ปีใหม่นี้ จะอวยพรอย่างไรดี

كل عام ونحن لسنا بخير
ตลอดทั้งปี เราไม่มีอะไรดีขึ้นเลย

เพราะเรา รู้จักแต่เคาท์ดาวน์ รู้จักแต่สร้างต้นคริสต์มาสที่สูงที่สุดในโลก

รู้จักแต่จัดงานฉลองต้อนรับปีใหม่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก

รู้จักแต่จุดพลุที่อลังการตระการตาที่สุดในโลก

โดยหารู้ไม่ว่า ขณะนี้ โลกอิสลามกำลังเปิดศูนย์อพยพที่ใหญ่ที่สุดในโลกเช่นกัน

นำเข้าอาวุธจากศัตรูเพื่อเข่นฆ่าประชาชนที่มากที่สุดในโลก ส่งออกซากศพและเลือดที่ไร้ค่าที่สุดในโลก

แล้วยังกล้าบอกว่า كل عام وأنتم بخير (สุขสันต์ตลอดปี) อีกหรือ
ความจริงเราต้องกล่าว كل عام ونحن لسنا بخير (ทุกข์ระทมตลอดปี) ต่างหาก

للهم إنا نسألك خير هذا العام فتحه ونصره ونوره وبركته وهداه ونعوذبك من شر هذا العام وشر ما بعده

เขียนโดย ผศ.มัสลัน มาหะมะ

อันดาลูส : อาณาจักรที่สูญหาย

ในตอนปลายคริศตศตวรรษที่ 8 สเปนเป็นแหล่งความเจริญและวัฒนธรรมที่มีชื่อเสียงที่สุดของยุโรปนานนับเป็นศตวรรษ การค้าขายกับโลกภายนอกของสเปนในเวลานั้นไม่มีชาติใดในโลกสามารถมาแข่งขันได้ และในช่วงเวลาแห่งการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจนี้เอง ชาวยิวที่ถูกชาวคริสเตียนกดขี่ขับไล่ออกไปจากคาบสมุทรแห่งนี้ในศตวรรษที่ 7 ได้กลับมามีโอกาสเติบโตและเจริญมั่งคั่งขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

อันดาลูส (เป็นภาษาอาหรับที่ถูกใช้เรียกสเปน) เจริญรุ่งเรืองไม่เพียงแต่เฉพาะในด้านเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะศูนย์กลางทางด้านการศึกษา วิทยาศาสตร์ สถาปัตยกรรม บทกวีและศิลปะอันยิ่งใหญ่อีกด้วย ขณะที่มุสลิมกำลังรุ่งเรืองอยู่ในเสปนเวลานั้น ยุโรปส่วนใหญ่ยังคงอยู่ใน “ยุคมืด” แต่เป็นเพราะอันดาลูสนี้เองที่ความรู้ของมุสลิมได้ผ่านเข้าไปยังยุโรปและทำให้ยุโรปเกิดยุค “ฟื้นฟูศิลปวิทยาการ” (เรอเนซองส์) ขึ้นมา
ลักษณะสำคัญอย่างหนึ่งของอิสลามในขณะที่รุ่งเรืองอยู่ในสเปนเป็นเวลาหลายศตวรรษนั้นก็คือ ความใจกว้างที่มีต่อชาวยิวและชาวคริสเตียนของมุสลิม ชาวยิวและชาวคริสเตียนทั้งหมดที่ยอมรับมุสลิมเป็นผู้ปกครองประเทศจะได้รับอนุญาตให้ถือครองทรัพย์สินของตนและมีเสรีภาพในความเชื่อและการปฏิบัติศาสนาของตน

การปฏิบัติตามคำสอนของศาสนาไม่เพียงแต่จะนำพามนุษย์ไปสู่ความสำเร็จในโลกหน้าเท่านั้น แต่ยังได้รับความสำเร็จในโลกนี้ด้วย

มุสลิมเข้าไปในสเปนครั้งแรกเมื่อแม่ทัพมุสลิมที่มีชื่อว่าฏอรีค บินซิยาดได้นำกองทหารจำนวน 30,000 คน ไปขึ้นบุกที่นั่นใน ค.ศ. 711 บริเวณที่ตารีคนำกองทัพเรือไปขึ้นบุกนั้น เป็นแนวโขดหินยาวซึ่งหลังจากนั้นได้ถูกเรียกว่า “ญะบัลฏอรีค” (ภูผาฏอรีค) ซึ่งต่อมาได้ถูกเรียกเพี้ยนเป็น “ญิบรอลตา” มาจนถึงปัจจุบัน เมื่อขึ้นฝั่งแล้ว ฏอรีคได้สั่งทหารของเขาให้เผาเรือทิ้งทั้งหมดเพื่อเป็นการยืนยันว่าต่อไปนี้ ถ้าไม่ชนะก็ตาย จะไม่มีการถอยหนีลงทะเล หลังจากนั้นทหารมุสลิมก็ได้บุกเข้ายึดอำนาจจากพวกวิซิโกธที่ก่อนหน้านี้ได้เข้ามายึดอำนาจไปจากพวกโรมัน ใน ค.ศ. 715 กองทัพมุสลิมได้ข้ามภูเขาพีเรนีสและสามารถควบคุมพื้นที่ที่มีคนอาศัยอยู่ถึง 4 ล้านคนได้ ภายในเวลาเพียง 7 ปี ดินแดนสี่ในห้าส่วนของคาบสมุทรสเปนก็ถูกพิชิตและการปกครองโดยเคาะลีฟะฮก็ได้ถูกสถาปนาขึ้นในเสปน ดังนั้น ใน ค.ศ. 733 กองทัพของฝ่ายคริสเตียนจึงได้สกัดกั้นมุสลิมมิให้ขยายตัวลึกเข้าไปในยุโรปมากกว่านั้นอีก ในตอนต้นศตวรรษที่ 9 มีคนท้องถิ่นในสเปนจำนวนมากมายได้หันมาเข้ารับอิสลาม โดยเฉพาะพวกทาสที่ได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ ขณะเดียวกันในอีกด้านหนึ่งมุสลิมก็พิชิตแคว้นซินด์ ซึ่งปัจจุบันคือประเทศปากีสถานได้ นั่นหมายความว่าภายในระยะเวลาไม่ถึง 150 ปี อิสลามซึ่งเริ่มต้นจากขบวนการเล็กๆ ของชาวอาหรับทะเลทรายเพียงหยิบมือหนึ่งได้ขยายตัวออกไปกลายเป็นมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของโลก ความสำเร็จนี้ เกิดขึ้นก็เพราะว่ามุสลิมในเวลานั้นเป็นคนที่ปฏิบัติตามคำสอนของศาสนา เจตนาเบื้องแรกของพวกเขาในขณะที่ทำการต่อสู้ก็คือการเผยแผ่อิสลาม มิใช่การแสวงหาทรัพย์สินและทรัพย์เชลย ไม่ว่าคนเหล่านี้จะไปที่ไหนก็ตาม พวกเขาจะสร้างระบบสังคมที่วางพื้นฐานอยู่บนความยุติธรรมขึ้นมาแทนระบบทรราชที่เป็นอยู่ในเวลานั้น ผู้คนในดินแดนที่มุสลิมเข้าไปปกครองนั้น มีเสรีภาพที่จะเลือกนับถืออิสลามหรือปฏิบัติตามศาสนาเดิมของตนต่อไป หากเลือกที่จะนับถือศาสนาเดิม คนเหล่านั้นก็จะต้องจ่ายภาษี “ญิซยะฮ์” ที่ทำให้พวกเขาได้รับการยกเว้นจากการเป็นทหาร แต่ผู้คนจำนวนมากได้หันมาเข้ารับอิสลามก็เพราะได้เห็นลักษณะและความประพฤติของมุสลิมที่เข้ามาปกครองพวกตน เช่น การปลดปล่อยทาสให้เป็นอิสระ เป็นต้น นับตั้งแต่ศตวรรษที่ 10 เป็นต้นมา เมืองหลวงของรัฐเคาะลีฟะฮฺอันดาลูสก็คือเมืองคอร์โดบา ซึ่งมีประชากร 600,000 คน มีอาคารบ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างประมาณ 200,000 หลัง มัสยิด 1,500 แห่ง และห้องอาบน้ำสาธารณะประมาณ 1,000 แห่ง ในห้องสมุดของเมืองมีเอกสารและบันทึกต่างๆ กว่าครึ่งล้านชุด ศูนย์กลางของเมืองมีระบบลำคลองที่เชื่อมกันและในตอนกลางคืนแม้แต่ถนนที่แย่ที่สุดก็ยังมีแสงสว่าง

กล่าวโดยสั้นๆ เมืองนี้มีสาธารณูปโภคพื้นฐานอย่างที่ไม่สามารถพบได้ในเมืองต่างๆของยุโรปในเวลานั้น แม้แต่กษัตริย์คริสเตียนหลายคนก็ยังส่งลูกหลานของตนมาศึกษาในอันดาลูส ทั้งนี้ เนื่องจากที่นี่มีมหาวิทยาลัยดีๆ หลายแห่ง และภาษาอาหรับเป็นภาษาสำคัญของโลก แต่ปัจจุบันสภาพการณ์กลับตรงกันข้าม หลายเมืองในประเทศมุสลิมกลายเป็นแหล่งเสื่อมโทรมหรือที่เรียกว่าสลัมและไม่มีสาธารณูปโภคพื้นฐาน ผู้คนได้รับความเดือดร้อนจากความยากจน สงคราม โรคภัยไข้เจ็บและด้อยการศึกษา รัฐมุสลิมที่ปกครองโดยระบบเคาะลีฟะฮฺในสเปนล่มสลายลงใน ค.ศ. 1492 เมื่อเมืองแกรนาดาถูกพิชิตโดยกษัตริย์เฟอร์ดินานด์และราชินีอิซาเบลลา กษัตริย์และราชินีคู่นี้คือผู้ปกครองที่ให้เรือ 3 ลำแก่โคลัมบัสไปเริ่มต้นการล่าอาณานิคม การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และการค้าทาสในอเมริกา มุสลิมและชาวยิวที่หลงเหลืออยู่ในตอนนั้นมีทางเลือกสามทาง นั่นคือ (1) หากจะนับถือศาสนาของตนต่อไปก็ต้องออกไปจากประเทศ (2) หันมารับนับถือศาสนาคริสต์ และ (3) ถูกฆ่า เหตุผลดังกล่าวมาทำให้เป็นเรื่องง่ายที่จะวิเคราะห์ว่าทำไมหลังศตวรรษที่ 8 มุสลิมจึงได้เสียยุโรปตะวันตกให้แก่ชาติคริสเตียน นั่นก็เพราะว่าพวกเขาไม่ปฏิบัติตามคำสอนของศาสนาอย่างที่พวกเขาจะต้องปฏิบัติ ดังนั้น จากความมั่งคั่งรุ่งเรืองจึงได้กลายเป็นความเสื่อมสลาย อันดาลูสได้แตกออกเป็นรัฐเล็กๆที่ต่อสู้กันเอง บางครั้งถึงขนาดที่ว่าพวกเขาได้เอาทหารต่างชาติต่างศาสนิกมาเป็นผู้ช่วยในการต่อสู้กันเองก็มี

บทเรียนสำคัญที่เราได้จากประสบการณ์ของอันดาลูสก็คือการปฏิบัติตามคำสอนของศาสนาไม่เพียงแต่จะนำพามนุษย์ไปสู่ความสำเร็จในโลกหน้าเท่านั้น แต่ยังได้รับความสำเร็จในโลกนี้ด้วย และเมื่อใดก็ตามที่มนุษย์ละทิ้งหรือฝ่าฝืนบทบัญญัติของศาสนา ความหายนะก็จะติดตามมาในไม่ช้า

บทความโดย อาจารย์บรรจง บินกาซัน ประธานโครงการอบรมผู้สนใจอิสลาม มูลนิธิสันติชน

อ้างอิง : http://oknation.nationtv.tv/blog/knowislam/2008/06/05/entry-2

สุริยุปราคาระหว่างหัวใจสองดวง

ปรากฏการณ์สุริยุปราคาหรือจันทรุปราคา
ทำให้หัวใจสองดวงมีปฏิกิริยาที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงดังนี้

1. หัวใจดวงหนึ่ง นึกถึงอัลลอฮ์โดยพลัน และศรัทธาว่านี่คือสัญญาณถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์
ในขณะที่หัวใจหนึ่ง กลับมองว่ามันเป็นเพียงปรากฏการณ์ทางธรรมชาติเท่านั้น

2. หัวใจดวงหนึ่ง ถือว่าเป็นความประสงค์ของอัลลอฮ์ที่ต้องการให้บ่าวเพิ่มความยำเกรงต่อพระองค์
ในขณะที่หัวใจอีกดวง กลับมอง เป็นสิ่งสนุกสนาน ไม่มีอะไรต้องตื่นตระหนกแต่อย่างใด

3. หัวใจดวงหนึ่ง รีบตอบรับคำสั่งของนบี ด้วยการละหมาดกุสูฟ เนื่องจากเห็นสุริยุปราคา เพื่อฟื้นฟูซุนนะฮ์นบี
ในขณะที่หัวใจอีกดวง ใช้ชีวิตเยี่ยงวันธรรมดา ไม่มีอะไรแปลกใหม่เกิดขึ้น ทั้งๆปากยังบอกว่ารักนบีตลอด

4. หัวใจดวงหนึ่ง เชื่อศรัทธา ว่าการเกิดสุริยุปราคาหรือจันทรุปราคา เป็นไปตามกำหนดของอัลลอฮ์ผู้ทรงสร้าง ไม่ใช่เพราะการตายหรือกำเนิดของใครผู้ใด
ในขณะที่ดวงใจอีกดวง กลับมองว่าเป็นลางสังหรณ์ที่อาจเกิดเหตุร้ายในชีวิต เหมือนความเชื่อของชาวอวิชชาในอดีต

5. หัวใจดวงหนึ่ง ใช้โอกาสนี้กลับเนื้อกลับตัว รำลึกถึงพระองค์ บริจาคทรัพย์สินส่วนหนึ่งไปในหนทางของพระองค์ เพื่อให้พระองค์ทรงให้อภัยและอยู่ในความเมตตาของพระองค์
ในขณะที่หัวใจอีกดวง กลับเย็นชาดื้อรั้น แข็งกระด้างและจมปลักในอบายมุขชนิดกู่ไม่กลับ

6. หัวใจดวงหนึ่ง ฉุกคิดได้ว่าขนาดดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ยังมีวันดับแสงและน้อมรับคำบัญชาของอัลลอฮ์ โดยไม่แสดงอาการขัดขืนแต่อย่างใด แล้วมนุษย์ตัวเล็กๆ เช่นเราจะกล้าเนรคุณต่ออัลลอฮ์ได้อย่างไร
ในขณะที่หัวใจอีกดวง ใช้ชีวิตตามใจสั่ง หลงตัวเอง บ้าอำนาจและถือว่าตัวเองคือศูนย์กลางของจักรวาล

7. หัวใจดวงหนึ่ง นึกถึงความตายและวันอาคิเราะฮ์อันถาวรนิรันดร์
ในขณะที่หัวใจอีกดวง มอมเมาและหลงใหลในความเพริศแพร้วของดุนยาอันไม่จีรัง

หัวใจของคุณ อยู่ในประเภทไหนกันแน่

اللهم ثبتنا على دينك وعلى طاعتك واتباع سنة نبيك برحمتك يا أرحم الراحمين

โดย ผศ.มัสลัน มาหะมะ

Kita hanya mangsa

เป็นลำนำภาษามลายูหัวข้อ “เราเป็นเพียงแค่เหยื่อ” ที่สะท้อนถึงความตะกละของคนกลุ่มหนึ่งที่ใช้เงินกว้านซื้อป่าไม้ แล้วทำลายสิ่งแวดล้อมด้วยการเผาป่าอย่างไร้ความรับผิดชอบที่สุด

ความแร้นแค้นของชาวบ้านในฐานะเจ้าของพื้นที่ กลายเป็นโอกาสทองของนักธุรกิจใจโฉด เข้ามาครองครองที่ดินและทำลายความบริสุทธิ์สวยงามของธรรมชาติที่อัลลอฮ์ทรงสร้างไว้

“เราจะทวงคืนที่ดินอันเขียวขจี เราจะทำให้อากาศอันบริสุทธิ์หวนกลับอีกครา เราจะทำให้การใช้ชีวิตเป็นปกติเช่นเดิมโดยปราศจากมลพิษทางอากาศมาทำลาย”

ผู้เขียนได้ทิ้งความหวังไว้อย่างน่าสนใจมาก


Kita hanya mangsa

Dari ketamakan manusia
Rasuah korupsi
bermaharajalela
Kebodohan bangsa kita
Menjual tanah murah harga
Ke pendatang tak bermanusia
Demi keuntungan belaka
Membakar hutan sesuka
Asap membawa petaka
Kepada Rakyat tak berdosa
Penyakit memakan nyawa
Pendatang bertambah kaya
Peribumi semakin papa
Oh dunia fatamorgana
Anak bangsa dalam bahaya
Hidup dalam asap durjana
Kemiskinan dan menderita
Wahai para pendatang
Wahai para pembakar
Yang telah kau musnah
Dan telah kau hancur leburkan
Di manakah ehsanmu
Di manakah nuranimu
Tanpa belas kasihan
Tanpa menyesal dan takut
Kami manusia sepertimu
Butuh udara nyaman dan segar
Untuk hidup dan bernyawa
Butuh ekonomi yang mapan
Untuk makan dan minum
Tapi tak butuh asap jerebu
Yang telah kau bakar
Demi kekayaan dirimu dan anak cucumu
Kembalikan tanah kami
Kembalikan udara kami
Kembali kehidupan normal
kami tanpa asap beracun
———

Nukilan Dr.Phaosan Jehwae

เราเป็นทั้งพี่น้อง สหายร่วมเดินทาง และเพื่อนบ้านที่ดีต่อกัน

ด้วยการเสนอของอธิการบดีมหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ดร. อิสมาอีลลุตฟี จะปะกียา (ขณะนั้น) ต่อที่ประชุมสภามหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ในคราวประชุมครั้งที่ 37(2/2010) วันที่ 13/2/2011 โดยนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา นายกสภามหาวิทยาลัย ได้มีมติอย่างเอกฉันท์มอบ ปริญญารัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ แก่ Y.A. Bhg. Tun Dr. Mahathir bin Mohammad ตำแหน่งอดีตนายกรัฐมนตรี ประเทศ มาเลเซีย (ในขณะนั้น) ด้วยเห็นว่า Y.A.Bhg. Tun Dr. Mahathir bin Mohammad (ในขณะนั้น) ได้สร้างคุณประโยชน์ทั้งในระดับประเทศและนานาชาติอย่างอเนกอนันต์

ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการสานสายสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดระหว่างสองตำนานที่ยังมีชีวิตที่คนหนึ่งเคยเป็นเบอร์ 1 ของประเทศมาเลเซียกับอีกคนในฐานะนักวิชาการศาสนาตำแหน่งอธิการบดีของมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งแรกและแห่งเดียวใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

วันนี้ในวัย 94 ปี ท่านกุมบังเหียนประเทศมาเลเซียอีกครั้งชนิดหักปากกาเซียนทั้งโลก Yang Amat Berhormat Tun Dr. Mahathir bin Mohammad ในฐานะเจ้าภาพจัดประชุมสุดยอดกัวลาลัมเปอร์ ซัมมิต 2019 ระหว่าง 18-31 ธันวาคม 2562 จึงเรียนเชิญอธิการบดีมหาวิทยาลัยฟาฏอนี รศ. ดร. อิสมาอีลลุตฟี จะปะกียา เข้าร่วมประชุมร่วมกับนักวิชาการ 400 คนจาก 50 ประเทศทั่วโลก พร้อมให้การต้อนรับอย่างสมเกียรติตลอดระยะเวลาของการประชุม

“ในฐานะเพื่อนบ้าน ถ้าหากเขาเชิญเราไปเยี่ยมบ้านเขา แล้วเราปฏิเสธ ถือเป็นการเสียมารยาทอย่างรุนแรง เพราะอิสลามสอนให้เราให้เกียรติกับเพื่อนบ้าน ถึงแม้จะเป็นชนศาสนิกก็ตาม” อธิการบดีหรืออบีของชาว มฟน. กล่าวเบื้องหลังของการเข้าร่วมประชุมเคแอลซัมมิตในครั้งนี้

“เราจะต้องเรียนรู้จากผู้นำคนนี้ให้มากที่สุด” สิ่งที่อบีย้ำอยู่เสมอ

Yang Amat Berhormat Tun Dr. Mahathir bin Mohammad คือผู้สร้างแรงบันดาลใจสถาปนาเมืองการบริหารจัดการยุคใหม่ครบวงจรที่ Putra Jaya ด้วยผลงานเป็นที่ประจักษ์ในนามรัฐบาล

ในขณะที่ รศ. ดร. อิสมาอีลลุตฟี จะปะกียา คือผู้สร้างแรงบันดาลใจสำคัญสร้างมะดีนะตุสสลาม ภายใต้โครงการปัตตานี จายา ซึ่งกำลังดำเนินโครงการไปอย่างต่อเนื่องและมั่นคง บางโครงการก็ได้สำเร็จลุล่วงอย่างสมบูรณ์แล้ว ที่สำคัญคือเป็นโครงการวากัฟที่อาสาโดยเอกชนเป็นหลัก

ความเหมือนที่ต่างกันระหว่างทั้งสองท่านคือ การแข่งขันทำความดีในฐานะผู้บุกเบิก และความมุ่งมั่นที่จะเห็นสังคมเจริญไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง โดยอาศัยทรัพยากรมนุษย์โดยเฉพาะพลังเยาวชนมาเป็นตัวขับเคลื่อนสู่สังคมสันติอย่างแท้จริงตลอดไป

เพียงแต่คนหนึ่ง มีความโดดเด่นด้านการบริหารจัดการในฐานะผู้บริหารสูงสุดของประเทศ ในขณะที่อีกคน เป็นเพียงปุถุชนที่ระดมสรรพกำลังความรู้และความสามารถทางวิชาการ นำเสนอความดีงามให้แก่อนุชนรุ่นหลังต่อไป

“เราจะต้องเรียนรู้จากผู้นำคนนี้ให้มากที่สุด”

ขออัลลอฮ์ตอบแทนท่านทั้งสองด้วยความดีงาม

เขียนโดย : ผศ.มัสลัน มาหะมะ

มนุษย์เราสื่อภาษารักด้วยกัน 5 แบบภาษา

เคยสังเกตไหม ว่าทำไมกับบางคนเรารู้สึกดีที่ได้อยู่กับเค้า รู้สึกว่าเค้า “รู้ใจ” เค้าตอบโจทย์ความเป็นเรา อยู่ด้วยกันแล้วไม่เหนื่อยใจ เค้าคือคนที่ “พูดจาภาษาเดียวกัน” แต่บางคน อยู่กินกันก็หลายปีดีดัก ความเข้าใจคืออะไรยังต้องเปิดพจนานุกรม เพราะไม่เคยได้รับได้รู้จักจากอีกฝ่ายเค้าเลย

จะดีแค่ไหนหากคนใกล้ตัวในชีวิต คู่สมรส ลูกๆ รู้สึกว่าเราเป็นคนที่เข้าใจเค้าที่สุด รู้ใจสุดๆ ที่เค้าไม่ต้องไปหาเศษหาเลยจากที่ไหนแล้ว เพราะที่มีอยู่ที่บ้านก็เติมเต็ม love tank ที่เค้ามีได้พอดีอยู่แล้ว

ดร.แกรี่ แช้ปแมนนักจิตวิทยาชื่อดังบอกไว้ว่า มนุษย์เราสื่อภาษารักด้วยกัน 5 แบบภาษา จะมนุษย์หน้าไหน ก็ย่อมต้องการความรักที่ไม่หนีไปจาก 5 รูปแบบภาษานี้ ไหนลองมาเช็คของตัวเองกันซิ
1 สัมผัสกาย ได้โอบกอดหอมแก้มแล้วรู้สึกดีๆ (physical touch)
2 คำพูดดีๆ ที่ฟังแล้วรู้สึกดีๆ (words of affirmation)
3 เวลาดีๆ ที่ได้อยู่ด้วยกัน ทำอะไรด้วยกันแล้วรู้สึกดีๆ (quality time)
4 ของขวัญ ทำเซอร์ไพร้สด้วยอะไรที่ทำให้รู้สึกดีๆ (gifts)
5 การให้ความช่วยเหลือ เสนอตัวออกแรงทำนั่นโน่นนี่แล้วรู้สึกดีๆ (act of service)

ในห้าภาษารักนี้เราทุกคนไฝ่หามันทั้งหมดนั่นแหละ บ้างก็ต้องการสองข้อ สามรึสี่ข้อแตกต่างกันไป แต่ทั้งหมดทั้งปวง จะมีอยู่ภาษาหนึ่งที่ทำให้คนๆหนึ่งรู้สึก “คลิ้กเป็นพิเศษ” ที่ประมาณว่าหากได้ยินภาษารักข้อนั้นแล้วรู้สึก “ตอบโจทย์” ที่สุด รู้สึกว่าเค้าคนนั้น “เข้าใจ” ฉันเป็นที่สุด that’s why I love to be with her/him …ประมาณนั้น …

ยกตัวอย่างเช่น กรณีของฉันเองนะ
ลูกสาวคนโตของฉัน ก่อนหน้านี้ฉันเข้าใจว่าเค้าเป็นคนเข้าใจยากคนหนึ่ง จนกระทั่งได้ลองศึกษาเค้าตามภาษารักที่หนังสือแนะนำมาและลองมาชั่งตวงดูจึงได้รู้ เค้าไม่ค่อยชอบให้กอดเท่าไหร่นะ หรือถ้าได้ถูกกอดเค้าจะเฉยๆ อ่านไม่ออกว่านั่นคือการแสดงความรัก คำพูดดีๆก็ไม่ค่อยจะเวิอร์คสำหรับเค้านักในบางครั้ง บางทีเราช่วยอะไรเค้า เค้าก็ชอบนั่นแหละ แต่เค้าก็ไม่ได้เห็นว่ามันเป็นอะไรที่ต้องซาบซึ้งนัก แต่.. เมื่อใดที่ฉันมีอะไรเซอร์ไพร้สให้เค้า เค้าจะหัวใจพองโตขึ้นมาทันที เค้าจะอมยิ้มแฮปปี้ และว่านอนสอนง่ายขึ้น เป็นเด็กดีที่ทำเอาแม่คนนี้ใจละลายไปทันทีทันใด

…นั่นแสดงว่าภาษารักที่ตอบโจทย์เค้ามากที่สุดคือ gifts …
ตรงกันข้ามกับลูกสาวคนเล็ก ที่เป็นคนชอบนัวเนีย ถ้าจะชนะใจเค้าคนนี้ไม่ยากนัก เค้าชอบให้ฉันกอด บอกรักเค้า และเค้าก็ชอบกอดฉันทุกครั้งที่เค้ารู้สึกดี นั่นแสดงว่า physical touch สัมผัสกายคือภาษารักของเค้า เด็กคนนี้จะไม่เชื่อฟังถ้าใช้คำพูดที่แทงใจดำ แต่หากเปลี่ยนเป็นคำชมแล้วบอกว่าเรารู้สึกดีกับเค้ายังไง เค้าจะกลายเป็นเด็กน่ารักคนหนึ่งที่พ่อแม่ร๊ากเค้าจนไม่รู้จะพูดยังไงดีแล้ว

…นั่นแสดงว่า words of affirmation คือภาษารักที่เค้าเข้าใจมากที่สุด…

ไม่เฉพาะกับลูกๆนะ ภาษารักทั้งห้านี้สามารถใช้วัดใจใครก็ได้ในวงจรความรักของเรา รวมไปถึงสามีภรรยาและคนใกล้ตัวที่เราอยากดูแลและรู้สึกดี

คู่รักบางคู่ ดอกไม้มันไม่เวิอร์คอ่ะ ผู้ชายบางคนก็พยาย๊าม พยายามจะเข้าใจความเป็นผู้หญิงของภรรยาตัวเอง เข้าใจว่าผู้หญิงทั้งโลกจะใจอ่อนด้วยดอกไม้และของขวัญทำเซอร์ไพร้ส์ แต่เปล่า พอเราคุยกับภรรยาของเค้า กลับได้คำตอบว่าฉันไม่ได้ต้องการอะไรจากเค้าเลย แค่ให้เค้ารู้สึกอยากจะช่วยฉันทำงานบ้านมันก็วิเศษเหลือคณาแล้ว ผู้หญิงแบบนี้ต้องการ act of service เป็นการบอกภาษารัก (เห็นไหม ศึกษากันสักนิดตั้งแต่แรกก็คงดี แค่ช่วยล้างจานก็ชนะใจเหลือเฟือแล้ว)

ผู้หญิงบางคนได้สามีมั่งคั่ง ขนาดได้รถได้บ้านใหญ่โตอย่างที่หลายคนเค้าปรารถนา ก็ยังเรียกร้องและตัดพ้อว่าสามีตัวเองไม่เข้าใจ เพราะจริงๆแล้วภาษารักที่ตอบโจทย์เธอไม่ใช่ของนอกกาย แต่เป็นเวลาต่างหากที่เธอโหยหาและรู้สึก “คลิ้ก” ทุกครั้งเมื่อสามีมีเวลาให้กัน (รู้งี้คงไม่ต้องลงทุนไปซะเยอะ แค่มีเวลาทำอะไรด้วยกันกับเค้าก็เหลือเฟือแล้ว)

ผู้ชายบางคน เค้าไม่ได้ต้องการให้ภรรยาช่วยงานอะไรเค้าเลยนะ แต่ภรรยาไม่เข้าใจ คิดว่าการที่เธอลงทุนออกไปทำงานนอกบ้านช่วยหาเงินกับเค้า ลงทุนเป็นแม่บ้านทำทุกอย่างให้ดูดีมันพอจะชนะใจเค้าได้ แต่พอได้ฟังสามีมาระบายจึงได้รู้ว่าการทำนั่นนี่ให้น่ะ มันไม่ได้ตอบโจทย์เค้าเลย เค้ากลับบอกว่า “บ้านน่ะ ให้ผมจ้างใครมาทำความสะอาดให้ก็ได้ เค้าจะได้เลิกบ่นให้ผมฟังซะทีว่าเหนื่อยนั่นนี่ งานนอกบ้านผมทำคนเดียวก็พอเพียงจะเลี้ยงปากท้องทั้งครอบครัวได้ แต่สิ่งที่ผมอยากได้จากเค้า คือกำลังใจมากกว่า ถามผมซักคำว่าเหนื่อยไหม มีคำพูดดีๆให้กันบ้าง รู้สึกดีนะที่มีผมในชีวิต นี่แหละที่ผมไม่เคยได้ยินจากเค้าเลย”

…บางครั้ง แค่ words of affirmation ก็ชนะใจผู้ชายประเภทนี้แล้ว…ถามว่าทำยากไหมล่ะ? ก็น่าจะไม่นะ แค่ภรรยาเอ่ยปากบอกความรู้สึกตัวเองบ้างไรบ้าง จับให้ถูกจุดว่าสามีตัวเองชอบอะไรแบบไหน แค่นี้ความสัมพันธ์มันก็ชุ่มชื่นขึ้นเยอะแล้ว เหตุทั้งหมด เพราะเธอไม่เข้าใจภาษารักของสามีตัวเองใช่ไหม?

ดังนั้น การตอบสนองให้ความรักแก่คนที่เรารักจะเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น หากเรารู้ “กึ๋น” ว่าเค้ารู้สึกดีกับภาษาใดเป็นที่สุด ภาษารักข้อใดที่ตอบโจทย์ความเป็นเค้ามากที่สุด จะรู้ได้อย่างไรนั้นหรอ? อันนี้ต้องใช้เวลาศึกษาและใช้หัวใจสังเกตแล้วล่ะ ลองทำทุกข้อทั้งหมดให้เค้าได้สัมผัส (ไม่ต้องทำทีเดียวกันทุกข้อนะ) แล้วค่อยๆดูว่าวิธีไหนที่ชนะใจเค้ามากที่สุด ที่เค้ารู้สึกดีและแฮปปี้มากที่สุด หากเราเจอข้อนั้นแล้ว นั่นแหละคือภาษารักที่เค้าเข้าใจมากที่สุด แล้วคนใกล้ตัวอย่างเราก็จะเป็นคนๆหนึ่งที่เค้ารักมาก รู้ใจเค้ามาก ที่สำคัญ เค้าจะเห็นความรักจากเราได้ง่ายขึ้น ความสัมพันธ์ของสองเราก็ไม่ต้องมาเหนื่อยหน่ายกับสิ่งที่มันไม่ใช่ หรือเสียเวลากับการเติมเต็มแต่ไม่ตอบโจทย์ซะที

แค่เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่ “เข้าใจ”เค้า ก็เพียงพอแล้ว เค้าคงไม่ขออะไรมากมาย เพราะที่สุดแล้ว มนุษย์เราก็ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าความเข้าใจ ไม่ใช่หรือ?

..ลองเอาไปใช้และ “ศึกษา” คนที่เรารักดูนะ 🙂


(ใจบันดาลแรง จากหนังสือ five love languages of children ที่ได้คุยกันใน mother circle ที่โรงเรียนลูก เอามาผสมด้วยรักและประสบการณ์ของตัวเองในฐานะ “ศิราณี” ของใครหลายๆคน) ^_<

เขียนโดย ครูฟาร์ Andalas Farr

เวลาพักผ่อนของนักสู้ผู้ทรหด ชัยค์มุฮัมมัด ฆอซาลี

“วันหนึ่ง ช่วงที่กำลังทำงานอยู่ที่มัสยิดอะตาบะฮ์ในกรุงไคโร และที่สำนักงานใหญ่ของกลุ่มอิควานมุสลิมีน ที่หิลมียะฮ์ ข้าพเจ้าได้รับโทรเลขฉบับหนึ่งขอให้กลับบ้านด่วน

ข้าพเจ้าทราบดีว่าบิดาป่วย แต่ก็ไม่คิดว่าจะป่วยหนัก

เมื่อข้าพเจ้าถึงไปยังหมู่บ้าน ก็รู้สึกสงสัย จากใบหน้าของหลายๆ คน

ร้านของเราที่เห็นได้จากระยะไกล
น้องชายยืนอยู่ที่หน้าประตู ข้าพเจ้าก็ตระหนักได้ว่าบิดาไม่สบาย จึงรีบตรงดิ่งไปที่บ้านในทันที

ถึงที่บ้าน ข้าพเจ้าเห็นคุณแม่กำลังร้องไห้ ในขณะที่บิดานอนอยู่บนเตียงใกล้ๆ กับนาง

ข้าพเจ้าจับมือบิดา แล้วบรรจงจูบด้วยความรัก

พอเห็นหน้าข้าพเจ้า บิดาก็แสดงออกถึงความดีอกดีใจ

ข้าพเจ้าเห็นขวดยาวางอยู่ข้างๆ ก็รู้ว่า หมอมาแล้วและเขียนใบสั่งยาให้ แม้ว่าจะไม่ได้ทำให้อาการของบิดาดีขึ้นก็ตาม

ข้าพเจ้าไปตามหมอมาอีกครั้งหนึ่ง เพราะอาการของบิดาทรุดลงอีก เมื่อหมอมาถึงก็ไม่ได้พยายามปิดบังอะไรอีก ข้าพเจ้าจึงทราบว่าบิดาเป็นโรคทางเดินปัสสาวะหลายโรค จนถึงขั้นไม่อาจจะรักษาเยียวยาได้อีก รวมทั้งเป็นโรคนิ่วรุนแรงจนไม่อาจปัสสาวะได้ อีกทั้งร่างกายก็ไม่พร้อมที่จะผ่าตัด

เราได้ผลัดเปลี่ยนกันดูแลบิดา
ในขณะที่คุณแม่ได้แต่พยายามรบเร้าให้เราไปหาหมอ เพื่อรักษาอาการบิดาที่ทรุดลงอย่างต่อเนื่อง แต่คุณหมอปฏิเสธไม่ยอมมา เพราะเขาหมดหวังที่จะรักษา

หลังเที่ยงวัน ข้าพเจ้าก็นอนหลับยาว เนื่องจากเมื่อคืนไม่ได้นอนหลับ และเฝ้าบิดาทั้งคืน

ข้าพเจ้าไปนั่งข้างๆบิดา และละหมาดอยู่ใกล้ๆ

หลังจากละหมาดอีชา
ข้าพเจ้าได้เฝ้าสังเกต
คืนนี้ช่างเป็นคืนที่เงียบสงบยิ่งนัก
ทุกคนในบ้านล้วนหลับสนิทอันเนื่องจากความเหน็ดเหนื่อย

คงเหลือเพียงข้าพเจ้าคนเดียวที่ยังตื่นอยู่
บิดากล่าวเบาๆ กับข้าพเจ้าว่า “พ่อกำลังจะตายแล้วนะ”

ข้าพเจ้าพูดอะไรไม่ออก ได้แต่นิ่งเงียบ

ตะเกียงน้ำมันที่ถูกวางไว้ที่ข้างผนังบ้าน ข้าพเจ้ารู้สึกว่าเห็นเปลวตะเกียงกำลังสั่นไหววูบ
ข้าพเจ้าพูดกับตัวเอง “หรือยมทูตได้เข้ามาแล้วกระพือปีก จนกระทั่งเปลวตะเกียงสั่นวูบ”

ข้าพเจ้าเงี่ยหูฟัง ได้ยินบิดากำลังขอดุอาให้แก่ข้าพเจ้า ก่อนที่็จะเงียบหายไป อย่างถาวร

ในตอนเช้า ผู้ชายหลายคนได้หามศพของบิดา ข้าพเจ้าเห็นคุณแม่จับเกาะอยู่กับเท้าของบิดาผู้จากไป นางจูบแล้วฝังใบหน้าลงในฝ่าเท้าของท่าน เหมือนกับคนใกล้สิ้นสติ

กว่าจะเอาศพบิดาให้พ้นไปจากการเกาะเกี่ยวของนาง ช่างแสนยากลำบาก

ข้าพเจ้าก็เป็นอีกคนหนึ่งที่อยากจะร้องไห้ออกมาดังๆ อย่างที่สุด แต่ข้าพเจ้าทำไม่ได้ ข้าพเจ้าจะต้องอดทน

ถึงวันนี้ ข้าพเจ้ากลายเป็นผู้อาวุโสที่สุดในครอบครัว หากข้าพเจ้าล้มครืน พวกเขาย่อมล้มตาม

ข้าพเจ้าจะต้องทำตัวให้เหมือนกับพ่อ ที่ต้องฝืนแสดงให้เห็นว่า ทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุม ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว ไม่มีสิ่งใดนอกจากความเชื่อมั่นในความเมตตาของอัลเลาะห์เท่านั้น

สายใยผูกพันของสมาชิกในครอบครัวช่างยิ่งใหญ่ ข้าพเจ้ากล่าวกับคุณแม่และพี่น้องทุกคน ในขณะที่กำลังจะเดินทางไปยังกรุงไคโรเพื่อเริ่มต้นทำงานอีกครั้งหนึ่งว่า ให้ถือว่าบิดายังไม่ตาย พี่จะดูแลทุกคนด้วยกรุณาธิคุณของอัลเลาะห์ จนกว่าน้องชายทุกคนจะสำเร็จการศึกษา และน้องสาวทุกคนได้แต่งงานออกเรือนไป

อัลเลาะห์ได้เมตตาแก่ข้าพเจ้า ทำให้ทุกคำพูดของข้าพเจ้าสัมฤทธิ์ผลทุกคำโดยไม่ผิดเพี้ยน”

ชัยค์มุฮัมมัด ฆอซาลี
ในหนังสือ ประวัติชีวิต
«قصة حياة/مذكرات الشيخ محمد الغزالي»

#ประวัติชีวิตชัยค์มุฮัมมัด_ฆอซาลี

เขียนโดย ‎Ghazali Benmad

งานเลี้ยงวันแต่งงาน ชัยค์มุฮัมมัด ฆอซาลี

หลังจากข้าพเจ้าได้ทำงานราชการ ก็ได้แต่งงาน

ซึ่งท่านหัวหน้าหะซัน อัลบันนา ได้เข้ามาเป็นธุระแก้ปัญหาที่ค่อนข้างยากลำบากในตอนแรก เพราะพ่อของหญิงที่ข้าพเจ้าเลือก ต้องการหาสามีให้ลูกสาวที่รวยกว่าข้าพเจ้า แม้เขาจะเป็นคนบ้านเดียวกับเรา แต่ก็เป็นข้าราชการในกระทรวงยุติธรรมประจำกรุงไคโร เขารู้ดีว่าเงินเดือนของข้าพเจ้า เพียง 6 ปอนด์ และข้าพเจ้ามอบให้แก่บิดาเสียครึ่งหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม ท่านหัวหน้าหะซัน บันนา ได้ทำให้พ่อของหญิงสาวคนนั้นมั่นใจว่า ข้าพเจ้าดีกว่าผู้อื่น และบอกว่าอนาคตเป็นเรื่องของอัลเลาะห์ และจะต้องดีอย่างแน่นอน

ในที่สุดข้าพเจ้าก็ได้สมรสกับนาง

หลังจากนั้นท่านหะซัน บันนาก็ได้พบข้าพเจ้า และถามว่า “เรื่องราวกับว่าที่พ่อตาของท่านไปถึงไหนแล้ว”

ข้าพเจ้าตอบว่า “สมรสเรียบร้อยแล้วครับ”

ท่านก็ว่า “ทำไมไม่บอกกันบ้าง ได้เรือก็ลืมแพ ได้ดีแล้วก็ลืมกันเลยนะ”

ท่านหัวหน้ากล่าวยิ้มๆ

ข้าพเจ้าตอบว่า “เราไม่ได้จัดงานเลี้ยงใดๆเลยครับ เพียงเลี้ยงน้ำหวานให้แก่เพื่อนๆไม่กี่คน แล้วพ่อตาก็ขยับขยายห้องให้กับข้าพเจ้ากับลูกสาวของเขาให้พออยู่กันได้นิดหน่อยครับ”

ว่าแล้วท่านหัวหน้าหะซัน บันนา จึงขอดุอาอ์ให้ข้าพเจ้าได้รับความเจริญจากอัลลอฮ์

ข้าพเจ้าอยู่กินฉันท์สามีภรรยากับคู่ชีวิตของข้าพเจ้าร่วม 30 ปี อย่างคู่สมรสที่มีความสุขที่สุดในโลกคู่หนึ่ง

ข้าพเจ้าตอบแทนที่นางยอมรับในความอัตคัดขัดสนของข้าพเจ้า ด้วยการให้ได้อาศัยในบ้านหลังใหญ่ในภายหลัง ให้นางได้ลิ้มรสความหรูหรา ได้เหยียบย่ำไปบนผ้าไหมกำมะหยี่และกองเงินกองทอง

นางมีบุตรให้ข้าพเจ้า 9 คน ฝากไว้กับอัลลอฮ์เสีย 2 คน คงเหลือเพียง 7 คน แล้วนางก็ได้พรากจากข้าพเจ้าไปก่อนโดยไม่รอ

ข้าพเจ้าร่ำไห้จากส่วนลึกแห่งหัวใจ

ขอให้อัลลอฮ์เมตตาต่อนาง และให้นางได้พำนักอยู่ในสวนสวรรค์อันกว้างใหญ่ของพระองค์”

ชัยค์มุฮัมมัด ฆอซาลี
ในหนังสือ ประวัติชีวิต
«قصة حياة/مذكرات الشيخ محمد الغزالي»

#ประวัติชีวิตชัยค์มุฮัมมัด_ฆอซาลี

เขียนโดย Ghazali Benmad

ชัยค์มุฮัมมัด ฆอซาลี รักษาโรคด้วยการบริจาค

ชัยค์มุฮัมมัด ฆอซาลี เล่าไว้ในหนังสือบันทึกชีวประวัติ قصة الحياة ของท่านว่า

ขณะที่เรียนระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนศาสนาของสถาบันอัลอัซฮัร กรุงอเล็กซานเดรีย มีโทรเลขฉบับหนึ่งมาจากบ้านเกิด ขอให้รีบกลับบ้านด่วน

ข้าพเจ้าทราบทันทีว่าจะต้องมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นกับครอบครัว ข้าพเจ้าจึงออกเดินทางด้วยจิตใจที่ว้าวุ่น

ข้าพเจ้ายิ่งเกิดความไม่สบายใจเมื่อเห็นจากระยะไกลว่าร้านบิดาของข้าพเจ้านั้นปิดอยู่

สองเท้าก้าวไปอย่างไร้ความรู้สึก ถึงบ้านก็เห็นบิดาร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดจากนิ่วในไตอันเป็นโรคประจำตัวของท่าน โดยที่ลูกๆ นั่งอยู่รายล้อม ไม่รู้จะทำอย่างไร แพทย์ได้ให้ยาระงับประสาทบางตัว แต่ความปวดของบิดาก็ยิ่งทวีมากขึ้น โดยไม่มีทีท่าว่าจะลดลง ญาติๆ บอกว่าคงจำเป็นต้องผ่าตัดเอานิ่วออก

ข้าพเจ้าเดินไปเปิดร้านทำหน้าที่ในร้านแทนบิดา ข้าพเจ้ารู้เรื่องการทำงานในร้านเป็นอย่างดี เพราะในช่วงปิดเทอมได้ช่วยบิดาทำงานอยู่เสมอ

วันเวลาผ่านไปหลายวัน เราครุ่นคิดพิจารณาว่าจะทำอย่างไรดี

ในการรักษานั้น ค่ารักษาพยาบาลเกินกำลังความสามารถ ถึงกระนั้น แม้ว่าจะมีเงินค่ารักษา แต่การผ่าตัดในยุคนั้นไม่สามารถประกันความปลอดภัยได้ ลุงของข้าพเจ้าเสียชีวิตเนื่องจากการผ่าตัดในลักษณะนี้แหละ แล้วเราจะทำอย่างไรกันดี

ข้าพเจ้าครุ่นคิดจนเบลอ ข้าพเจ้ารู้สึกว่าสิ่งต่างๆ รอบตัวข้าพเจ้าค่อยๆ เล็กลง ข้าพเจ้าจนปัญญาไม่รู้จะทำอย่างไร มีที่เดียวที่ข้าพเจ้าจะพึ่งพิง อัลลอฮ์เท่านั้นจริงๆ

ข้าพเจ้าคุยกับผู้คนเหมือนอยู่ในภวังค์

ขณะนั้น มีชายคนหนึ่งมาขอซื้ออาหารบางอย่าง ข้าพเจ้ามอบของให้ไป เขากล่าวอย่างรู้สึกผิดว่า ตอนนี้ผมไม่มีเงินเลย และสาบานต่ออัลลอฮ์ว่าพูดความจริง และว่า พรุ่งนี้จะนำเงินค่าอาหารมาให้

ข้าพเจ้ารู้สึกว่าเขามีความจำเป็นจริงๆ จึงบอกไปว่า เอาของไปเถอะ ฉันให้

แล้วชายคนนั้นก็เดินจากไป เหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน

พอเขาออกไปแล้ว ข้าพเจ้าก็ไปนั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของร้าน พลางขอดุอาอ์ “โอ้องค์อภิบาลของข้า ศาสดาของพระองค์ได้กล่าวว่า “จงรักษาผู้ป่วยของพวกท่านด้วยการบริจาค” โปรดรักษาบิดาของข้าพเจ้าด้วยการบริจาคอันนี้เถิด”

ข้าพเจ้านั่งลงบนพื้นร้านแล้วร้องไห้ หลังจากนั้นราวๆ ชั่วโมง ก็ได้ยินเสียงเรียกมาจากบ้านซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก ข้าพเจ้ารีบกลับไปในทันที ทั้งๆ ที่มีความทุกข์ใจเป็นอย่างยิ่ง

ถึงบ้าน ข้าพเจ้าตกใจที่เห็นบิดายืนอยู่ข้างประตู กล่าวว่า “ก้อนนิ่วหลุดออกมาแล้ว มันมีขนาดใหญ่กว่าเมล็ดถั่วขาวเสียอีก พ่อไม่รู้ว่ามันออกมาได้อย่างไร พ่อหายปวดแล้วละ”

และแล้ว เช้าวันต่อมาข้าพเจ้าก็กลับมายังมหาวิทยาลัย มาเรียนร่วมกับเพื่อนๆ ตามปกติ”

#ประวัติชีวิตชัยค์มุฮัมมัด_ฆอซาลี

#คมคิดชัยมุฮัมมัด_ฆอซาลี

เขียนโดย ‎Ghazali Benmad

ความทรงจำในวัยเด็ก ชัยค์มุฮัมมัด ฆอซาลี

ในวัยเด็ก ชีวิตข้าพเจ้าไม่มีอะไรน่าสนใจเลย ถ้าจะมีก็เพียงนิสัยรักการอ่านเป็นพิเศษแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

ข้าพเจ้าอ่านทุกอย่างที่ขวางหน้า โดยไม่มุ่งเน้นวิชาใดเป็นการเฉพาะ ข้าพเจ้าอ่านแม้ในยามเดิน และอ่านแม้ในยามกิน

การอ่านมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อผู้เรียกร้องสู่ศาสนาของอัลลอฮ์ และยังเป็นผนังทองแดงที่ทรงคุณค่าสำหรับนักฟิกฮ์และนักดะวะฮ์ทุกคน

การอ่านน้อยและความไม่รู้เรื่องราวรอบตัวที่เกิดขึ้น เป็นความผิดมหันต์สำหรับผู้พูดเกี่ยวกับศาสนา มาตรแม้นว่าจะเป็นคนดีก็ตามแต่

การอ่านความรู้ทั่วไปถือเป็นสิ่งเดียวที่สามารถสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสังคม สถานการณ์และเรื่องราวต่างๆได้

นอกจากนั้น การอ่านยังสร้างมาตรวัดที่ถูกต้องสำหรับความคิดต่างๆ

หลายต่อหลายครั้งที่นักฟิกฮ์และนักดะวะฮ์บกพร่องอันเนื่องมาจากความด้อยข้อมูลในด้านความรู้ทั่วไป

การขาดความรู้ทั่วไปของนักวิชาการศาสนาอันตรายยิ่งกว่าการขาดเลือดของผู้ป่วยอาการโคม่า

ผู้เรียกร้องสู่ศาสนาของอัลลอฮ์ต้องอ่านทุกอย่าง

จะต้องอ่านตำราว่าด้วยศรัทธา
จะต้องอ่านตำราว่าด้วยการปฏิเสธศรัทธา
จะต้องอ่านหนังสือสุนนะฮ์และหนังสือปรัชญา

โดยสรุปแล้ว ดาอีย์ต้องอ่านวิชาการด้านต่างๆ ที่ทำให้ความคิดของคนแตกต่างกัน เพื่อทำความรู้จักกับสังคม ตลอดจนสิ่งต่างๆ ที่มีอิทธิพลต่อสังคม

แนวคิดที่ข้าพเจ้าคิดว่าตนเองเป็นผู้นำหรืออาจเป็นผู้กรุยทาง ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการใช้ประโยชน์จากทุกแนวความคิดและมัซฮับทางฟิกฮ์ในหน้าประวัติศาสตร์อิสลามอย่างเต็มประสิทธิภาพ และการใช้ประโยชน์จากข้อค้นพบทางการศึกษาเกี่ยวกับจิตวิทยา สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ตลอดจนการบูรณาการศาสตร์ต่างๆ เหล่านี้ทั้งหมด กับความความเข้าใจที่ถูกต้องต่ออัลกุรอานและสุนนะฮ์

ความเข้าใจที่ถูกต้องต่อบทบัญญัติทางศาสนาอิสลาม หรือข้อบัญญัติที่ถูกต้องที่ควรค่าต่อการเชื่อมั่นยึดถือ จะเกิดขึ้นไม่ได้ นอกจากด้วยความรู้ที่กว้างขวาง มีพื้นฐานทางวิชาการทั้งที่เป็นความรู้ในอดีตและความรู้ร่วมสมัยอย่างเท่าทันและทัดเทียม

บางที อัลลอฮ์อาจบันดาลให้บรรพชนของเรามีสามัญสำนึกที่บริสุทธิ์และความเป็นอัจฉริยภาพที่สูงส่ง จนทำให้พวกเขาสามารถเข้าใจและตีความได้ถูกต้องเหมาะเจาะ

สำหรับพวกเราในยุคนี้ คงไม่อาจไปถึงระดับของพวกเขาได้ เว้นแต่ด้วยการร่ำเรียนอย่างหนัก เสมือนคนสายตาสั้น ที่จะต้องอาศัยแว่นตาเพื่อให้สามารถมองเห็นสิ่งที่จะอ่าน หรือใช้กล้องส่องทางไกลเพื่อให้สามารถเห็นสิ่งที่อยู่ห่างออกไปจนไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าได้

ชัยค์มุฮัมมัด ฆอซาลี
ในหนังสือประวัติชีวิต قصة حياة

#ประวัติชีวิตชัยค์มุฮัมมัด_ฆอซาลี

เขียนโดย Ghazali Benmad