สหรัฐอเมริกา_อารยธรรมแห่งอาชญากรโลก (ตอนที่ 1)

กล่าวกันว่า นับตั้งแต่ก่อนการประกาศจัดตั้งสหรัฐอเมริกา จนกระทั่งปัจจุบัน คนผิวขาวที่อพยพเข้าสู่โลกใหม่ในทวีปอเมริกาได้เข่นฆ่าชาวโลกแล้วจำนวน 112 ล้าน ที่ครอบคลุมกว่า 400 ชนชาติและอารยธรรม ถึงกระนั้นก็ตาม ทั่วโลกพากันยกย่องประเทศลุงแซมว่าเป็นต้นแบบประเทศประชาธิปไตยและต้นตำรับของการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน

#อินเดียนแดง_ชาวพื้นเมืองผู้ทรนง

หลังจากที่คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส นักเดินเรือชาวเจนัวเมืองท่าทางทะเลที่สำคัญของอิตาลี่ ได้ค้นพบโลกใหม่ในหมู่เกาะทะเลแคริบเบียนเมื่อปี 1492 และพบเจอชาวพื้นเมืองที่อาศัยอยู่เดิมนับพันๆปีแล้ว แต่กลับเข้าใจผิดว่าเป็นดินแดนอินเดีย จึงเรียกชาวพื้นเมืองนี้ว่า Indian แต่เมื่อความจริงปรากฏ ชาวตะวันตกจึงเรียกแก้เขินว่า อินเดียนแดง เพื่อแยกแยะกับชาวอินเดียที่แท้จริง ปัจจุบันคำนี้ถูกเลิกใช้และถือว่าเป็นคำที่ไม่สุภาพ จึงเรียกคำใหม่ว่า Native American (ชนพื้นเมืองอเมริกัน) นับแต่นั้นมา ซึ่งในบทความต่อไปนี้ ผู้เขียนขออนุญาตใช้คำสุภาพว่า”ชนพื้นเมืองอเมริกัน” แทน ชาวพื้นเมืองเหล่านี้ถูกเข่นฆ่า ล้างเผ่าพันธุ์ด้วยวิธีที่สุดป่าเถื่อน พวกเขาประกอบด้วยชนหลายเผ่าพันธุ์จำนวน 566 เผ่าที่แยกกันอยู่ตามบริเวณต่างๆของทวีปนี้ ซึ่งมีจำนวนมากถึง 40-90 ล้านคน แต่ผลของสงครามล้างเผ่าพันธุ์อันยาวนานระหว่างปลายศตวรรษที่ 15 จนถึงต้นศตวรรษที่ 20 (กว่า 400 ปี) เชื่อว่าชนพื้นเมืองอเมริกันถูกฆ่าเป็นเหยื่อสังเวยการสถาปนาประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นจำนวน 18 ล้านคน ส่วนที่เหลือก็กระจัดกระจายตามประเทศต่างๆแถบลาตินอเมริกา ปัจจุบันชนพื้นเมืองอเมริกันมีประชากรในสหรัฐอเมริกา 1.7% ของประชากรทั้งหมด หรือจำนวน 5.2 ล้านคน

ตลอดระยะเวลาดังกล่าวพวกเขาถูกไล่ล่า ทำลายบ้านเรือน ฆ่าถลกหนัง หรือแม้กระทั่งการปล่อยเชื้อโรคคร่าชีวิตและถูกอพยพไล่ที่ให้ต่อสู้กับชีวิตตามลำพังท่ามกลางความอดอยากจนตายทั้งเผ่าอย่างทรมาน

และสิ่งที่โหดร้ายยิ่งกว่าการเข่นฆ่า คือการบิดเบือนทางประวัติศาสตร์และใส่ร้ายป้ายสีว่า พวกเขาคือกลุ่มชนที่ป่าเถื่อน กระหายเลิอด เป็นมนุษย์กินคน เป็นกลุ่มชนที่ได้รับการวิวัฒนาการจากลิงตามทฤษฎีดาร์วิน ด้วยเหตุนี้ความเชื่อเริ่องเหยียดผิวของคนขาว จึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของชุดความคิดที่ฝังใจจนเป็นเนื้อเดียวกันชนิดที่แยกไม่ออกทีเดียว

ในช่วงปี 1622 – 1924 ได้มีการกำหนดขยายดินแดนของชาวอเมริกัน ทำให้ชาวอินเดียนแดงถูกขับไล่ออกไปอยู่บริเวณส่วนตะวันตกของประเทศ ซึ่งเป็นเขตพื้นที่ทุรกันดารที่เรียกว่า เขตสงวนชนพื้นเมืองอเมริกัน ท่ามกลางนโยบายกลืนชาติ (Assimilation) และปรัชญาเทพลิขิต (Manifest destiny) ที่ดำเนินไปควบคู่กับการต่อสู่เพื่อความอยู่รอดของชนพื้นเมือง

เรื่องราวของชนพื้นเมืองอเมริกัน จึงเป็นเรื่องราวที่เหี้ยมโหด สยดสยอง ที่กระทำทารุณโดย คนขาวที่อพยพครอบครัวมาตั้งถิ่นฐานในโลกใหม่อย่างไร้ปรานี ในขณะเดียวกัน เรามักถูกนำเสนอภาพของวีรกรรมของคนขาวที่ต้องต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของตนและครอบครัว ในขณะที่ชนพื้นเมืองอเมริกัน กลายเป็นสัญลักษณ์ของผู้ก่อการร้ายไปโดยปริยาย ใครที่เคยดูหนังคาวบอยในอดีต ที่มีพระเอกเป็นคนขาวที่มีตำแหน่งเป็นนายอำเภอ ยิงปืนแม่น ขี่ม้าอย่างชำนาญ ที่ทางการส่งมาเพื่อปราบปรามผู้ก่อการร้ายผิวสี ก็จะเข้าใจจิตวิทยามอมเมาชาวโลกของสหรัฐอเมริกาที่ต้องการบิดเบือนประวัติศาสตร์ของชนพื้นเมืองอเมริกันผ่านสื่อภาพยนต์ได้เป็นอย่างดี

ทั้งๆที่ในความเป็นจริง ชนพื้นเมืองอเมริกันถูกรุกรานจากคนขาวเนื่องจากพวกเขาเป็นเจ้าของทุ่งกว้างและดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งทวีปอเมริกาต่างหาก

ทีมข่าวต่างประเทศ

แหล่งอ้างอิง
http://www.kabbos.com/index.php?darck=402
https://docs.google.com/file/d/0B5ouQ_Ym2-loaDNqcC1nZkxYY0E/edit
https://th.m.wikipedia.org/wiki/ประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา

10 กุมภาพันธ์ รำลึกวันเสียชีวิตสุลต่านอับดุลหะมีดที่ 2 แห่งอาณาจักรออตโตมัน : ตอน สัมผัสชีวิตสายสกุลออตโตมันในปัจจุบัน

บทสัมภาษณ์จากวารสารอัลมุจตามะ المجتمع ของคูเวต ฉบับ 2139 ประจำเดือน มกราคม 2020

เจ้าชายฮารูน เหลนของสุลต่านอับดุลฮามิด กล่าวกับวารสารอัลมุจตามะ : เราพบกับความยากลำบากเป็นอย่างยิ่งในการขอสัญชาติตุรกี

เจ้าชายฮารูน บินอับดุลการีม หลานชายของสุลต่านอับดุลฮามิดที่ 2 กล่าวว่าสถานการณ์สายสกุลออตโตมันในปัจจุบันภายใต้รัฐบาลแอร์โดฆาน ดีกว่าเมื่อก่อน พร้อมขอยกย่องชมเชยความสนใจและความภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์ตุรกีของประธานาธิบดีแอร์โดฆาน

เจ้าชายฮารูน บินอับดุลการีม กล่าวในบทสนทนากับ “วารสารอัลมุจตามะ” ในการเดินทางเยือนคูเวตครั้งล่าสุดว่าสุลต่านมีทรัพย์สินในเมืองคอร์คุก อิรัก เมืองกอมิชลี และเดรซูร ทางตอนเหนือของซีเรีย เรื่องทรัพย์สินเป็นปัญหายุ่งยากมาก จากการที่ออตโตมันพ่ายแพ้สงคราม ดังนั้นทรัพย์สินเหล่านั้นจึงสูญเสียไปบนโต๊ะเจรจา

  • วารสารอัลมุจตะมะ : ก่อนอื่นเรายินดีต้อนรับท่าน และเรามีความสุขมากกับบทสนทนานี้
  • เจ้าชายฮารูน : ขอให้อัลลอฮ์อวยพรให้คุณ และผมก็พอใจกับการพบกับพี่น้องที่ดีของผมในประเทศที่ดีนี้ และรู้สึกราวกับว่าอยู่ระหว่างครอบครัวและตระกูลของผม
  • วารสารอัลมุจตะมะ : ผลทางจิตใจของการเป็นหลานชายของสุลต่านอับดุลฮามิดที่สอง มีอะไรบ้างครับ ?
  • เจ้าชายฮารูน : ผมภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวที่มีรากเหง้าอันยาวนานนี้ และตั้งแต่วัยเด็ก ตอนที่เราอยู่ในช่วงวัยเด็ก เราได้รับการบอกว่า เธอต้องรู้ว่าเธอเป็นใคร และปู่ย่าตายายของเธอเป็นใคร เราถูกอบรมแบบนี้ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ รวมถึงบอกถึงผู้รักหรือผู้ที่เกลียดชังเราในตุรกี
  • วารสารอัลมุจตะมะ : รัฐบาลตุรกีปัจจุบันปฏิบัติต่อท่านอย่างไร ในฐานะลูกหลานของสุลต่านอับดุลฮามิด?
  • เจ้าชายฮารูน : เรามาที่ตุรกีในปี 1977 รัฐบาลในเวลานั้นไม่สนใจเรา ไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของเรา และไม่ได้ให้ความสนใจใด ๆ กับเรา และเรารู้สึกแปลกแยกและห่างเหิน และเรากลายเป็นคนแปลกหน้าในประเทศของเรา ด้วยความค่อยเป็นค่อยไปและความอดทน เราเริ่มเรียนรู้สังคมตุรกีและวิธีที่จะจัดการกับมัน เพื่อให้เราสามารถกู้คืนสิทธิของเราคืนมา ที่สำคัญที่สุดคือการคืนสัญชาติตุรกีที่เราถูกกีดกันอย่างหนักต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี และเราพบปัญหามากมายในขั้นตอนนี้ โดยคุณพ่อเป็นผู้เดินเรื่องเพื่อขอรับสัญชาติอย่างลำบากยากเย็น ตั้งแต่ปี ค.ศ.1977-1985 และเมื่อประธานาธิบดีตุรฆุต โอซาล ของตุรกี ในเวลานั้น รู้เรื่องเกี่ยวกับความทุกข์ทรมานของเราในการขอสัญชาติตุรกี ท่านก็ได้เข้าแทรกแซง และมอบสัญชาติให้เราภายในเวลาหนึ่งเดือนเท่านั้น
    สำหรับสถานการณ์ปัจจุบันของเรา ภายใต้รัฐบาลของประธานาธิบดีรอญับ ตอยยิบ แอร์โดฆาน ดีกว่ามาก – เราขอสรรเสริญต่ออัลลอฮ์- สำหรับเรื่องนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อประธานาธิบดีสนใจประวัติศาสตร์ตุรกี รู้สึกภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์โบราณนี้ และพยายามรักษาไว้ เราจึงรู้สึกเคารพเป็นอย่างสูงต่อท่าน อันเนื่องจากนโยบายที่ถูกต้องและให้ความยุติธรรมต่อสายสกุลออตโตมาน เพราะท่านมีนโยบายให้สัญชาติแก่บุคคลใดก็ตามในตระกูลออตโตมานที่ยังไม่ได้สัญชาติตุรกี ให้มีสิทธิที่จะได้รับในทันทีโดยไม่ต้องรอเวลา 6 เดือน ผู้ใดก็ตามที่เป็นสมาชิกในครอบครัวของออตโตมานที่อาศัยอยู่นอกประเทศตุรกี ให้ยื่นเรื่องต่อสถานทูตตุรกีในประเทศนั้นๆ เพื่อขอสัญชาติ และภายในไม่กี่วันก็ได้สัญชาติในทันที
  • วารสารอัลมุจตะมะ : ท่านรู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างระบอบการปกครองก่อนหน้านี้ที่ท่านอยู่ กับระบอบการปกครองแบบแอร์โดฆานหรือไม่?
  • เจ้าชายฮารูน : ใช่ มีความแตกต่างกันมาก ประธานาธิบดีแอร์โดฆานรักราชวงศ์ออตโตมาน และยกย่องประวัติศาสตร์ออตโตมันโบราณ ทั้งยังเป็นนักอ่านประวัติศาสตร์ที่ดี ดังนั้น เราจึงชื่นชมและเคารพต่อท่าน และเราตอบสนองต่อการเรียกร้องของท่านเกี่ยวกับวันครบรอบการเสียชีวิตของสุลต่านอับดุลฮามิด รวมถึงการรำลึกการก่อตั้งอาณาจักรออตโตมัน และโอกาสอื่นๆ แต่เราก็ตระหนักถึงสถานการณ์ดี เราเห็นใจและเข้าใจเหตุผล หากมีบางอย่างบกพร่อง
  • วารสารอัลมุจตะมะ : ชีวิตของท่านเป็นอย่างไรบ้างครับ เมื่อตอนที่ท่านอยู่นอกประเทศตุรกี ?
  • เจ้าชายฮารูน : คุณพ่อถือสัญชาติซีเรียและเลบานอน ท่านทำงานเป็นพนักงานเล็กๆ ในกระทรวงการสวัสดิการของเลบานอน ชีวิตของพวกเราค่อนข้างลำบาก ส่วนคุณปู่และคุณทวดของผม ท่านอับดุลการิม อาฟันดี และท่านซาลิม อาฟันดี พ่อของท่าน มีชีวิตที่เรียบง่ายอย่างยิ่ง ท่านทั้งสองยอมขายเหรียญตรา และเครื่องราชอิสริยาภรณ์เพื่อนำเงินมาใช้ ปัจจุบันเรายังคงได้รับความยากลำบากเหล่านี้ขณะที่เราอาศัยอยู่ในประเทศตุรกีของเรา เราทำงานด้วยแรงของเรา เราทำงานอย่างหนักเพื่อให้เราสามารถมีชีวิตที่เหมาะสมสำหรับเรา และลูก ๆ ของเรา รัฐบาลตุรกีไม่ได้ให้เงินใดๆ แก่เรา และเราเองก็ไม่ได้ร้องขอให้รัฐบาลอุ้มชูเอา เพียงแค่นี้เราก็ยังรู้สึกขอบคุณต่ออัลลอฮ์ เรารู้สึกภาคภูมิใจในความเป็นพลเมืองของประเทศที่มีสถานะอันยิ่งใหญ่ของเรา ภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์สายสกุลอันมีเกียรติของเรา และการได้ทำงานสุจริตในประเทศของเรา
  • วารสารอัลมุจตะมะ : ท่านมีทรัพย์สินในตุรกีหรือไม่ครับ ?
  • เจ้าชายฮารูน : ใช่ เรามีทรัพย์สินในตุรกี และจนถึงตอนนี้เรายังไม่ได้อ้างสิทธิ์ สิ่งที่เราขอจากรัฐบาลได้แก่ การระบุทายาทของสุลต่านอับดุลฮามิด – ขอให้อัลลอฮ์ทรงเมตตาท่าน – และในอนาคตเราจะเดินเรื่องขอคืนที่ดินของเราที่ถูกยึดครองโดยตระกูลใหญ่บางตระกูลในตุรกี
  • วารสารอัลมุจตะมะ : สุลต่านอับดุลมาจิด อาศัยอยู่ในซาอุดิอาระเบียและถูกฝังในอัลบะเกียะ ตระกูลสุลต่านอับดุลฮามิดเป็นอย่างไรบ้าง ? มีการพบปะกันบ้างไหม?
  • เจ้าชายฮารูน : สายสกุลของสุลต่านอับดุลฮามิด กระจัดกระจายอยู่ในหลายส่วนของโลก วันเวลาได้ทำร้ายต่อพวกเขา ชีวิตของพวกเขาได้เปลี่ยนไป และสภาพของพวกเขาเปลี่ยนไป บางคนอาศัยอยู่ในสหราชอาณาจักร บางส่วนอยู่ในเยอรมนี และขอบคุณต่ออัลลอฮ์ ที่ปู่ของผมเลือกที่จะอยู่ในเลบานอน ดินแดนอิสลาม ภายใต้บรรยากาศอิสลาม
  • วารสารอัลมุจตะมะ : ท่านตอบโต้การใส่ร้ายป้ายสีต่อสุลต่านอับดุลฮามิดและอาณาจักรคอลีฟะฮ์ออตโตมันหรือไม่?
  • เจ้าชายฮารูน : อิลฮาน สุลตอน ลูกสาวของผม ได้เขียนหนังสือ 3 เล่ม และกีฮาน พี่ชายของผม เขียนหนังสือ 2 เล่มเพื่อตอบโต้ต่อการใส่ร้ายป้ายสี ในวงการสื่อ เราเป็นที่รู้จักกันดี เราได้ดำเนินคดีต่อศาลฟ้องร้องผู้ที่ดูหมิ่นสุลต่านอับดุลหะมีด ลูกสาวของผมชนะมาแล้ว 4 คดี
  • วารสารอัลมุจตะมะ : แล้วเรื่อง “ซีรี่ส์สุลต่านอับดุลฮามิด”?
  • เจ้าชายฮารูน : ผมเป็นที่ปรึกษาในการทำซีรีย์นี้ และเราใส่ข้อมูลเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่แท้จริงในช่วงเวลานั้นมากกว่า 60% ของซีรี่ส์ ส่วนเหตุการณ์ที่เหลือของซีรีส์ มาจากจินตนาการของการละคร
  • วารสารอัลมุจตะมะ : สุลต่านอับดุลฮามิด มีท่าทีที่แข็งกร้าวต่อชาวยิวเป็นอย่างมาก ดังนั้น ตอนนี้ท่านมองสถานการณ์ของชาวยิวอย่างไรในปาเลสไตน์ที่ถูกยึดครอง?
  • เจ้าชายฮารูน : จุดยืนเหล่านี้ของท่านสุลต่าน เริ่มขึ้นในปลายศตวรรษที่สิบเก้าต่อมา หลังจากปี 1917 หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และออตโตมันต้องออกจากปาเลสไตน์และประเทศอาหรับอื่นๆ ผู้นำอาหรับหรือผู้นำอิสลามก็ไม่สามารถรักษาปาเลสไตน์เอาไว้ได้เหมือนกับที่ออตโตมันรักษาไว้เป็นเวลานานหลายศตวรรษ จุดยืนของแอร์โดฆานกับชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซาก็เป็นจุดยืนที่น่ายกย่องที่ประวัติศาสตร์จะต้องจารึกไว้อย่างภาคภูมิใจในตัวผู้นำมุสลิมท่านนี้ และแน่นอนว่าเราจะไม่เปรียบเทียบท่านกับสุลต่านอับดุลฮามิด ในการเผชิญหน้ากับกลุ่มไซออนิสต์ที่นำโดยเฮอร์เซิล และการปฏิเสธที่จะให้ปาเลสไตน์แก่พวกเขา
  • วารสารอัลมุจตะมะ : ท่านได้ทำสารคดีเกี่ยวกับสุลต่านอับดุลฮามิดหรือไม่ ?
  • เจ้าชายฮารูน : ผมได้ทำสารคดีในเรื่องนี้ 2 ตอน ระยะเวลาของแต่ละตอน 22 นาที และผมได้ลงใน YouTube สารคดีนี้พูดถึงชีวิตของสุลต่านอับดุลฮามิด ผมสัมภาษณ์อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญที่สุดในประวัติศาสตร์ของตุรกี 14 ท่าน และการสัมภาษณ์ประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง
  • วารสารอัลมุจตะมะ : ท่านมีทรัพย์สินในปาเลสไตน์หรือไม่ครับ ?
  • เจ้าชายฮารูน : สำหรับเรื่องทรัพย์สิน มันเป็นหัวข้อที่ยืดยาว และเป็นประเด็นทางการเมือง และการเจาะลึกเข้าไปในประเด็นนี้จะสร้างปัญหาใหญ่ให้แก่เรา ความจริง ดินแดนรอบ ๆ เยรูซาเล็มเป็นสมบัติของสุลต่านอับดุลฮามิด และท่านสุลต่านยังมีทรัพย์สินอยู่ในเมืองเคอร์คุกในอิรัก และกอมิชลี และเดรซูร์ ในภาคเหนือของซีเรีย สุลต่านรู้ว่าดินแดนนี้มีน้ำมันและก๊าซ และท่านซื้อโดยไม่แน่ใจว่ามันมีน้ำมันหรือก๊าซหรือไม่ แต่ความรู้สึกเป็นแรงบันดาลใจให้ซื้อมัน และเรามีเอกสารยืนยันกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินเหล่านั้น และท่านสุลต่านยังมีทรัพย์สินในฉนวนกาซาอีกด้วย
  • วารสารอัลมุจตะมะ : ท่านสามารถเรียกร้องทรัพย์สินเหล่านั้นคืนมาได้หรือไม่ครับ ?
  • เจ้าชายฮารูน : เราไม่สามารถเรียกร้องได้ แม้แต่ศาลระหว่างประเทศก็ยังไม่สามารถตัดสินได้ เพราะว่า -ด้วยความเสียใจอย่าง- ในช่วงเวลาที่ก่อตั้งสาธารณรัฐตุรกี จักรวรรดิออตโตมันก็พ่ายแพ้ในการสู้รบทางทหาร และทำให้ต้องสูญเสียไปบนโต๊ะเจรจา ในขณะที่การดำเนินคดีในศาลระหว่างประเทศ ต้องใช้สำนักงานทนายความใหญ่ๆ จึงจะดำเนินคดีได้
  • วารสารอัลมุจตะมะ : ท่านได้รับการต้อนรับจากชาวคูเวตอย่างไรบ้างครับ ?
  • เจ้าชายฮารูน : จริง ๆนะครับ ผมรู้สึกประหลาดใจกับการต้อนรับที่ดี และมันก็เป็นความประหลาดใจที่มีเกียรติสำหรับผม ! ผมเห็นความรักอันยิ่งใหญ่ในหัวใจคนมากมาย และผมยังคงจดจำช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความรักและความเสน่หาที่เราได้รับ และผมขอแสดงความเคารพต่อประชาชนชาวคูเวตผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้ และในอดีตระหว่างผมและกษัตริย์จาบีร – ขออัลลอฮ์ทรงเมตตาท่าน- มีการติดต่อกันอย่างสม่ำเสมอ ในช่วงการบุกของอิรัก ผมส่งจดหมายไปให้แก่พระองค์ บอกว่า ผมเป็นหลานชายของสุลต่านอับดุลฮามิด และบอกว่า ผมเสียใจที่พระองค์ต้องออกจากคูเวต พระองค์ได้ตอบจดหมายของผมด้วยดี และผมยังคงเก็บไว้จนถึงตอนนี้

เขียนโดย Ghazali Benmad

อ่านต้นฉบับ
http://mugtama.com/reports/item/97442-2020-01-06-06-19-00.html?fbclid=IwAR2WZJRl_3xiallr530mr9HcMxTSB4hoFtOmzr3jKDHOObILcWUdiQcMKaU

กินไม่มีขอบเขตคือเหตุแห่งหายนะ

ความคิดความเชื่อเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมของมนุษย์ ตราบใดที่มนุษย์ยังมีชีวิต มนุษย์จะมีความคิดความเชื่อเป็นของตนเอง หากคิดผิดหรือเชื่อผิดๆ มนุษย์ก็จะทำผิดโดยปริยาย แม้แต่ในเรื่องกิน ถ้ากินสิ่งผิดเพราะความเชื่อผิด ในที่สุดชีวิตและสังคมก็วิบัติ

ในตอนเป็นเด็ก ผมเคยเห็นกรรมกรชาวจีนจับหางลูกหนูตัวแดงๆที่เพิ่งคลอดออกมาใหม่ๆและยังไม่ลืมตาใส่ปากกินสดๆตามด้วยเหล้าขาวหรือเหล้าโรงเพราะเชื่อว่าการเปิบอาหารเมนูพิสดารนี้จะช่วยเพิ่มกำลังวังชา ผู้หญิงบางคนเห็นภาพหรือแค่เพียงได้ยินคำบอกเล่าจะเกิดอาการขยะแขยงจนตัวสั่นขึ้นมาทันที บางคนถึงขั้นอาเจียนออกมา

ปัจจุบันนี้ ภาพดังกล่าวไม่มีให้เห็นอีกแล้วเพราะกรรมกรส่วนใหญ่หันมาดื่มเครื่องดื่มชูกำลังเพราะหลงเชื่อคำโฆษณาที่ผ่านหูผ่านตาทุกวันว่าเครื่องดื่มชูกำลังจะให้พลังดุจช้างสาร ด้วยความหลงเชื่อเช่นนี้เอง แรงงานไทยทั่วประเทศจึงร่วมกันสร้างความมั่งคั่งร่ำรวยให้แก่เจ้าของบริษัทผลิตเครื่องดื่มชูกำลังจนเป็นมหาเศรษฐีอันดับต้นๆของประเทศในขณะที่แรงงานไทยยังจนกันต่อไป

อย่างไรก็ตาม ความเชื่อในเรื่องอาหารชูกำลังยังมีให้เห็นอยู่ตามร้านอาหารป่าในบางจังหวัด เช่น การกินดีงูผสมเหล้าโรง เป็นต้น และอาหารประเภทนี้นิยมกินกันสดๆ นั่นคือ ต้องกรีดท้องงูเอาดีงูมาใส่แก้วเหล้าต่อหน้าลูกค้าเพื่อให้ดื่มกันทันที

ในประเทศจีน หมีหลายตัวต้องทนทุกข์ทรมานจากการถูกจับขังไว้ในกรงและถูกเจาะท้องเพื่อเอาดีมากินเป็นยาอายุวัฒนะตามความเชื่อของคนจีน เสือถูกล่าเพื่อเอากระดูกไปทำยาและเอาหนังไปปูพื้นหรือติดผนังเพื่อสร้างบารมี เพื่อนชาวสิงค์โปร์ของผมคนหนึ่งเคยพูดติดตลกว่าอะไรก็แล้วแต่ที่มีสี่ขา คนจีนกินทั้งนั้น ยกเว้นโต๊ะ

หลายเดือนที่ผ่านมามีข่าวออกมาเป็นระลอกว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐได้จับผู้ลักลอบนำสุนัขและสัตว์ป่าหลากชนิดไปขายยังประเทศเพื่อนบ้านที่ต้องการนำไปทำอาหารชุดเปิบพิสดารตามความเชื่อของผู้คนที่นั่น ลักษณะการกินอย่างไม่มีขอบเขตเช่นนี้บ่งบอกให้รู้ว่ามนุษย์กลุ่มหนึ่งในยุคนี้ยังมีวิถีการกินเหมือนกับคนป่าที่ไร้อารยธรรม หากไม่สร้างความตระหนักถึงเรื่องนี้ให้แก่มนุษย์ ภัยพิบัติจะมาเยือนมนุษย์ในไม่ช้า นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมศาสนาจึงมีคำสอนที่จำกัดขอบเขตการกินของมนุษย์

คำสอนของทุกศาสนาที่ห้ามกินเนื้อของสัตว์ที่ใช้เขี้ยวและกรงเล็บจับเหยื่อเป็นอาหารมิใช่คำสอนที่ไร้เหตุผล เพราะนอกจากเนื้อของสัตว์ประเภทนี้ไม่มีประโยชน์ทางโภชนาการแล้ว สัตว์กินเนื้อยังมีจำนวนน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับสัตว์กินพืช และมันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรักษาสมดุลทางนิเวศ

หลายคนที่เคยดูสารคดีธรรมชาติคงรู้ดีว่าสัตว์ประเภทหนู กระต่าย เก้ง กวางและควายป่าสามารถแพร่พันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว เรือกสวนไร่นาของใครถูกฝูงหนูรุกรานเมื่อใด หายนะก็มาเยือนเจ้าของไร่นานั้นทันที สัตว์กินเนื้อประเภทนกฮูก นกเค้าแมว เหยี่ยวและงูจึงถูกสร้างมาเพื่อกำจัดหรือลดจำนวนสัตว์เหล่านี้ลงเป็นการรักษาสมดุลทางธรรมชาติและรักษาพืชผลที่มนุษย์ปลูกไว้

ฝูงควายป่านับหมื่นตัวเดินทางไปยังแหล่งหญ้าที่ใด มันจะกินหญ้าจนบางแห่งไม่เหลือหญ้าไว้ปกคลุมดิน ถ้าฝนไม่ตกหลายปี ทุ่งหญ้าแห่งนั้นอาจกลายเป็นทะเลทราย สัตว์ประเภทเสือ สิงโตหรือหมาป่าจึงถูกสร้างมาเพื่อลดจำนวนประชากรสัตว์กินพืชที่หากมีมากไปอาจทำลายดุลทางนิเวศ

การล่าสัตว์ป่าที่มีเขี้ยวและกรงเล็บจับเหยื่อจึงเป็นการทำลายเครื่องมือรักษาสมดุลทางธรรมชาติโดยน้ำมือของมนุษย์

เหตุผลที่ศาสนากำหนดขอบเขตการบริโภคโดยห้ามกินเนื้อสัตว์และอาหารบางอย่างก็เพื่อรักษาดุลทางนิเวศไว้ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อมนุษย์เอง แม้แต่สัตว์ก็ถูกกำหนดขอบเขตในการกินไว้เช่นกัน เช่น แพะ แกะ วัวและควายต้องกินหญ้า ถ้าสัตว์พวกนี้กินโดยไม่มีขอบเขตและสามารถกินสัตว์อื่นๆรวมทั้งมนุษย์ด้วย ลองจินตนาการดูก็แล้วกันว่าอะไรจะเกิดขึ้น

ถ้าการกินเนื้อสัตว์ป่าดังกล่าวเป็นสาเหตุแห่งความหายนะได้ถึงขนาดนั้น ลองจินตนาการต่อไปอีกสักนิดว่าถ้ามนุษย์กินทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า เช่น กินหิน กินดิน กินทรายจนเลยเถิดไปถึงกินบ้านกินเมือง อะไรจะเกิดขึ้น?

ถ้าสัตว์จะกินดิน มันก็กินแค่ดินโป่งเพียงเพราะร่างกายต้องการแร่ธาตุบางอย่าง เมื่อเพียงพอแล้ว มันก็หยุดกิน แต่มนุษย์นั้นแม้ล้นกระเพาะแล้วก็ยังกินไม่หยุด ไม่เพียงเท่านั้น มนุษย์ยังมีลักษณะการกินที่แปลกไปจากสัตว์อีก นั่นคือ กินใต้โต๊ะและกินตามน้ำ

เพราะกินกันอย่างไม่มีขอบเขตเช่นนี้เองที่เป็นสาเหตุแห่งความหายนะ

เขียนโดย Banjong Binkason

Bangkitlah Anak Bangsaku

Bangkitlah Anak Bangsaku
Berpuluh-puluh tahun
Bangsaku layu dalam duka
Sayu dalam derita
Semu dalam kedamaian
Sendu dalam kehidupan
Kejahatan dipuja-puja
Jenayah terjadi di mana-mana
Dadah menjadi bisa
Setiap kampung ada mangsa
Kanak-kanak sampai tua
Ada pelbagai jenama
Murah mahalpun ada
Anak bangsa dalam bahaya
Rusak akal jiwanya
Kita belum menyadarinya
Masih berlaga sesama
Merebut kuasa dan tahta
Dalang pembenci kita
Tertawa-tawa melihatnya
Kehancuran generasi kita
Bangkitlah anak bangsaku
Basmikan jahanam itu
Kita akan kembali semula
Menjadi bangsa bermutu

Nukilan : Prof.Madya Dr. Phaosan Jehwae

กุตัยบะฮ์ บินมุสลิม อัลบาฮิลีย์ ผู้นำพาอิสลามไปยังชาวอุยกูร์

กุตัยบะฮ์ บินมุสลิม อัลบาฮิลีย์ นักหะดีษคนสำคัญและเป็นจอมทัพผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งในประวัติศาสตร์อิสลาม ผู้นำอิสลามไปดินแดนไกลสุดของโลกตะวันออก

กุตัยบะฮ์ บินมุสลิม อัลบาฮิลีย์ (อายุ 48 ปี เกิดช่วง ฮ.ศ 48- ฮ.ศ.96 / ค.ศ.669 -ค.ศ.715) จอมทัพของราชวงศ์อุมัยยะฮ์ ผู้สยบจักรพรรดิจีนและนำอิสลามไปยังดินแดนตุรกีสถานตะวันออก (ซินเกียง)และนับเป็นแม่ทัพมุสลิมที่สามารถนำพาอิสลามไปพิชิตดินแดนจีนได้ลึกที่สุด

ในทางวิชาการ ได้รายงานหะดีษจากอิมรอน บินหุศ็อยน์ และอบูสะอีด อัลคุดรีย์

ในทางทหาร เป็นแม่ทัพใหญ่ของราชวงศ์อุมัยยะฮ์ ยุคคอลีฟะฮ์วะลีด บินอับดุลมาลิก ผู้กล้าหาญเด็ดเดี่ยว เจ้ากลยุทธ์ ผู้พิชิตเมืองคอวาริซม์ บุคอรอ สะมัรกันด์ ฟัรกอนะฮ์ และดินแดนของเติร์ก ปี ฮ.ศ. 95

แม้ว่าดินแดนเปอร์เซียจะเข้ารับอิสลามในยุคคอลีฟะฮ์รอชิดีน แต่ชนชาติเติร์กเผ่าต่างๆ ที่มีจำนวนมากกว่าชาวเปอร์เซียเข้ารับอิสลามในยุคของกุตัยบะฮ์

เป็นผู้ว่าการเมืองคอรอซาน 10 ปี

ใน 10 ปีนี้ สามารถพิชิตดินแดนได้กว้างใหญ่ไพศาล ทำให้ผู้คนมากมายเข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม ไปจนกระทั่งถึงเมืองกัชการ์ ดินแดนตุรกีสถานตะวันออกหรือซินเกียงในปัจจุบัน

ขณะเดินทางไปพิชิตดินแดนจีน ได้ทราบข่าวว่า คอลีฟะห์วะลีด บินอับดุลมาลิก เสียชีวิต แต่ก็ยังคงเดินหน้าต่อไปจนกระทั่งพิชิตได้

ชาวเติร์กเผ่าต่างๆ ต่างประทับใจในบุคลิกภาพด้านการทหารของท่าน จึงเข้ารับอิสลามเป็นจำนวนมหาศาล กลุ่มแล้วกลุ่มเล่า เป็นสะพานเชื่อมที่ทำให้ชาวเติร์กได้เห็นสัญลักษณ์ความดีงามที่แท้จริงรวมถึงความกล้าหาญและความเป็นลูกผู้ชาย ตลอดจนคุณธรรมอิสลามอันสูงส่งที่ปรากฏอยู่ในบุคลิกของท่าน

การที่ชนชาติเติร์กเข้ารับอิสลาม ถือเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ เพราะชนชาติเติร์กมีบทบาทสูงในการเผยแพร่ศาสนาอิสลาม ไปทั่วทวีปเอเชีย ทั้งชนชาติเติร์กเผ่าซัลจู๊ก เผ่าออตโตมัน เผ่าอุซเบก และมัมลู้ก บุคคลเหล่านี้มีผลงานรับใช้อิสลามอันยิ่งใหญ่ รวมถึงชนชาติเติร์กในดาเกสถาน เชชเนีย กอซันวี และกูรีย์ ผู้พิชิตอินเดีย ผลงานอันยิ่งใหญ่เหล่านี้เมล็ดพันธุ์เม็ดแรกมาจากกุตัยบะฮ์ บินมุสลิม อัลบาฮิลีย์

ความยิ่งใหญ่ที่ศัตรูทั่วทั้งเอเชียกลางทุกแว่นแคว้น ต่างพรั่นพรึงและไม่อาจรับมือได้ กลับต้องพ่ายแพ้กลเกมการชิงอำนาจในราชสำนักแห่งราชวงศ์อุมัยยะฮ์

คนดีที่โลกลืม กุตัยบะฮ์ บินมุสลิม อัลบาฮิลีย์ ถูกล้อมฆ่าโดยมุสลิมด้วยกัน แต่แนวคิดทางการเมืองต่างกัน

ครอบครัว ลูกเมียถูกล้อมฆ่าในบ้านวีรบุรุษอิสลามผู้ยิ่งใหญ่ ถูกตัดหัวส่งให้ผู้นำทางการเมืองที่แย่งชิงบัลลังก์อำนาจ ร่างของท่านถูกฝังทางภาคตะวันออกของประเทศอุซเบกิสถานในปัจจุบัน

ปิดฉากความยิ่งใหญ่ทั้งปวงในโลกนี้ หลังจากสามารถยาตราทัพอิสลามไปถึงดินแดนตุรกีสถานตะวันออก เป็นประวัติศาสตร์ที่ไม่มีแม่ทัพมุสลิมคนใดสามารถไปไกลกว่านั้นได้อีก ตราบถึงวันนี้

นี่คือสิ่งที่วีรบุรุษอิสลามผู้สร้างผลงานยิ่งใหญ่ได้รับการตอบแทนในวันนั้น

และการสาปแช่งจากชนรุ่นหลังที่ไม่รู้จักบุญคุณคน

วีรบุรุษอิสลามมากมายได้รับผลตอบแทนเฉกเช่นนี้

จากประชาชาติที่โง่งมงาย ไม่รู้ถูกผิด

จะทำฉันใดได้อีก

นอกจากร้องทุกข์ต่อองค์อภิบาล

ในวันที่ชาวอุยกูร์นับสิบล้านในดินแดนนี้ กำลังถูกกดขี่บังคับให้ละทิ้งศาสนาอิสลาม กลับคืนศาสนาเดิม โดยที่ไร้วีรบุรุษเฉกเช่นท่านกุตัยบะฮ์คอยปกป้องคุ้มครอง

เขียนโดย Ghazali Benmad

ผู้ล้มละลาย มี 3 ประเภท

1. สุนัขล่าเหยื่อ เหน็ดเหนื่อยไล่ตะครุบเหยื่อจนลิ้นห้อย เลียแข้งเลียขานาย สุดท้ายต้องมอบเหยื่อที่ล่าให้นายเสวยสุข เจ้าตัวได้แต่มองตาปริปๆ

2. คนตระหนี่ถี่เหนียว อุตส่าห์เก็บหอมรอมริบ ไม่ค่อยแตะต้องเงินทองหรือสิ่งของที่รวบรวมมาทั้งชีวิต เพื่อบริจาคในหนทางของอัลลอฮ์ เมื่อถึงลิขิตแห่งเวลา ทุกอย่างก็ต้องจากจร ปล่อยให้คนอื่นมาเชยชม

3. คนชอบนินทาและทำร้ายผู้อื่น อุตส่าห์สะสมแต้มแห่งความดีตลอดชีวิต แต่ในวันอาคิเราะฮ์ ความดีที่ได้ปฏิบัติถูกกินรวบ เพราะความดีของตนจะถูกถ่ายโอนมอบให้คนที่เขาเคยนินทาหรือทำร้าย แถมบาปของคนเหล่านั้นถูกยัดใส่ตน เพื่อชดเชยความผิดพลาดของตนที่ได้ก่อไว้

ประเภทที่ 3 นี้คือผู้ล้มละลายอย่างแท้จริง ตามหะดีษนบี


อย่าเป็นสุนัขรับใช้ อย่าตระหนี่ถี่เหนียว อย่านินทาและทำร้ายคนอื่น

نسأل الله لنا ولكم السلامة والعافية

Guru oh guru – แด่คุณครู

Keratan dari sajak guru oh guru
Nukilan : Osman Awang

Jika hari ini seorang Perdana Menteri berkuasa.
Jika hari ini seorang Raja menaiki takhta.
Jika hari ini seorang Presiden sebuah negara.
Jika hari ini seorang ulama yang mulia.
Jika hari ini seorang peguam menang bicara.
Jika hari ini seorang penulis terkemuka.
Jika hari ini siapa sahaja menjadi dewasa.
Sejarahnya dimulakan oleh seorang guru biasa.
Dengan lembut sabarnya mengajar tulis baca.

หากวันนี้คือนายกรัฐมนตรีผู้มีอำนาจ
หากวันนี้คือราชาประทับบนบัลลังก์
หากวันนี้คือประธานาธิบดีปกครองประเทศ
หากวันนี้คือนักวิชาการผู้ทรงเกียรติ
หากวันนี้คือผู้พิพากษาพิจารณาความ
หากวันนี้คือนักเขียนนามอุโฆษ
หากวันนี้จะเป็นใครที่ได้เติบใหญ่
ประวัติของเขาจะต้องเริ่มต้นที่ครูแสนธรรมดา
ที่ได้เพียรสอนอ่านเขียนอย่างอารีและอดทน

มากกว่าสิ่งที่มองเห็น

ตะกอนความคิดส่วนหนึ่งจากซูเราะห์กะฮ์ฟี

ในช่วงการเดินทางระหว่างนบีมูซากับคิฎิร มีเหตุการณ์เกิดขึ้น ๓ อย่าง
๑.คิฎิรจงใจทำให้เรือของคนจนรั่ว
๒.คิฎิรจงใจฆ่าเด็กผู้ชายคนหนึ่ง และ
๓. คิฎิรอาสาสร้างกำแพงให้กับชาวเมืองที่ไม่ได้แยแสจะเป็นมิตรกับใคร

นบีมูซาไม่เห็นด้วยกับการกระทำทั้งหมดของคิฎิร ทนไม่ได้กับสิ่งที่เกิดจนร้อนตัวต้องคัดค้านกับทุกเรื่อง แล้วในที่สุด คิฎิรก็เฉลยถึงที่มาที่ไปของเรื่องราวทั้งหมด

อัลลอฮกำหนดให้เรือนั้นรั่ว
เพราะข้างหน้าเรือลำนี้จะเจอการปล้นสะดม
อัลลอฮกำหนดให้เด็กนั้นถูกฆ่า
เพราะในอนาคตเด็กคนนี้จะอกตัญญูและเนรคุณต่อพ่อแม่ที่แสนดี
อัลลอฮกำหนดให้อาสาสร้างกำแพงนั้นโดยไม่ได้ให้ผลประโยชน์ใดๆ
เพราะพระองค์ต้องการจะปกป้องทรัพย์สมบัติที่ฝังอยู่ข้างใต้นั้น ให้กับเด็กกำพร้าสองคนจนกว่าจะถึงวัยอันควร

ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นมีอะไรอีกมากมายข้างหน้าที่เรายังไม่รู้

เรื่องนี้สอนอะไรเราบ้าง?

มนุษย์เรารู้อะไรผิวเผินมาก แต่เรามักจะคิดว่าเรารู้เยอะแล้ว

บางครั้ง สิ่งที่เราเห็นและเข้าใจ ณ ปัจจุบัน อาจไม่ใช่บทสรุปของเรื่องราวทั้งหมด ยังมีเบื้องลึกอีกมากมายที่เราไม่รู้

หลายครั้ง ที่เราไม่เข้าใจหลายอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิต ทำไมมันต้องเลวร้ายอย่างนั้น ทำไมมันต้องจบแบบนี้ เราร้อนรน คัดค้าน ขุ่นเคือง
บางครั้งยังเผลอล้ำเส้นตัดพ้อการกำหนดของพระเจ้าว่าไม่ดี นั่นเป็นเพราะเราไม่รู้ว่าสุดท้ายมันจะดีกับเรายังไงใช่ไหม?
แต่การไม่เห็นว่ามันดี ก็ไม่ได้แปลว่ามันจะไม่ดีนี่นา #ยังมีอะไรที่ไม่รู้อีกเยอะจริงๆ

สงบใจเถอะคนดี #อัลลอฮไม่เคยให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นเว้นแต่สิ่งนั้นจะดีต่อเรา
และอัลลอฮไม่เคยพรากสิ่งหนึ่งสิ่งใดเว้นแต่พระองค์จะทดแทนด้วยสิ่งที่ดีกว่าให้เรา

ถ้าเราคิดดีต่อพระเจ้าและเข้าใจตรงนี้ให้มาก เราจะรู้สึกอุ่นใจ และยอมรับในทุกการกำหนดของพระเจ้ามากขึ้น

เชื่อมั่นไว้นะ แผนการของ “อัลฮากีม” พระเจ้าผู้ทรงรอบรู้และปรีชาญาณนั้นย่อมสวยงามเสมอ

ตอนนี้เราอาจยังไม่เห็นว่ามันดียังไง แต่ศรัทธาจะช่วยให้เราเชื่อมั่น..ว่ามันต้องดี และมันก็ดีจริงๆ

ศรัทธาช่วยเราได้จริงๆ

ขอเป็นกำลังใจและดุอาอ์ให้ในวันที่เธอไม่เข้าใจ
ขออัลลอฮมอบศรัทธาให้เธออุ่นใจ ขอพระองค์ทรงนำทาง
just have faith in Him. You just have to really trust Him.

กะฮ์ฟี…เพื่อใคร่ครวญ

เขียนโดย ครูฟาร์ Andalas Farr

เรื่องเล่าชายแดนใต้ (1)

ผมเกิดที่หมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งชื่อไอกูบูหมู่ที่ 1 ตำบลสุไหงปาดี อำเภอสุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาส ซึ่งอยู่ติดถนนจารุเสถียร ห่างจากเมืองนราธิวาสไปทางสุไหงปาดีประมาณ 40 กม. ในอดีตหมู่ที่ 1 ประกอบด้วย 3 หมู่บ้านคือตลิ่งสูง ไอกูบูและป่าหวาย

อาจเป็นเพราะไอกูบูตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างสองหมู่บ้าน ทำให้ทางการเลือกแต่งตั้งผู้ใหญ่บ้านที่มาจากหมู่บ้านไอกูบู โดยมีคุณตาเป็นผู้ใหญ่บ้านคนแรก ปัจจุบันทั้ง 3 หมู่บ้าน ได้แยกส่วนบริหารต่างหากแล้ว

ไอกูบูมีประชากรมุสลิม 100 % แต่มีช่วงหนึ่งที่บริษัทโรงโม่หินจากสุไหงโกลก มาตั้งบริษัทระเบิดหิน ซึ่งห่างจากบ้านผมไม่ถึง 100 เมตร ผมจึงโชคดีที่ได้ยินเสียงระเบิดหินจากภูเขาหลังบ้านดังตูมตามวันละ 2 ครั้ง ทั้งเที่ยงและเย็นมาตั้งแต่เด็ก บางครั้งสะเก็ดหินได้ตกมาหน้าบ้านพอทำให้ตกใจเล่น ส่วนเสียงโม่หินจากโรงงานนั้น ก็ได้สร้างสีสันดังครึกโครมทั้งวัน หากวันไหนโรงงานหยุด จะรู้สึกเงียบเหงาชอบกล ราวกับว่าใช้ชีวิตบนโลกอีกใบ

ครอบครัวผมและเพื่อนบ้าน จึงได้รับมลพิษทางเสียง อากาศและสภาพจิตใจนานเกือบ 30 ปีจนกระทั่งบริษัทเลิกกิจการไป เพราะไม่มีหินให้ระเบิด

ตลอดระยะเวลาดังกล่าว มีชาวบ้านเพียง 2-3 คนเท่านั้นที่เป็นลูกจ้างบริษัทนี้ คนงานส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธที่มาจากภาคใต้ตอนบนกว่า 10 ครอบครัว บางครอบครัวมาจากอีสาน

บ้านป่าหวายในอดีต มีชาวพุทธอาศัยเกือบ 100% ส่วนบ้านตลิ่งสูงเป็นหมู่บ้านพหุวัฒนธรรมโดยแท้จริง เพราะมีมุสลิมและพุทธอาศัยอยู่ในอัตราส่วน 80 : 20 ชาวพุทธที่เป็นคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านนี้ จึงสามารถพูดภาษามลายูท้องถิ่นได้คล่องแคล่ว บางคนมีชื่ออิสลามที่ชาวบ้านตั้งให้ เช่น เจ๊ะดือราแม เจ๊ะเต๊ะ เป็นต้น

เจ๊ะดือราแม เป็นชาวตลิ่งสูงโดยกำเนิดจึงสามารถพูดมลายูได้ดี ส่วนเจ๊ะเต๊ะ มีบ้านเกิดที่ป่าหวาย พูดมลายูไม่ได้แต่ฟังมลายูรู้เรื่อง ทั้งสองคนเป็นเพื่อนสนิทของคุณพ่อที่พูดไทยไม่ได้ แต่ฟังคนแหลงใต้รู้เรื่อง

ผมยังจำได้ว่าทุกครั้งที่ 3 เกลอนี้เจอกันซึ่งส่วนใหญ่จะใช้แคร่หน้าบ้านเป็นที่นัดพบ ผมจะได้ยินเสียงภาษาสนทนาที่แปลกประหลาดมาก คนหนึ่งพูดมลายูท้องถิ่นในฐานะเจ้าภาพ อีกคนแหลงใต้เสียงดังฟังชัด และอีกคนพูดมลายูท้องถิ่นสำเนียงใต้

ยิ่งบางวันที่ สองเกลอต่างถิ่น นัดขี่จักรยานมาชวนคุยหน้าบ้านในสภาพที่ทั้งสองหน้าแดงก่ำพร้อมกลิ่นเหล้าฟุ้งกระจาย บรรยากาศก็จะเก๋ไก๋ไปอีกแบบ

ผมจึงมีโอกาสซึมซับบรรยากาศความผูกพันของสหายรักต่างศาสนิกตั้งแต่เยาว์วัย

ทั้ง 3 หมู่บ้านนี้มีโรงเรียนประถมที่สร้างขึ้น ณ ที่ดินที่อยู่ระหว่างหมู่บ้านไอกูบูกับหมู่บ้านตลิ่งสูง โดยที่ดินของโรงเรียนอยู่ในเขตหมู่บ้านตลิ่งสูงจึงตั้งชื่อว่าโรงเรียนบ้านตลิ่งสูง อยู่ใกล้บ้านประมาณ 800 ม.

ผมเรียนระดับประถม ป.1 ถึง ป.4 ที่โรงเรียนแห่งนี้ สมัยนั้นมีครูวิบูลย์ บุญรอด เป็นครูใหญ่ (ชาวบ้านเรียกติดปากว่าครูแดง มีภรรยาเป็นครูเช่นกัน ชาวบ้านเรียกว่าครูแมะแย) ทั้งสองพูดภาษามลายูได้คล่องแคล่ว และค่อนข้างสนิทสนมกับคุณพ่อเช่นกัน

ตั้งแต่ ป.1 ถึง ป.4 ทุกครั้งที่เปิดเรียนวันแรก คุณพ่อจะต้องลางานประจำคือกรีดยาง เพราะต้องจูงผมไปห้องเรียนแต่เช้าและคุยกับครูประจำชั้นว่า ขอเลือกที่นั่งให้ลูกชายนั่งข้างหน้าสุดและขอให้มีเพื่อนที่เป็นเด็กพุทธนั่งข้างๆ ด้วย ผมจึงนั่งติดกับเด็กชายสมนึก ลินิน (เพื่อนๆเรียกไอ้หมึก) จากบ้านตลิ่งสูง จนกระทั่งจบป. 4 จำได้ว่าตลอดการเรียน เราผลัดกันได้ที่ 1 ที่ 2 ของห้องมาโดยตลอด

ครั้งหนึ่ง ช่วงเรียน ป.4 ผมได้รับคัดเลือกเป็นตัวแทนนักเรียนแข่งขันประจำอำเภออ่านบทร้อยกรองทำนองเสนาะ เรื่องรามเกียรติ์ โดยสามารถเอาชนะไอ้หมีกได้ ทั้งๆที่ในโรงเรียนมีครูที่มีนามสกุลลินินกันหลายคน

ท่อนที่ว่า บัดนั้น พระยาพิเภกยักษี เห็นพระองค์ทรงโศกโศกี …….ทั้งท่อน ผมจึงสามารถท่องขึ้นใจจนกระทั่งปัจจุบัน

ผมจึงมีโอกาสพูดคุยและสนทนาโดยใช้ภาษาไทยมากกว่าเพื่อนๆในห้อง ซึ่งถือเป็นผลพวงของยุทธศาสตร์อันเเยบยลของคุณพ่อนั่นเอง

ในอดีต ขณะที่สังคมยังไม่รู้จักคำว่าพหุวัฒนธรรม สังคมสมานฉันท์และเอื้อ อาทร แต่วิถีชีวิตของเราได้กลมกล่อมจนซึมซับความหมายเหล่านั้นให้เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิตโดยไม่รู้ตัว

แต่ทุกอย่างได้ผันแปรไปตามกาลเวลา คำว่าสังคมพหุวัฒนธรรมนำสันติสุข เป็นเพียงวาทกรรมที่ถูกกล่าวถึงในเวทีสัมมนาที่เมืองกรุงหรือที่รีสอร์ทตามชายหาดเท่านั้น

เราอาจทะเลาะ จนถึงขั้นชกต่อยกันบ้างตามประสาเด็กๆในวัยเรียน แต่พรุ่งนี้ เราก็กอดคอเล่นเป่ายางเส้นกันเช่นปกติ เหมือนไม่เคยมีเรื่องบาดหมางเกิดขึ้นมาก่อน

เมล็ดพันธุ์แห่งความเกลียดชัง ได้รับการบ่มเพาะอย่างกว้างขวาง ที่นับวัน ยิ่งแตกกิ่งก้านขยายผลอย่างน่ากลัว

จากเพื่อนบ้านเรือนเคียงที่ใช้ชีวิตอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยและยิ้มแย้มถามไถ่ระหว่างกัน บัดนี้อุดมด้วยความหวาดระแวงและลอบทำร้าย จนกระทั่ง ในปัจจุบัน ดูเหมือนว่า บางฝ่ายกำลังจงใจจุดไฟด้วยการสร้างข่าวลือ ข่าวเท็จ ปลุกปั่น ปั้นน้ำเป็นตัวด้วยความอคติและอวิชา บาดแผลที่ไหลรินอย่างยาวนานอยู่แล้ว กลับถูกซ้ำเติมอย่างไร้จรรยาบรรณที่สุด

ถึงกระนั้นก็ตาม ผมจะไม่มีวันลืมบรรยากาศเก่าๆอันสวยงามที่เคยสัมผัสในวัยเด็ก และหวังอย่างเต็มเปี่ยมว่า สักวันมันจะหวนกลับมาอีกครั้ง

ยกเว้นเสียงระเบิดของโรงโม่หินหลังบ้าน

พร้อมนี้ ใคร่เชิญชวนพี่น้องร่วมรับฟังอนาชีด Airkubu : Desaku tercinta ที่อธิบายถึงการเติบโตของเยาวชนไอกูบู ท่ามกลางความอุดมสมบูรณ์และความสวยงามของธรรมชาติ การถ้อยทีถ้อยอาศัยและความสามัคคีของชาวบ้าน จนเกิดชุมชนสันติสุขและเกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน

เขียนโดย ผศ.มัสลัน มาหะมะ

3 ประการที่รับประกันว่าท่านไม่ประสบกับความยากลำบากและไม่ผิดหวังในชีวิต

3 ประการที่รับประกันว่าท่านไม่ประสบกับความยากลำบากและไม่ผิดหวังในชีวิต

1. เป็นลูกที่ดีต่อมารดา
‎وبرًّا بوالدتي ولم يجعلني جباراً شقيا (مريم /٣٢)
และทรงให้ฉันเป็นลูกที่ดีต่อมารดา และไม่ทำให้ฉันเป็นผู้หยิ่งยะโส ผู้เลวทรามต่ำช้า

2. เป็นคนที่หมั่นดุอา
ولم أكن بدعائك رب شقيا (مريم/٤)
และไม่เคยปรากฏเลยว่า การวิงวอนของฉันต่อพระองค์นั้น ทำให้ฉันผิดหวังและเป็นคนไร้ค่า

3. เป็นคนที่ผูกพันกับอัลกุรอาน
ما أنزلنا عليك القرآن لتشقى (طه/٢)
เราไม่ได้ประทานอัลกุรอานให้แก่เจ้า เพื่อทำให้เจ้าเป็นคนไร้ค่าและต่ำช้า

اللهم اجعلنا من أهل بر الوالدة وأهل الدعاء وأهل القرآن
โอ้อัลลอฮ์ ได้โปรดทำให้เราทุกคนเป็นหนึ่งในบรรดาลูกที่ดีต่อมารดา (ทั้งที่ยังมีชีวิตหรือเสียชีวิตแล้ว) หมั่นดุอาต่ออัลลอฮ์และเป็นสมาชิกของอัลกุรอานด้วยเถิด

ไม่จำเป็นต้องหาบริษัทประกัน ไม่จำเป็นต้องแลกด้วยเบี้ยประกัน สมัครฟรีเดี๋ยวนี้ และเป็นสมาชิกได้เลย

เขียนโดย ผศ. มัสลัน มาหะมะ