ไอสไตน์เคยกล่าวว่า ในโลกนี้ไม่มีคำว่าปาฏิหารย์ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนมาจากเหตุและผลทั้งสิ้น เพียงแต่ไอสไตน์ไม่สามารถอธิบายต่อว่า ใครคือผู้กำหนดเหตุและผล เขาพยายามอธิบายว่า เมื่อมีไฟ ย่อมมีร้อนและย่อมเกิดการเผาไหม้ แต่เขาไม่เคยให้คำตอบว่าใครคือผู้วางกติกาให้ไฟนำความร้อนและเกิดการเผาไหม้ เช่นเดียวกับที่เขาไม่เคยพบกรณีนบีอิบรอฮีมที่ถูกไฟไหม้ แต่ไม่ก่ออันตรายใดๆแก่นบีอิบรอฮีมเลย
อัลกุรอานได้สอนเราว่า อัลลอฮฺได้กำหนดทุกอย่างให้เป็นไปตามธรรมนองคลองธรรม( سنن كونية) เมื่อมีเหตุ ย่อมมีผลตามมา เช่นเดียวกันกับวิถีของประชาชาติ
“นั่นคือวิถีของอัลลอฮ์แก่บรรดาผู้ที่ล่วงลับไปแล้วแต่กาลก่อน และเจ้าจะไม่พบการเปลี่ยนแปลงใดๆในวิถีของอัลลอฮฺ”
(อัลอะห์ซาบ,33 : 62)
ชีวิตของประชาชาติ ก็ไม่ต่างไปจากชีวิตของคน เป็นไปไม่ได้ที่เราเห็นคนๆหนึ่งมีพละกำลังแข็งแรงกำยำ หรือเป็นนักกีฬาที่เก่งกาจ โดยปราศจากการฝึกซ้อมและการเตรียมตัวอย่างดี เช่นเดียวกับคนป่วยที่นอนซมบนเตียงพยาบาล ซึ่งมาจากโรคประจำตัวเขานั่นเอง
ปาฏิหารย์เท่านั้นหรือเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ที่คนธรรมดาจะเป็นแชมป์วิ่งร้อยเมตรระดับโอลิมปิก และเป็นสิ่งอัศจรรย์มากๆหากคนรักษาสุขภาพอย่างดี แต่กลับเจ็บออดแอดเนื่องจากร่างกายอ่อนแอ
อันดาลูเซียคือเรือนร่างที่เข้มแข็งสมบูรณ์ที่สุด สร้างคุณประโยชน์แก่สังคมโลกอย่างอเนกอนันต์ และกลายเป็นกระดูกสันหลังที่สร้างอารยธรรมแก่ชาวโลกมายาวนาน
แต่เมื่อถึงวันร่วงโรย อันดาลูเซียกลับถูกทิ้งขว้าง หนำซ้ำยังถูกลบเลือนจากหน้าประวัติศาสตร์ ไร้ร่องรอยของความยิ่งใหญ่ ไม่หลงเหลือเค้าอดีตอันรุ่งเรืองให้เห็นแม้แต่ชิ้นเดียว
อันดาลูเซียได้ประสบกับวิถีของอัลลอฮฺที่ได้เกิดขึ้นแก่ชนชาติที่ล่มสลายก่อนหน้านี้ และนี่คือกฏกติกาของอัลลอฮฺที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง และนี่คือสาเหตุหลักการล่มสลายของอันดาลูเซียที่เรากำลังพูดถึง สรุปได้ดังนี้
1.
ต่อครับ
อิน ชาอฺ อัลลอฮ
ตอนที่ 3 > https://www.theustaz.com/?p=400
เขียนโดย ผศ.มัสลัน มาหะมะ