนัยสำคัญ


โดย ทีมวิชาการ

จะนะ ดินแดนแห่งอุละมาอฺ

จะนะในมุมองอาจารย์อนัส แสงอารีย์ นักวิชาการ/นักบรรยายธรรมชื่อดัง

“ในฐานะที่เป็นคนสงขลาที่ต้องเดินทางโดยใช้เส้นทางผ่านอำเภอจะนะอยู่บ่อยครั้งมากจนนับครั้งไม่ถ้วน นอกจากด่านตรวจที่ตลิ่งชันแล้ว ยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่เป็นภาพคิดตา จนหลับตาแล้วยังเห็นภาพที่จำได้ว่ามีอะไรอยู่ตรงไหน 

คงไม่ต้องกล่าวถึงหอนาฬิกากรงนกเขาชวาตรงวงเวียนเข้าตลาดจะนะอันเป็นเอกลักษณ์และสัญลักษณ์ของเมืองจะนะ “เมืองนกเขาชวา” ที่มีชื่อเสียงที่สุดของประเทศ หรือในภูมิภาคอาเซียน

หากกางแผนที่ออกแล้วลากเส้นเชื่อมต่อระหว่างพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส กับจังหวัดสงขลา เมืองจะนะถือเป็นเมืองใหญ่ที่สุดระหว่างทาง คนที่เดินทางผ่านไปมาบนเส้นทางนี้จึงมักแวะ หยุดพักระหว่างทาง เพื่อเติมน้ำมันรถ รับประทานอาหารที่มีรสชาติเอร็ดอร่อยหลากหลาย และชอปปิ้ง ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของเมืองจะนะอยู่ไม่น้อย

ในด้านการประกอบอาชีพ การทำการเกษตรถือเป็นอาชีพหลักของชาวจะนะมาแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน ด้วยพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่ม เหมาะสำหรับการทำนา รวมทั้งการไร่ ทำสวน จากสวนส้มจุกอันลือชื่อในอดีต จนมาเป็นสวนยางพาราและสวนปาล์มในปัจจุบัน ควบคู่ไปกับการเลี้ยงสัตว์ วัว ควาย เป็ดไก่ ตามวิถีของชาวบ้าน

ในอีกด้านหนึ่งของจะนะมีพื้นที่ติดชายฝั่งทะเลอ่าวไทย ตำบลนาทับ และตำบลสะกอม ที่ชาวบ้านมีอาชีพประมง แปลรูปอาหารทะเล และยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัดสงขลาอีกด้วย

จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า จะนะเป็นเมืองที่มีระบบนิเวศที่อุดมสมบูรณ์และหลากหลายที่สุดของจังหวัดสงขลา

ในด้านการศึกษาโดยเฉพาะการศึกษาศาสนาอิสลาม ต้องกล่าวว่า จะนะเป็นศูนย์กลางทางการศึกษาศาสนาอิสลามมาช้านานถัดจากปัตตานีที่เป็นระเบียงของนครมักกะฮฺ จนกล่าวได้ว่า จะนะเป็นศูนย์กลางการศึกษาศาสนาอิสลามแบบระบบปอเนาะที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดของจังหวัดสงขลา และแห่งหนึ่งของภาคใต้เลยทีเดียว ดังที่เห็นได้จากจำนวนโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามที่มีอยู่มากมายที่อำเภอจะนะในปัจจุบัน

ในด้านสังคม จะนะเป็นสังคมพหุวัฒนธรรม ที่ชาวไทยมุสลิมกับชาวไทยพุทธอยู่ร่วมกันมาอย่างสงบสุขเป็นเวลาช้านาน ในส่วนของชาวไทยมุสลิมนั้น มีทั้งผู้ที่ใช้ภาษาไทยท้องถิ่นใต้ และที่ใช้ภาษามลายูปัตตานี ที่ทำให้มีความหลากหลายกลมกลืนทางวัฒนธรรมอีกด้วย

กล่าวได้ว่า ยากที่จะหาพื้นที่ใดในภาคใต้ของประเทศไทยที่จะเทียบได้กับความโดดเด่นของจะนะที่ได้กล่าวมาพอสังเขป เพียงพอที่จะเหตุผลในการอนุรักษ์ความโดดเด่นนั้นไว้ พร้อมกับการพัฒนาที่ไม่ลบล้างหรือทำลายระบบนิเวศอันอุดมสมบูรณ์และวัฒนธรรมอันดีงามของเมืองจะนะ

คงไม่ต้องพูดถึงนิคมอุตสาหกรรมจะนะกำลังดังก้องโลกในเวลานี้ เพียงแค่โรงงานข้างทางสี่เลนที่ส่งกลิ่นเหม็นอบอวนเข้ารูจมูกของผู้ที่ขับรถไปมาบนเส้นทางนี้จนชาชิน จนหากใครสักคนถูกอุ้มปิดตาผ่านหน้าโรงงานนั้น ก็จะสามารถบอกได้ว่า ตอนนี้กำลังผ่านหน้าโรงงานที่จะนะ เพราะได้กลิ่นเหม็น

ความมั่งคั่งร่ำรวยและผลประโยชน์ของการพัฒนาที่ผ่าน ๆ มาในบ้านเรา มักไม่ได้กลับมาสู่ชุมชนและชาวบ้านอย่างที่อ้าง ๆ กัน ทว่าผู้ได้ประโยชน์คือกลุ่มทุน และกลุ่มผู้มีอำนาจ ส่วนชาวบ้านก็ได้แค่สารพิษ หรืออย่างดีก็ได้ทำงานเป็นคนงานในโรงงาน ที่เป็นอีกหนึ่งเหตุสำคัญที่ทำลายวิถีชีวิตด้านศาสนา จริยธรรม และความมั่นคงของครอบครัว

ขออัลลอฮฺปกป้องและคุ้มครองเมืองจะนะ และชาวจะนะให้รอดพ้นจากทุกข์ภัยทั้งปวง

#นอกจากนี้อาจารย์อนัส เคยให้สติแก่ผู้คนก่อนเขียนบทความนี้ว่า “#ความเห็นแก่ตัวอย่างไม่รู้จักพอของใครสักคน ทำให้เขาสามารถละเมิดต่อสิทธิ ชีวิต และทรัพย์ของใครก็ได้ที่ไม่ใช่ของตนเอง ด้วยข้ออ้างที่ดูดีและสมเหตุสมผลและชอบธรรมเสมอ

“และเมื่อพวกเขาถูกบอกว่า พวกท่านอย่าได้สร้างความเสียหายบนหน้าแผ่นดินเลย พวกเขาจะกล่าวว่า เราเป็นเพียงแต่ผู้พัฒนาต่างหาก…พึงทราบเถิดว่า พวกเขาเหล่านั้นคือพวกสร้างความเสียหายต่างหากเล่า แต่ว่าพวกเขาไม่รู้ตัว” (ความหมายอัลกุรอานสูเราะฮฺอัลบะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺที่ ๑๑ และ ๑๒)


Cerdit : Facebook Shukur Dina

เจตนารมณ์ขั้นพื้นฐาน 5 ประการในอิสลามกับนิคมอุตสาหกรรมจะนะ

เดาะรูริยาต (Daruriyat) : หลักประกันพื้นฐาน 5 ประการในอิสลามที่ต้องได้รับการปกป้องรักษา : หลักประกันความมั่นคงด้าน

1.ศาสนา/ความเชื่อ (Din)

2.ชีวิต (Nafs)

3.วงศ์ตระกูลและศักดิ์ศรี (Nasl & Irdhu)

4.สติปัญญา (‘Aql)

5.ทรัพย์สมบัติ (Mal)

อิสลามให้ความสำคัญกับเจตนารมณ์พื้นฐานทั้ง 5 ประการ ในทุกขั้นตอน ทั้งส่งเสริมให้เกิด ทำนุบำรุงและอนุรักษ์รวมทั้งปกป้อง มิให้ถูกทำลาย และในทุกขั้นตอนเหล่านี้ มีคำสอนและการชี้แนะเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติอย่างละเอียด ถึงขั้นหากมีการล่วงละเมิดใน 5 ประการหล่านี้ อิสลามอนุญาตให้ผู้นำประกาศสงครามเลยทีเดียว

การก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรม​ที่กินพื้นที่มหาศาลของชุมชนมุสลิมใน อ.จะนะ จ.สงขลานั้นนับเป็นความอัปยศ​อย่างหนึ่งที่หน่วยงานบริหารรัฐกิจภาครัฐคอยเป็นผู้อำนวยการจัดให้เอกชนได้ลงทุนกอบโกยผลประโยชน์​

การพัฒนาที่ยั่งยืนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ไม่ทำลายระบบนิเวศน์​ ไม่ส่งผลกระทบต่อระบบสังคม สตรีเยาวชน และเด็ก ๆ ย่อมเป็นสิ่งที่ดีที่ควรจะกระทำแต่หากเป็นการพัฒนา​บนพื้นฐาน​ของธุร​กิจ​อุตสาหกรรม​ที่เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศน์ทั้งบนบก อากาศและทางทะเล​นั้น​ มีผลประโยชน์ทับซ้อนที่เกื้อหนุนกลุ่มทุนข้ามชาติที่จับมือกับนักการเมืองขายชาติ รวมทั้งการทำลายพื้นที่ทางประวัติศาสตร์อันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชุมชน ย่อมเป็นฝันร้ายแก่ชุมชนและสังคมในพื้นที่แน่นอน และจะกลายเป็นแผลใหม่และลึกที่จะต้องใช้เวลาอีกยาวนานกว่าจะแก้ไขได้ 

เราเห็นความหายนะมากี่มากแล้วสำหรับชุมชนที่อยู่อาศัย​ใกล้กับนิคมอุตสาหกรรม​ที่ต้องร้องเรียนเรื่องน้ำเสีย มลพิษทางอากาศ​ มลภาวะทางเสียง โรงงานระเบิด ฯลฯ ทั่วประเทศ

ดังนั้นเจตนา​รมณ์ของบทบัญญัติ​ในอิสลามจึงกำหนดหลักประกัน​ ​5 ประการเพื่อเป็นบรรทัดฐานว่า การสร้างความเจริญและการพัฒนาใด ๆ จะไม่ส่งผลกระทบเชิงลบกับเจตนารมณ์พื้นฐานทั้ง 5 ประการนี้

คลิ๊กลิงค์เพื่อฟังเนื้อหาคุตบะฮ์ 

https://www.facebook.com/masjidabibakrphatna/videos/1019655725483408


สรุปคุฏบ​ะ​ห์​ญุม​อัต​ วันศุกร์​ที่ 10 ธันวาคม​ 2564 , 5 ยะมาดิ้ลเอาวาล 1443 ฮ.  ณ มัสยิดอะบูบักร์อัศศิดดีก อ. เมือง จ. ยะลา

โดย : ผศ.มัสลัน มาหะมะ นักวิชาการมหาวิทยาลัยฟาฏอนี

เรียบเรียง : อาจารย์ซูฮัยมีย์ อาแว

เกาะติดสถานการณ์ตุรกี [ตอนที่ 2]

ตุรกีเสมือนกองคารวานที่เดินรุดหน้าไปไกลลิบแล้ว ในขณะที่ฝูงสุนัขก็ยังเห่าหอน ณ ที่ประจำของมันโดยไม่ขยับเขยื้อน ตุรกีได้โลดแล่นนำพาประเทศสู่ประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจขนาดใหญ่ทัดเทียมประเทศพัฒนา (กลุ่มประเทศ G-20) ซึ่งก่อนหน้านี้ ตุรกีถูกวางยากลายเป็นเจ้าชายนินทรานานเกือบร้อยปี แต่พอตื่นขึ้นมาก็พร้อมวิ่งไปข้างหน้าอย่างสุดความสามารถ ถึงเเม้จะมีกักระเบิดมากมายที่ถูกวางไว้ แต่ตุรกีก็สามารถฝ่าฟันวิกฤตให้เป็นโอกาสเสมอ

วิสัยทัศน์ 2023 ที่ถือเป็นปีแห่งการกำเนิดตุรกียุคใหม่ที่ไฉไลกว่าเดิม มีประชาชนคอยเป็นเจ้าของตรวจสอบและสอดส่องพฤติกรรมของผู้ไม่หวังดีต่อชาติและศาสนาของประชาชน  มีรัฐบาลอันมั่นคงที่คอยทำหน้าที่ผู้อำนวยความสะดวกและผู้ให้บริการที่ดี มีระบอบการเมืองการปกครองที่เข้มแข็งและเสถียรภาพ มีฐานเศรษฐกิจที่สามารถพึ่งพาตนเองในทุก ๆ ด้าน และมีระบบสวัสดิการที่เอื้อต่อการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน รวมทั้งอภิมหาโปรเจ็กที่ถือเป็นโครงการแห่งศตวรรษได้สำเร็จลุล่วงตามแผนอย่างต่อเนื่อง

บรรยากาศเข่นนี้ ทั้งสหรัฐฯและยุโรป ต่างคาดหวังกันว่า จะไม่มีทางเกิดขึ้นในประเทศโลกอิสลาม เพราะในสายตาพวกเขา ประชาชาติอิสลามคู่ควรกับบ้านเมืองที่ล่มสลายไปแล้ว มีชีวิตอย่างถาวรในศูนย์อพยพ ประทังชีวิตด้วยอาหารบริจาคหรือขุดคุ้ยตามกองขยะ พวกเขาจึงเหมาะสมกับอดีตอันปวดร้าว ปัจจุบันที่แสนลำบากและอนาคตอันมืดมนเท่านั้น

นี่คือสิ่งที่พวกเขาต้องการให้เกิดขึ้นในโลกอิสลาม ซึ่งก็ได้เกิดขึ้นจริงแล้วที่ปาเลสไตน์ อิรัก ซีเรีย ลิเบีย อาระกาน แอฟริกาและอื่น ๆ

สโลแกนของพวกเขาคือ เราจะทำให้โลกใบนี้เป็นซากปรักหักพังที่กองพะเนินเทินทึกที่หลอมละลาย แล้วเราจะประมูลขาย

โลกที่พวกเขาหมายถึง หาใช่อื่น นอกจากโลกอิสลาม ซีเรีย อิรัก เยเมน ลิเบีย คือหลักฐานที่พิสูจน์ได้

หากมีผู้นำคนไหนที่สามารถสร้างรัฐล้มเหลวและล่มจมพังพินาศในลักษณะนี้ ผู้นำคนนั้นจะต้องได้รับการปกป้องเลี้ยงดูปูเสื่อเป็นอย่างดี บัชชาร์ที่สังหารประชาชนชาวซีเรียไปแล้วล้านกว่าคน ประชาชนไร้ที่อยู่อาศัยกว่าสิบล้านคน บ้านเมืองกลายเป็นทุ่งสังหารและซากปรักหักพัง แต่เราไม่เคยเห็นความพยายามอันจริงจังของชาติมหาอำนาจที่จะโค่นล้มผู้นำทรราชคนนี้เลย แม้กระทั่งนายทหารนอกราชการอย่างนายฮัฟตาร์ที่กลายเป็นอาชญากรสงครามและสังหารชาวลิเบียในสงครามกลางเมือง ก็ได้รับการอุ้มชูจากชาติตะวันตกและยังเป็นแคนดิเดทผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีลิเบียด้วยซ้ำ แม้แต่นายซีซีย์ที่เนรมิตชาติอียิปต์ให้เป็นนรกบนดิน ก็ยังอยู่ยงคงกระพัน มีอำนาจล้นฟ้าเหนือดินแดนพีรามิดจนถึงปัจจุบัน แถมยังมีผู้เปรียบเปรยยกย่องเป็นเสมือนนบีมูซาที่ปกป้องบนีอิสรออีลด้วยซ้ำ

นายฮัฟตาร์
นายซีซีย์
บัชชาร์

ในขณะที่ปธน. แอร์โดอานได้ก้าวมาบริหารประเทศตามวิถีประชาธิปไตย ที่แม้แต่ศัตรูทางการเมืองยังยอมรับ พร้อมพัฒนาประเทศด้วยผลงานเป็นที่ประจักษ์ในระดับโลก พวกเขาพร้อมใจกันสหบาทากล่าวหาว่าเป็นเผด็จการ อาชญากรสงคราม บ้าอำนาจ และเป็นภัยต่อความมั่นคงในภูมิภาคและจะต้องได้รับโทษหนักด้วยการโค่นล้มหรือสังหารสถานเดียว

ถึงแม้ปธน. แอร์โดอานและพรรค AKP จะนำความสำเร็จอันยิ่งใหญ่แค่ไหนให้ชาวตุรกี แต่ไม่มีวันที่พวกเขาจะพึงพอใจให้ตราบใดที่ตุรกีไม่ยอมเป็นเด็กในคาถา คอยรับคำสั่งอยู่ในคอก เหมือนบทบาทของตุรกีในอดีต


โดย Mazlan Muhammad

เกาะติดสถานการณ์ตุรกี [ตอนที่ 1]

ตุรกีในวันนี้กำลังเผชิญหน้ากับสงครามที่ดุเดือดที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าสงครามเพื่อโค่นล้มรัฐบาลที่ผ่านมา ตุรกียุคแอร์โดอาน เคยผ่านวิกฤตทางการเมืองและความมั่นคงของประเทศมามากหลาย ตั้งแต่การชุมนุมประท้วงเรื่องอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ปี 2013 โดยผู้ชุมนุมกดดันรัฐบาลให้ลาออกเพราะไปตัดต้นไม้ที่เกซีปาร์ก ซึ่งบานปลายเป็นการประท้วงเนื่องจากรัฐบาลกำหนดเวลาการซื้อขายเหล้าสุราและจัดระเบียบหอพัก

คล้อยหลังอีกปีกว่า ๆ พวกเขาได้ปฏิบัติแผนล้มรัฐบาลแบบสายฟ้าแล๊บผ่านกระบวนการยุติธรรมและตำรวจด้วยการจับกุมบุคคลระดับรัฐมนตรีในข้อหาทุจริตคอร์รัปชั่นชนิดที่นายกรัฐมนตรีแทบไม่รู้ข่าวแม้แต่น้อย พวกเขายังใช้แผนทำลายความเชื่อมั่นรัฐบาลด้วยการก่อจลาจลและความไม่สงบในประเทศโดยกลุ่มก่อการร้ายสากล เพื่อสร้างรัฐแห่งความหวาดกลัว จนกระทั่งในปี 2016พวกเขาได้ก่อรัฐประหารโดยใช้กองกำลังทหารและอาวุธสงครามที่มีประสิทธิภาพสูง โดยมีเป้าหมายคิดบัญชีขั้นเด็ดขาดกับประธานาธิบดีแอร์โดอานและรัฐบาล AKP แม้กระทั่งเหตุไฟไหม้ล่าสุดในพื้นที่ท่องเที่ยวที่เกิดขึ้นทางภาคใต้ในเวลาไล่เลี่ยกันกว่า 100 จุด ที่มีหลายฝ่ายเชื่อว่า ส่วนหนึ่งน่าจะมีมือมารที่ยอมเผาบ้านเมืองของตนเองเพื่อหวังผลทางการเมืองอันสกปรก

ทุกเหตุการณ์เหล่านี้ล้วนเป็นฝีมือของอีแอบที่คอยกดรีโมทจากภายนอกด้วยความร่วมมือของมือสกปรกจากภายในที่ยอมเป็นหุ่นเชิด โดยมีเป้าหมายโค่นล้มรัฐบาลแอร์โดอานที่มาจากการเลือกตั้งโดยวิถีประชาธิปไตยภายใต้รัฐบาล AKP ตุรกีสามารถปลดหนี้ IMF จำนวน 23,000 ล้านUSD เมื่อปี 2013 เพิ่มกองทุนสำรองในธนาคารแห่งชาติจาก 27,000ล้านUSD เมื่อปี 2002 เป็น 130,000 ล้านUSD ในปี 2013 เพิ่มรายได้เฉลี่ยประชากรจาก 3,000 USD : คน : ปี เป็น 11,000 USD :คน :ปี  มีการขยายตัวของภาคธุรกิจจาก 250,000 ล้าน USD เป็น  900,000 ล้าน USD

ปัจจุบันตุรกีมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูงสุดเป็นอันดับหนึ่งของยุโรปและอันดับสองของโลกรองจากประเทศจีน

ก่อนปี 2003 ซึ่งเป็นยุคก่อนรัฐบาล AKP เงินลีร่าตุรกีมีค่า 1USD = 1,000,000  ในปี 2013 เงินลีร่ามีค่า 1USD= 1.34 TRY ก่อนที่ร่วงเป็นประวัติการณ์ เป็น 12-13 TRY : 1USD ในปัจจุบัน ถึงกระนั้นก็ตามรัฐบาลยุคแอร์โดอานสามารถตัด 0 จากธนบัตรจำนวน 6 ตัวทีเดียว 

ถึงแม้ตุรกีจะประสบผลสำเร็จมากมายแค่ไหน แต่ชาติตะวันตกและรัฐพันลึกไม่มีวันที่จะพอใจ พวกเขาจึงใช้ความพยายามทุกวิถีทางเพื่อโค่นล้มรัฐบาลแอร์โดอานให้ได้

ก่อนหน้านี้พวกเขาชื่นชมตุรกีไม่ขาดปาก แถมยังยกย่องตุรกีว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่เป็นต้นแบบของการพัฒนาและมีใจกว้างต่อชนต่างศาสนิก ถึงขนาดเชิดชูตุรกีเป็นโมเดลของสานเสวนาระหว่างศาสนา แต่วันนี้พวกเขาโจมตีตุรกีและผู้นำตุรกีสารพัด แอร์โดอานจึงได้รับฉายามากมายอาทิ ผู้นำลัทธิฟาสซิสต์ยุคใหม่ จอมเผด็จการ ผู้นำกระหายเลือด เสพติดอำนาจ ฮิตเลอร์แห่งตุรกี ฯลฯทั้ง ๆ ที่แอร์โดอานได้นำพาตุรกีจากประเทศที่ถูกบังคับให้ปฏิเสธอิสลามบัดนี้ ตุรกีได้ทุ่มเทงบประมาณสร้างมหาวิทยาลัยจาก 70 แห่งเป็นเกือบ 200 แห่งทั่วประเทศ สร้างและซ่อมแซมมัสยิดใหญ่โตเกือบ 20,000 แห่งทั่วประเทศในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะการเปลี่ยนมัสยิดอายาโซเฟียจากพิพิธภัณฑ์กลายเป็นมัสยิดวากัฟตามเจตนารมณ์ดั้งเดิมของสุลตานผู้พิชิตมูฮัมมัดอัลฟาติห์เมื่อปีค.ศ.1453

และมัสยิดเมดานตักซีมอันใหญ่โตที่ถูกสร้างขึ้นกลางหัวใจของลัทธิเซคิวล่าร์ เพื่อประกาศชัยชนะของอิสลามบนดินแดนคอลีฟะฮ์ 

ยังไม่รวมมัสยิดชามลีจา ที่เปิดบริการเมื่อปี 2019 ซึ่งเป็นมัสยิดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ตุรกี ใช้งบประมาณในการก่อสร้าง 110 ล้าน USD จุคนละหมาดในเวลาเดียวกันกว่า 60,000 คน  

เยาวชนรุ่นใหม่ได้รับการอบรมเลี้ยงดูให้ใกล้ชิดอันกุรอานและการละหมาดแทนด้วยการมอมเมาด้วยกิจกรรมอบายมุขและสิ่งเย้ายวนทั้งหลาย

ส่วนการพัฒนาด้านสังคม การศึกษาระบบสาธารณูปโภค การสาธารณสุขการคมนาคม กล่าวได้ว่าตุรกีกลายเป็นประเทศต้นแบบด้านการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ที่แม้แต่ศัตรูยังต้องชื่นชม

ที่สำคัญ ตุรกียังยกระดับประเทศที่สามารถหายใจด้วยจมูกของตนเองตามแผนพัฒนาโครงการอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ ด้วยการผลิตอาวุธและยุทโธปกรณ์อันทันสมัยและมีประสิทธิภาพ ที่แม้แต่ประเทศมหาอำนาจยังต้องทึ่งตะลึง

อะไรที่ทำให้ชาติตะวันตกหมั่นไส้ตุรกี ถึงขนาดประธานาธิบดีไบเดน ได้ประกาศช่วงหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีที่ผ่านมาว่า หนึ่งในนโยบายต่างประเทศของตนคือ โค่นล้มรัฐบาลแอร์โดอาน โดยไม่ใช่วิธีรัฐประหาร 

อะไรคือความหมายของคำว่า حرب الاستقلال الاقتصادي (สงครามเพื่อเอกราชทางเศรษฐกิจ) ที่ประธานาธิบดีแอร์โดอานกล่าวถึงล่าสุด

คิดตามภาค 2 ครับ


โดย Mazlan Muhammad

เออร์โดกาน & กุเลน จุดแตกหักแห่งสัมพันธภาพ [ตอนที่ 5]

การฝึกศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัว นอกจากนักเรียนต้องฝึกฝนวิธีป้องกันตัวให้เก่งกาจแล้ว ผู้เรียนจะต้องได้รับการถ่ายทอดให้เรียนรู้จุดอันตรายบนร่างกายคู่ต่อสู้ ที่ถือเป็นจุดตายอีกด้วย เพราะเป็นวิธีเดียวที่ทำให้คู่ต่อสู้อ่อนเปลี้ยเพลียแรง ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างสะดวกและหมดทางสู้ไปโดยปริยาย

จุดเปราะบางหรือจุดตายที่สำคัญทางยุทธศาสตร์ของทุกประเทศ นอกจากระบบการเมืองการปกครอง อำนาจทางทหาร อำนาจอธิปไตยและสถาบันต่าง ๆในสังคมแล้ว ทรัพยากรบุคคลระดับมันสมอง (Think tank) ที่เป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนประเทศและสถาบันการเงินที่เป็นท่อน้ำเลี้ยงของประเทศ ถือเป็นจุดตายที่มีความเปราะบางที่สุด หาก 2 จุดนี้ถูกจู่โจมทำลาย ก็จะส่งผลร้ายต่อการพัฒนาประเทศทั้งในระยะสั้นและระยะยาว และนี่คือกลยุทธ์สำคัญของแผนปฏิบัติการจู่โจมแบบสายฟ้าแลบต่อรัฐบาลเออร์โดกานในเช้าตรู่ของวันที่ 17 ธันวาคม 2013 ที่ผ่านมา

มันคืออาการ After shock ลูกแรกที่โถมซัดพุ่งเข้าสู่รัฐบาลเออร์โดกานชนิดไม่ให้โอกาสตั้งตัวและหวังผลว่าสามารถต่อยจุดสลบให้รัฐบาลโดนน๊อกหลับยาวกลางอากาศไปเลย

หน่วยตำรวจลับที่รับคำสั่งตรงมาจากนครอิสตันบูล ได้สนธิกำลังเข้าไปจับกุมเจ้าหน้าที่ข้าราชการระดับสูงและผู้เกี่ยวข้องจำนวน 66คน ในข้อหาคอร์รัปชั่น ยักยอกงบประมาณของรัฐ และทุจริตในหน้าที่ด้วยการให้ใบอนุญาตสัมปทานการก่อสร้างอย่างฉ้อฉล หนึ่งในจำนวนนี้คือนายกเทศมนตรีเมืองฟาติหฺ ประธานผู้จัดการธนาคาร Halk Bank ลูกชายรัฐมนตรีในคณะรัฐบาล 3 คน ทั้งลูกชายรมว.กิจการภายใน(มหาดไทย) รวม.เศรษฐกิจและรมว.สิ่งแวดล้อม ถือเป็นข่าวฉาวส่งท้ายปี 2013 ที่สั่นสะเทือนบัลลังก์ของนายเออร์โดกานมากที่สุด นสพ.ตุรกีแทบทุกฉบับได้พาดข่าวหน้า 1 ติดต่อกันหลายวัน จนกระทั่ง ทั้ง 3 รัฐมนตรีตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งเพื่อแสดงความรับผิดชอบที่มีลูกชายเข้าไปมีส่วนพัวพันและเปิดทางให้มีการสอบสวนมีความอิสระขึ้น

วิกฤติการเมืองรอบนี้ ส่งผลให้เงินลีร่าตุรกีดิ่งฮวบลงเป็นประวัติการณ์

และเช่นเคย ขาประจำอย่างนสพ.Today’s Zaman ได้ทีโหมโรงกดดันให้นายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่ง ด้วยเหตุผลนายกรัฐมนตรีต้องมีส่วนรู้เห็นและเป็นผู้เซ็นอนุมัติโครงการฉาวเหล่านั้น

ในวันที่18/12/2013 นายเออร์โดกานได้ออกแถลงข่าวเคียงคู่กับนายรัฐมนตรีฮังการีซึ่งเป็นแขกรัฐบาลว่า “เป็นแผนการที่มีการกดรีโหมตจากต่างประเทศ โดยมีมือจากข้างในเป็นผู้ปฏิบัติ” เขายืนยันว่า “เป็นการใส่ร้ายป้ายสีที่มีกองกำลังนานาชาติที่แฝงตัวอยู่ในเงามืด คอยบงการอยู่”

เขากล่าวว่า ผู้ที่กล่าวว่าการกระทำนี้เป็นการสอบสวนทุจริต แท้จริงแล้ว พวกเขานั่นแหละทุจริตเสียเอง เขายืนกรานว่า การปราบปรามทุจริต ถือเป็นนโยบายหลักของรัฐบาลอยู่แล้ว และทิ้งท้ายด้วยคำพูดดุดันผสมขู่ว่า เขามีแฟ้มลับการทำงานของกลุ่มที่คอยจ้องเล่นงานรัฐบาลขณะนี้อยู่ในมือ ซึ่งหากเปิดเผยแล้ว ภูเขาสะเทือนแน่นอน 

ประชาชนตุรกีทุกคนรู้โดยไม่ต้องคิดว่า เออร์โดกานกำลังสื่อถึงใคร 

เพื่อตอบโต้ชนิดฟันต่อฟันกับแผนจู่โจมสายฟ้าแลบนี้ เออร์โดกานสั่งปลดนายตำรวจระดับอาวุโสหลายสิบคน รวมทั้งผู้บัญชาการตำรวจนครบาลประจำอิสตันบูล พร้อมออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวนแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาของตนทราบก่อนจะดำเนินการสอบสวนใดๆ ก็ตามที่ได้รับมอบหมายจากอัยการแผ่นดิน 

นายตำรวจชั้นสูงที่โดนปลดและโยกย้ายในครั้งนี้ ล้วนแล้วแต่สนิทชิดเชื้อกับกุเลนแทบทั้งสิ้น

นอกจากนี้ นายเออร์โดกาน ได้แถลงถึงการปรับครม.ทั้งหมด 10ตำแหน่ง หลังจากที่ได้มีการประชุมลับกับประธานาธิบดี อับดุลลอฮฺ กูล 

ผู้เขียนไม่ขอฟันธงว่า ในกรณีนี้ฝ่ายไหนถูกผิด คงต้องรอการตัดสินคดีในชั้นศาลต่อไป และเห็นด้วยอย่างยิ่งที่มีการปราบปรามทุจริต ซึ่งเป็นนโยบายหลักของรัฐบาลเออร์โดกานที่ชูเรื่อง โปร่งใส ขาวสะอาดและปลอดทุจริต อยู่แล้ว 

ผลงานรัฐบาลตลอด 11 ปีที่ผ่านมา ที่สามารถนำพาตุรกีที่ง่อยเปลี้ยและพิกลพิการจากมรดกบาปของระบอบคะมาลิสต์มาเป็นเด็กอ้วนท้วมแข็งแรงสมบูรณ์ขณะนี้ คือเครื่องหมายประกันคุณภาพที่แม้แต่กลุ่มต่อต้านรัฐบาลก็ยังต้องสงบปาก

แต่ที่ชวนสงสัยอย่างยิ่งยวดก็คือ แผนการจู่โจมของตำรวจมหานครอิสตันบูล บุกจับกุมผู้ต้องหาในอังการ่า ซึ่งเป็นเขตนอกพื้นที่ความรับผิดชอบของตนเองแบบลับสุดยอด ชนิดที่แม้แต่คนระดับนายกรัฐมนตรีเอง ก็เพิ่งทราบข่าวจากข่าวโทรทัศน์เหมือนประชาชนทั่วไป ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่า แม้แต่นักแสดงระดับฮอลลิวูด ก็ไม่สามารถแสดงได้ 

ในประวัติศาสตร์การปราบปรามทุจริตระดับประเทศ ท่านผู้อ่านเคยทราบข่าวว่า มีการจับกุมเจ้าหน้าที่ระดับสูงของประเทศครั้งมโหฬารเหมือนที่เกิดขึ้นที่ตุรกีบ้างไหม มีการรักษาความลับสุดยอดชนิดที่ผู้นำสูงสุดไม่รับรู้ใด ๆ ทั้งสิ้น บ้างไหม

เพราะมันคือแผนอันเดียวกันที่เคยใช้อย่างสำเร็จลุล่วงแล้วที่อิยิปต์ในการโค่นประธานาธิบดีมุรซีย์ โดยมีเป้าหมายหลักคือ ฝังกลบแนวคิดนิยมอิสลามที่ครอบคลุม ให้ดับมลายหายสิ้นจากโลกนี้ 

ทรัพยากรบุคคลระดับมันสมองและสถาบันการเงิน จึงเป็นเป้าหมายหลักของการจู่โจมในครั้งนี้ ที่อาจส่งทำให้ร่างกายของรัฐบาลอ่อนกำลังเป็นอย่างมาก

อย่างน้อย ก็สะบักสะบอม อ่อนเปลี้ยเพลียแรง และมีผลอาจทำให้อภิมหาโครงการของรัฐบาลที่จะดำเนินการในอนาคตอันใกล้ต้องหยุดชะงักด้วยซ้ำ

และที่สำคัญคือสามารถสกัดกั้นการพุ่งทะยานของเครื่องบินที่มีกัปตันอย่างเออร์โดกาน มิให้โลดแล่นตามอำเภอใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผลการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีที่จะมีขึ้นช่วงเดือนมีนาคมปีนี้ และเลือกตั้งใหญ่ในปี 2015 ซึ่งเออร์โดกานต้องเว้นวรรคทางการเมือง และไม่สามารถลงเลือกตั้งชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้แล้วตามกฎหมายเลือกตั้งของตุรกี 

แต่กุเลนยังสามารถเล่นบทบาทรัฐบาลเงาได้อย่างสบาย ด้วยเครือข่ายอันมหึมาที่ได้แทรกซึมเข้าไปในทุกอณูพื้นที่ของระบบราชการ โดยเฉพาะวงการตำรวจและตุลาการ 

เออร์โดกานและกุเลนจึงเป็นสองสายธารที่ไม่สามารถรวมบรรจบกันได้ 

ติดตามตอนต่อไป


โดย Mazlan Muhammad

ศาสตร์อิสลามว่าด้วยการเลี้ยงลูก [ตอนที่ 4]

การสอนลูกให้มีความซื่อสัตย์

ท่านนบี ศอลฯ และซอฮาบะฮ์ ฝึกเด็ก ๆ ให้เป็นคนซื่อสัตย์ ไว้วางใจได้ โดยการให้รักษาความลับบางประการ

ท่านอานัส บินมาลิก ซึ่งเป็นซอฮาบะฮ์รุ่นเด็กเล็ก ที่อุมมุาลัยม์ มารดา ได้ฝากให้คอยรับใช้ท่านนบี ศอลฯ ที่บ้านของท่าน

อานัส บินมาลิก กล่าวว่า “ท่านนบี ศอลฯ ได้บอกความลับบางอย่างแก่ฉัน  และฉันไม่บอกแก่ใครเลย อุมมุสุลัยม์ (มารดาของอานัส) ได้ถามฉัน แต่ฉันก็ไม่บอกแก่นาง” หะดีษรายงานโดยบุคอรีย์

قال أنس  أسرّ إليّ النبي -صلى الله عليه و سلم- سِرّاً، فما أخبرت به أحدا بعده، ولقد سألتني أم سليم رضي الله عنها فما أخبرتها به رواه البخاري

บุคอรีย์และมุสลิมได้เล่ารายละเอียดเหตุการณ์นี้ว่า

عن ثابت عن أنس بن مالك رضي الله عنه قال: “أتى عليّ رسول الله -صلى الله عليه وسلم- وأنا ألعب مع الغلمان، فسلّم علينا فبعثني إلى حاجة فأبطأت على أمي، فلما جئتُ قالت: ما حبسك؟، قلت: بعثني رسول الله -صلى الله عليه وسلم- لحاجة، قالت: ما حاجته؟، قلت: إنها سر!!، قالت: لا تخبرنّ بسر رسول الله -صلى الله عليه وسلم- أحدا،  ” متفق عليه واللفظ لمسلم .

“ในขณะที่ฉันเล่นอยู่กับเด็ก ๆ ท่านรอซูลุลลอฮ์ ศอลฯ ได้มาหาและให้สล่ามแก่ฉัน แล้วให้ฉันไปทำธุระบางอย่าง  ทำให้ฉันกลับไปหาแม่ช้า เมื่อไปถึงแม่ก็ถามว่า “ทำไมกลับช้า” ฉันตอบว่า “ผมมีธุระบางอย่างครับ” คุณแม่ถามต่อว่า “ธุระอะไรล่ะ” ฉันตอบว่า “มันเป็นความลับ” คุณแม่จึงกล่าวว่า “เธออย่าได้บอกความลับของท่านรอซูลุลลอฮ์ให้แก่ผู้ใดทราบแม้แต่คนเดียว”


โดย Ghazali Benmad