รอมฎอนนี้ไม่มีเธอ | บันทึกรอมฎอน 1441 (7)

รอมฎอนนี้ไม่มีเธอ

10 กว่าปีที่แล้วได้เข้าร่วมเอี้ยะติก้าฟครั้งแรกที่มัสยิดอัตตะอาวุนบางปู อ. ยะหริ่ง จ. ปัตตานี และได้เข้าร่วมปฏิบัติเรื่อยมาเป็นประจำอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นความผูกพันที่สร้างความประทับใจมากมาย

ได้มีโอกาสใกล้ชิดกับผู้หลักผู้ใหญ่ระดับตำนานของหมู่บ้านสืบสานเรื่องราวในอดีตตั้งแต่เหตุการณ์ชุมนุมประท้วงมัสยิดกลางปัตตานี ขบวนการต่อสู้ของกลุ่มเรียกร้องอิสรภาพ การเผยแพร่อิสลามยุคเริ่มก่อตั้งมัจลิสอิลมีย์ทุกเช้าวันเสาร์ที่บราโอ การริเริ่มจัดตั้งโรงเรียนตาดีกาพร้อมตำนานมัสยิดไม้อายุกว่า 300 ปี แนวคิดปลูกฐานสร้างมัสยิดใหญ่โตที่มีเสามหึมาชูตระหง่านนานเกือบ 20 ปี แม้กระทั่งวิถีชุมชนตามเทศกาลต่างๆที่เล่าขานมาอย่างมิรู้เบื่อ

ถึงแม้ไม่สามารถถ่ายทอดได้อย่างครบเครื่องสมบูรณ์ แต่ผมพยายามบันทึกความทรงจำนี้ผ่านลำนำอนาชีดทั้งเวอร์ชั่นภาษามลายูและไทย

ส่วนอนาชีดที่ 3 เป็นภาพสะท้อนตัวตนที่แท้จริงของชาวบางปู ภายใต้การกำกับดูแลของมัสยิดอัตตะอาวุน อันหมายถึง การเกื้อกูลอุดหนุนซึ่งกันและกัน

เนื้อหาอนาชีดทั้ง 3 เป็นเพียงรอยน้ำที่ติดอยู่กับเข็มที่จุ่มในทะเลแห่งอัตตะอาวุน

เพราะในความเป็นจริง มันจะพราวกว่าเนื้ออนาชีดไม่รู้กี่ร้อยพันเท่า

รอมฎอนปีนี้ ถึงแม้ไม่มีเธอ แต่จะพยายามเก็บเกี่ยวความทรงจำตราบนานเท่านาน


โดย ผศ. มัสลัน มาหะมะ

ข่าวด่วน | บันทึกรอมฎอน 1441 (6)

ไวรัสตัวใหม่กำลังมาแรงใน 3 จว. แดนใต้
เริ่มก่อตัวแพร่เชื้ออย่างเร้าใจสุดๆ

ข่าวล่าสุดแจ้งว่า เฉพาะในเมืองยะลาระบาดหนักกว่า 5 จุดแล้ว
ในเมืองปัตตานียังไม่สามารถควบคุมได้
ส่วนในเมืองนราฯคาดว่าจะบานปลาย
ล่าสุดที่หาดใหญ่ผุดแล้ว 4 จุด ในวันเดียว
จังหวัดอื่นๆกำลังลุ้นระทึก

ปรากฏการณ์แชร์ลูกโซ่แห่งความดี
ที่มาช่วงรอมฎอน 1441 นี้
ท่ามกลางวิกฤตโควิด-19
ไวรัสใหม่กำลังระบาด

“ตู้ปันสุข”
ภายใต้สโลแกน #หยิบแต่พอดี_ถ้าท่านมีก็แบ่งปัน


โดย ผศ. มัสลัน มาหะมะ

อาหารเหลือกิน | บันทึกรอมฎอน 1441 (5)

สิ่งหนึ่งที่มักเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตกในเดือนรอมฎอนคืออาหารเหลือกิน ที่กลายเป็นขยะในวันรุ่งขึ้น หากคิดเป็นเงินที่ครัวมุสลิมทิ้งอาหารเหลือกินวันละเพียง 5 บาทต่อวัน ถามว่าเราทิ้งเงินอย่างสูญเปล่าวันละกี่ล้านบาท หากคิดทั้งเดือนรอมฎอนแล้ว ตัวเลขจะสูงมากจนตกใจ

ลองคิดหยาบๆดูว่า เฉพาะใน 3 จังหวัดชายแดนใต้มี 300,000 ครัวเรือน x 5 บาท x 30 วัน = 45,000,000 บาท
เงินจำนวนนี้สามารถสร้าง
1. บ้านสำหรับคนไร้บ้านราคาหลังละ 500,000 บาท ได้ 90 หลัง หรือ
2. สร้างมัสยิดงามๆ 9 หลังราคาหลังละ 5 ล้าน
3. สร้างอาคารเรียนตาดีกาอาคารละ 1 ล้าน จำนวน 45 หลัง หรือ
4. มอบทุนการศึกษาระดับ ป. ตรี สำหรับโครงการช้างเผือกในสาขาวิชาขาดแคลน คนละ 1 ล้านได้ถึง 45 ทุน หรือ
5. ฯลฯ

เราจะมีวิธีการจัดการอาหารเหลือกินนี้อย่างไร

โครงการ “ตู้ปันสุข” น่าจะแก้ได้ในระดับหนึ่ง

เชื่อว่าหากในแต่ละชุมชนจัด “ตู้ปันสุข” อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากยังสามารถจัดกิจกรรม “ชุมชนช่วยชุมชน” แล้ว เรายังแก้ปัญหา อาหารทิ้งในวันรุ่งขึ้นได้อย่างคุ้มค่าอีกด้วย

“ทำดี ทำได้ ไม่ต้องเดี๋ยว”
———————-
ปล. อาหารเหลือกินตรงนี้ ไม่ใช่เศษอาหารที่เราเหลือเก็บนะครับ แต่สำหรับบางคนเก็บอาหารเยอะแยะในห้องครัวหรือตู้เย็น ที่ไม่รู้จะคิดยังไงที่จะกินให้หมด แต่มันคืออาหารอันแสนเอร็ดอร่อยของคนบางครอบครัว


โดย ผศ. มัสลัน มาหะมะ

ตู้ปันสุข 3 จังหวัดชายแดนใต้ | บันทึกรอมฎอน 1441 (4)

เท่าที่ทราบ รอมฏอนปีนี้ น่าจะเป็นรอมฎอนแรกที่มีการริเริ่มจัด “ตู้ปันสุข” ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ภายใต้สโลแกน “หยิบไปแต่พอดี ถ้าท่านมี ใส่ตู้แบ่งปัน”

ขอขอบคุณองค์กรและบุคคลที่ริเริ่มจัดโครงการที่มีประโยชน์ยิ่งนี้ โดยเฉพาะทีมงาน IAC เครือข่ายองค์กรมุสลิมสู้ภัยโควิด-19 ถือเป็นการริเริ่มความดีงามในอิสลาม ที่สามารถเกิดผลบุญให้แก่ผู้เกี่ยวข้อง และเป็นการสะสมผลบุญรวมกับคนที่ทำเป็นแบบอย่างหลังจากนั้นอีกด้วย ตามนัยหะดีษที่รายงานโดยมุสลิม/1017

ขอสนับสนุนกิจกรรม ”แชร์ลูกโซ่” ชนิดนี้ และอยากเชิญชวนให้แต่ละชุมชนนำไปปฏิบัติต่อโดยใช้มัสยิดเป็นศูนย์กลาง เท่าที่มีความสามารถและสถานการณ์เอื้ออำนวย

ถือเป็นหนึ่งในโมเดล “ชุมชนช่วยชุมชน” Kampong bantu Kampong ที่แสนธรรมดาแต่ด้วยพลังใจอันแสนยิ่งใหญ่มาก

ทั้งผู้ยื่นมือให้และผู้ยื่นมือรับ ต่างก็ต้องมีพื้นฐานจิตสำนึกที่สำคัญมากๆไม่แพ้กันคือ “ความรู้สึกอยากแบ่งปัน”

جزاكم الله خيرا وندعوه سبحانه وتعالى أن يكتب هذه الأعمال في سجلات حسناتكم يوم القيامة

เอื้อเฟื้อภาพ Sukree Semmard


โดย ผศ. มัสลัน มาหะมะ

การเอี้ยะติก้าฟ ช่วง10 วันสุดท้าย | บันทึกรอมฎอน 1441 (3)

จำได้ว่าเมื่อ 30 ปีที่แล้วทุกครั้งที่รอมฎอนมาถึง หนึ่งในเรื่องที่เป็นที่โจษจันของพี่น้องมุสลิมใน 3 จังหวัดคือ การเอี้ยะติก้าฟ ช่วง10 วันสุดท้าย

ชาวบ้านบอกว่าเป็นเรื่องแปลกพิสดาร มีบ้านอยู่ดีๆ แต่มานอนที่มัสยิด แถมอาจจะสร้างสิ่งสกปรกให้มัสยิดอีกด้วย บางหมู่บ้านเล่นแรงถึงขนาดประกาศเป็นเขตพื้นที่ปลอดเอี้ยะติก้าฟไปเลย ประมาณว่า สมัยนั้นทั่ว 3 จังหวัด มีมัสยิดที่จัดเอี้ยะติก้าฟไม่เกิน 10 แห่ง และทำกันอย่างมีข้อจำกัดพร้อมด้วยแรงกดดันมากมาย

ชาวบ้านทั่วไป เข้าใจว่า เอี้ยะติก้าฟ 10 วันสุดท้ายรอมฎอน เป็นการปฏิบัติตนของผู้รู้หรือคนระดับโต๊ะวาลีเท่านั้น ทำให้มีคนทำสุนนะฮ์นี้ในกลุ่มคนที่จำกัดมากๆ

ปัจจุบันเท่าที่ทราบ กระแสมองลบการเอี้ยะก้าฟ 10 วันสุดท้ายรอมฎอนเป็นเรื่องเก่าที่ถูกฝังในตำนานไปแล้ว ผู้คนที่ไม่เห็นด้วยในอดีต ปัจจุบันกลายเป็นกำลังสำคัญในการฟื้นฟูสุนนะฮ์นี้อย่างขมักเขม้น หากไม่ใช่เพราะวิกฤตโควิด-19 ช่วงนี้ทั้งวิทยุชุมชน ทีวีช่องดำ หรือการไลฟ์สดตามโชเชียล คงมีการพูดถึงและรณรงค์เรื่องการเอี้ยะติก้าฟ ทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน สถาบันการศึกษา แม้กระทั่งหน่วยงานด้านความมั่นคง คงมีการตระเตรียมความพร้อมเพื่อจัดเอี้ยะติก้าฟอย่างถ้วนหน้า

ไม่มีใครยกประเด็นการฟื้นฟูสุนนะฮ์นี้ ว่าเป็นงานเฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเพราะหน้าที่ของมุสลิมทุกคน ต้องฟื้นฟูสุนนะฮ์นบีให้คงอยู่ควบคู่กับสังคมมุสลิมอยู่แล้ว

การละหมาดอีดบริเวณลานกว้างก็เช่นกัน

ไม่มีใครหรือกลุ่มไหน ที่จะสงวนสิทธิ์การปฎิบัติใช้สุนนะฮ์นี้ไว้แต่เพียงผู้เดียวหรอกครับ
และคนที่ยังไม่เคยปฏิบัติ ก็ไม่จำเป็นต้องกระดากใจใดๆที่จะต้องทำ เพราะการฟื้นฟูสุนนะฮ์นบี เป็นหน้าที่ของทุกคนอยู่แล้ว

โดยเฉพาะในสถานการณ์ปัจจุบัน ที่ผู้คนทุกหมู่เหล่าต้องร่วมมือร่วมใจกันแสดงความสวามิภักดิ์และนอบน้อมแด่พระองค์ด้วยการปฎิบัติตามสุนนะฮ์นบีโดยพร้อมเพรียงกัน

ไม่มีใครได้หน้าและเสียหน้ากรณีปฏิบัติตามสุนนะฮ์นบีหรอก

บางคน การปฏิบัติตามสุนนะฮ์ รู้สึกขมยิ่งกว่าอมบอระเพ็ด
แต่สำหรับบางคน มันคือความหวานฉ่ำยิ่งกว่าน้ำตาลโตนด

ขอให้เราเป็นบางคนในกลุ่มที่สองนี้ครับ


โดย ผศ. มัสลัน มาหะมะ

เช้าวันศุกร์ที่ 15 | บันทึกรอมฎอน 1441 (2)

บันทึก เช้าวันศุกร์ที่ 15 รอมฎอน 1441(2)

มีพี่น้องจากเทศบาลนครยะลาแจ้งว่า เช้านี้ที่ตลาดเสรี เงียบเหงาผิดปกติ สอบถามได้ความว่าแม่ค้าไม่กล้าออกจากบ้าน

พี่น้องจากเทศบาลปัตตานี บอกว่า เช้านี้ผิดสังเกตมากๆ ไม่มีผู้คนออกมาจ่ายตลาดเหมือนวันปกติ

ส่วนที่นราธิวาสไม่มีข้อมูล

แสดงว่า คำเตือนของบาบอที่ย้ำว่า ถึงแม้เป็นหะดีษปลอม แต่เพื่อความปลอดภัย อย่าออกจากบ้านก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น ยังมีคนเชื่อจริง

แสดงว่า หะดีษปลอมที่รายงานโดยบาบอ มีคนเชื่อจริง

แสดงว่า สังคมยังตกเป็นเหยื่อการแพร่ระบาดของหะดีษปลอม

เพื่อเป็นการปกป้องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เรามีหน่วยงานทางราชการ องค์กรศาสนา ออกแถลงการณ์มาตรการต่างๆฉบับแล้วฉบับเล่า

แต่การแพร่ระบาดของหะดีษปลอม
เรากลับไม่มีหน่วยงานไหน คอยสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชน

ทั้งๆที่รู้ว่าเป็นหะดีษปลอม
บาบอก็ยังใช้เป็นทุนในการเผยแพร่ จนชาวบ้านหลงเชื่อระนาว

การแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างมาก ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตในโลกนี้
แต่การแพร่ระบาดของหะดีษปลอม จะส่งผลต่อชีวิตเราในวันอาคิเราะฮ์ และถูกตั้งข้อหาว่า เราโกหกใส่นบี อ้างว่านบีสอนนบีกล่าว ทั้งๆที่ไม่ใช่เป็นคำสอนของนบีด้วยประการทั้งปวง


โดย ผศ. มัสลัน มาหะมะ

ฝันที่อยากให้เป็นจริง | บันทึกรอมฎอน 1441 (1)

ฝันที่อยากให้เป็นจริง

รายอฟิฏรีย์ปีนี้ เป็นไปได้ไหมว่าสำนักจุฬาราชมนตรี ออกแถลงการณ์ฉบับ ที่ 6 รณรงค์ให้พี่น้องร่วมละหมาดที่ลานกว้างทั่วประเทศ ด้วยเหตุผล

1. การละหมาดอีดที่ลานกว้างคือทางออกและแบบอย่างของนบีและชาวสะลัฟที่ปฏิบัติกันมากว่า 1,400 ปีมาแล้ว

2. แก้ปัญหาการแออัดในมัสยิด ที่มีพื้นที่จำกัดที่จะจัดแถวแบบทิ้งระยะห่าง 1.5 -2 ม. ตามเงื่อนไขของจุฬาราชมนตรี แค่อีดปกติ คนก็ล้นมัสยิดอยู่แล้ว

3. สามารถปฏิบัติตามสุนนะฮ์ด้วยการละหมาดอีดที่ลานกว้าง และสามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขของจุฬาฯ (ทูอินวัน)

4. แม้สังคมส่วนใหญ่อาจลำบากใจที่จะปฏิบัติตามสุนนะฮ์กรณีละหมาดอีดที่ลานกว้าง แต่อาจสบายใจที่จะละหมาดอีดที่ลานกว้างเนื่องจากโควิด-19 ก็ได้

5. สังคมมุสลิมใน 3 จังหวัดเคยจัดละหมาดฮายัตระดับจังหวัดใหญ่โตมาแล้วหลายครั้ง คิดว่าหากจัดละหมาดอีด คงไม่มีปัญหาอะไร ที่สำคัญสามารถฟื้นฟูสุนนะฮ์นบีในสถานการณ์วิกฤตนี้

สถานการณ์ ข้อจำกัด ความสะดวก ความปลอดภัยและความพร้อม เอื้อที่สุดแล้วครับ
เพียงแต่สภาพอากาศคอยเป็นใจให้ก็แล้วกัน


โดย ผศ. มัสลัน มาหะมะ

การพิชิตกรุงคอนสแตนติโนเปิล ปี ฮ.ศ. 857/ค.ศ. 1453

วิพากษ์หนังสือ
فتح القسطنطينية 857 هـ/1453م
(การพิชิตกรุงคอนสแตนติโนเปิล ปี ฮ.ศ. 857/ค.ศ. 1453)
ผู้เขียน ดร.ฟัยศ็อล อับดุลลอฮฺ อัลกันดะรีย์
สำนักพิมพ์ มักตะบะฮฺ อัลฟะลาหฺ คูเวต

หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือประวัติศาสตร์ที่เขียนด้วยภาษาอาหรับ โดย ดร.ฟัยศ็อล อัลกันดะรีย์ อาจารย์ประวัติศาสตร์สมัยใหม่ สาขาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยคูเวต หน้าปกด้านบนประกอบด้วยภาพวาดส่วนหัวของสุลต่านมุหัมมัดที่สอง หรือมุหัมมัด อัลฟาติหฺตั้งอยู่ด้านขวาของพยางค์แรกของชื่อหนังสือที่ว่า “ฟัตหุ” ที่แปลว่า “การพิชิต” และตามด้วยพยางค์ที่สองที่ว่า “อัลกุสฏอนฏีนียะฮฺ” ที่แปลว่า “กรุงคอนสแตนติโนเปิล” ซึ่งเท่ากับเป็นการสื่อให้ผู้อ่านได้จินตนาการถึงเนื้อหาโดยรวมของหนังสือว่าสุลต่านมุหัมมัดที่สองคือผู้ที่พิชิตกรุงคอนสแตนติโนเปิลอย่างแท้จริง ส่วนด้านล่างเป็นภาพมัสยิดอะยาโซเฟียซึ่งตั้งอยู่ในกรุงคอนสแตนติโนเปิลหรือกรุงอิสตันบูลในปัจจุบัน อันเป็นสัญลักษณ์สันติภาพ เพราะสุลต่านมุหัมมัดได้ใช้สถานที่แห่งนี้ประกาศสันติภาพแก่บรรดานักบวชคริสต์และชาวกรุงคอนสแตนติโนเปิลทุกคน ซึ่งนับว่าเป็นการบรรยายถึงสภาพของการพิชิตกรุงคอนสแตนติโนเปิลได้อย่างรวบรัดและดีเยี่ยม เพียงลักษณะของปกนอกผู้อ่านก็สามารถจินตนาการและเข้าถึงเนื้อหาโดยรวมได้อย่างแจ่มแจ้งแล้ว

หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือปกแข็ง มีขนาด 18×25 ซม. เนื้อหามีจำนวน 216 หน้า ประกอบด้วย 2 ภาคไม่รวมบทนำ
ผู้เขียนได้ชี้แจงถึงแนวทางการเขียนหนังสือเล่มนี้ว่า จะใช้วิธีนำเสนอข้อมูลทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับความพยายามพิชิตกรุงคอนสแตนติโนเปิลของชาวมุสลิมควบคู่กับการวิจารย์ต่อความพยายามแต่ละครั้ง นับตั้งแต่ความพยายามครั้งแรกที่เกิดขึ้นในปี ฮ.ศ. 49 (ค.ศ. 699) จนกระทั่งความพยายามครั้งสุดท้ายที่สามารถพิชิตกรุงคอนสแตนติโนเปิลในปี ฮ.ศ. 857 (ค.ศ. 1453)
เนื่อหาโดยสรุปของหนังสือเล่มนี้ประกอบด้วย บทนำ ซึ่งผู้เขียนได้บรรยายอย่างรวบรัดถึงประวัติความเป็นมาของกรุงคอนสแตนติโนเปิลว่าเดิมทีเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรไบแซนไทน์หรือโรมันตะวันออก ก่อนที่จะถูกพิชิตลงและถูกเปลี่ยนชื่อเป็นอิสตันบูลจนกระทั่งปัจจุบัน และสาธยายถึงความสำคัญด้านที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่ลำบากยิ่งแก่การบุกโจมตี จนกลายเป็นที่หมายปองของบรรดามหาอำนาจและนักล่าอาณานิคม ถึงขนาดนาโปเลียนกล่าวย้ำว่า “คอนสแตนติโนเปิลเปรียบเสมือนกุญแจโลก ผู้ใดที่สามารถครอบครองมัน เขาก็จะสามารถครอบครองโลกทั้งผอง”

ภาคแรก ผู้เขียนได้แบ่งความพยายามในการพิชิตดังกล่าวออกเป็นสามช่วง คือ
ส่วนแรก เป็นความพยายามที่เกิดขึ้นในช่วงการปกครองของอาณาจักรอะมะวียะฮฺ ซึ่งได้มีการปิดล้อมกรุงคอนสแตนติโนเปิลจำนวนสองครั้ง ครั้งแรกเกิดขึ้นในปี ฮ.ศ. 49 (ค.ศ. 668) ภายใต้การนำทัพของยะซีด บิน มุอาวิยะฮฺ ในสมัยการปกครองของเคาะลีฟะฮฺมุอาวิยะฮฺ บิน อบีสุฟยาน ผู้เป็นบิดา มีเศาะหาบะฮฺหลายท่านที่ทำสงครามในครั้งนี้ อาทิ อับดุลลอฮฺ บิน อุมัร อับดุลลอฮฺ บิน อับบาส อับดุลลอฮฺ บิน ซุเบร หุเสน บิน อาลี และอบูอัยยูบ อัล-อันศอรีย์ ซึ่งต่อมาท่านได้เสียชีวิตลงที่นี่
การปิดล้อมดังกล่าวได้ยืดเยื้อกินเวลาถึงแปดปีเต็ม จนเป็นที่รู้จักกันในนามของสงครามแปดปี จนสุดท้ายกองทัพมุสลิมจำเป็นต้องถอยทัพกลับโดยปราศจากชัยชนะหลังจากที่ต้องสูญเสียกำลังพลร่วม 30,000 คน
ครั้งที่สองเกิดขึ้นในสมัยการปกครองของเคาะลีฟะฮฺ สุลัยมาน บิน อับดุลมะลิกปี ฮ.ศ. 99 (ค.ศ. 717) ภายใต้การนำทัพของมัสละมะฮฺ บิน อับดุลมะลิก โดยได้กรีฑาทัพด้วยจำนวนพลมากกว่า 120,000 นาย แต่หลังจากที่กองทัพมุสลิมได้ปิดล้อมกรุงคอนสแตนติโนเปิลเกือบครบหนึ่งปี สุดท้ายกองทัพมุสลิมก็ต้องถอยทัพกลับโดยปราศจากชัยชนะ เนื่องจากการเสียชีวิตอย่างกระทันหันของเคาะลีฟะฮฺสุลัยมาน บิน อับดุลมะลิก และมีคำสั่งจากเคาะลีฟะฮฺคนใหม่ (อุมัร บิน อับดุลอะซีซ) ให้ถอนทัพกลับ หลังจากที่พบว่ากองทัพมุสลิมต้องประสบกับโรคระบาดและได้สูญเสียกำลังพลจำนวนมาก

ผู้เขียนได้สรุปถึงสาเหตุและปัญหาที่ทำให้กองทัพมุสลิมที่นำโดยมัสละมะฮฺต้องพ่ายแพ้และถอยทัพกลับโดยปราศจากชัยชนะว่า
1. กำแพงที่หนาแน่นและแข็งแกร่งที่ปิดล้อมทุกด้านของกรุงคอนสแตนติโนเปิลอยู่ ทำให้กองทัพมุสลิมไม่สามารถที่จะทลวงเข้าไปได้
2. สภาพที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ของกรุงคอนสแตนติโนเปิลที่รายล้อมด้วยทะเลทั้งสามด้านทำให้ยากต่อการโจมตี
3. อิทธิพลทางทางด้านภูมิศาสตร์และสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการดำเนินการทางการทหาร โดยเฉพาะทางทะเล เนื่องจากเป็นช่วงที่มีลมแรงจนไม่สามารถบังคับเรือให้แล่นตามยุทธศาสตร์ที่ได้กำหนดไว้ ทั้งยังเป็นช่วงฤดูหนาวที่มีหิมะตกชุกจนกองทัพไม่สามารถรุกลั้มเข้าไปโจมตีเป้าหมายได้
4. กรุงคอนสแตนติโนเปิลได้รับการสนับสนุนทางทหารจากประเทศในแถบยุโรป เช่น บัลแกเรีย ทำให้กองทัพของมัสละมะฮฺต้องสังเวยไปจำนวน 22,000 นาย
5. การเสียชีวิตของเคาะลีฟะฮฺ สุลัยมาน บิน อับดุลมะลิก ทำให้กองทัพเสียขวัญและไม่มีกำลังใจที่จะทำสงครามอีกต่อไป

ส่วนที่สอง เป็นความพยายามที่เกิดขึ้นในช่วงการปกครองของอาณาจักรอับบาสิยะฮฺ ซึ่งได้มีการยกทัพไปตีกรุงคอนสแตนติโนเปิลถึงสองครั้งเช่นกัน
ครั้งแรกเกิดขึ้นในปี ฮ.ศ. 165 (ค.ศ. 781) ในสมัยการปกครองของเคาะลีฟะฮฺ อัลมะฮฺดี ภายใต้การนำทัพของบุตรชายฮารูน อัรเราะชีด และการปิดล้อมสิ้นสุดด้วยการทำสนธิสัญญาสงบศึก โดยผู้ปกครองกรุงคอนสแตนติโนเปิลยอมจ่ายเงินจำนวน 70,000 หรือ 90,000 ดีนารต่อปีเพื่อแลกกับสันติภาพ
ส่วนครั้งที่สองเกิดขึ้นในปี ฮ.ศ. 190 (ค.ศ. 805) เป็นการยกทัพของฮารูน อัรเราะชีด ขณะที่ท่านดำรงตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺ และได้ทำการปิดล้อมเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม จนสุดท้ายผู้ปกครองกรุงคอนสแตนติโนเปิลยอมเจรจาและทำหนังสัญญาสงบศึกด้วยการจ่ายส่วยเป็นจำนวนเงิน 50,000 ดีนาร

และส่วนที่สาม เป็นความพยายามที่เกิดขึ้นในช่วงการปกครองของอาณาจักรอุษมานียะฮฺ ซึ่งได้มีการยกทัพเพื่อพิชิตกรุงคอนสแตนติโนเปิลถึงสี่ครั้งด้วยกัน
ครั้งแรกเกิดขึ้นในปี ฮ.ศ. 798 (ค.ศ. 1396) ในสมัยการปกครองของสุลต่านบายะซีดที่หนึ่ง แต่กองทัพอุษมานียะฮฺปิดล้อมกรุงคอนสแตนติโนเปิลได้ไม่นานก็ต้องถอยทัพกลับเพื่อไปเผชิญหน้ากับกองทัพครูเสดที่ยกทัพมาเพื่อช่วยเหลือกรุงคอนสแตนติโนเปิล
ครั้งที่สองเกิดขึ้นในปี ฮ.ศ. 825 (ค.ศ. 1422) ในสมัยการปกครองของสุลต่านมุรอดที่สอง ชนวนของเหตุการณ์เกิดจากการที่กษัตริย์กรุงคอนสแตนติโนเปิลเขียนหนังสือถึงสุลต่านมุรอดขอร้องไม่ให้โจมตีกรุงคอนสแตนติโนเปิล แต่สุลต่านปฏิเสธ ดังนั้นกษัตริย์กรุงคอนสแตนติโนเปิลจึงมุสตอฟาผู้เป็นอาของสุลต่าน และมอบกองทหารพร้อมอาวุธจำนวนหนึ่งเพื่อให้ช่วงชิงบัลลังก์มาจากสุลต่านในฐานะที่เขาเป็นผู้ที่กษัตริย์กรุงคอนสแตนติโนเปิลเสนอชื่อให้เป็นสุลต่านแทนมุรอด สุดท้ายสุลต่านมุรอดก็สามารถกำราบมุสตอฟาลงด้วยการกรีฑาทัพจำนวน 200,000 นาย
และครั้งที่สามเกิดขึ้นในสมัยการปกครองของสุลต่านมุหัมมัดที่สอง ซึ่งสามารถพิชิตกรุงคอนสแตนติโนเปิลได้สำเร็จในปี ฮ.ศ. 857 (ค.ศ. 1453) โดยผู้เขียนได้เน้นรายละเอียดของความพยายามในครั้งสุดท้ายนี้ที่นำทัพโดยสุลต่านมุหัมมัดที่สอง เพื่อให้ได้ประจักษ์ถึงสาเหตุที่นำไปสู่ความสำเร็จในการพิชิตกรุงคอนสแตนติโนเปิลในครั้งนี้ หลังจากชาวมุสลิมได้ล้มเหลวมาแล้วถึงเจ็ดครั้ง
ก่อนที่จะก้าวไปยังภาคที่สอง ผู้เขียนได้ตบท้ายภาคแรกด้วยภาคผนวกที่ประกอบด้วย 6 ภาคผนวก ทั้งหมดเป็นสารที่สุลต่านมุหัมมัด อัล-ฟาติหฺส่งไปยังเมืองต่างๆ เพื่อแจ้งข่าวดีเกี่ยวกับการพิชิตกรุงคอนสแตนติโนเปิล และสารตอบกลับเพื่อแสดงความยินดีกับสุลต่านมุหัมมัดจากเจ้าเมืองต่างๆ อันประกอบด้วย เจ้าเมืองแห่งอียิปต์ เจ้าเมืองแห่งมักกะฮฺ และเจ้าเมืองแห่งอิหร่าน

ส่วนภาคที่สอง ผู้เขียนได้นำเสนอเนื้อหาที่แปลมาจากบันทึกประจำวันของแพทย์ผ่าตัดชาวอิตาลีท่านหนึ่งมีชื่อว่า นิโคโล บัรบะโร (Nicolo Barbaro) ซึ่งเป็นผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ในสมัยที่สุลต่านมุหัมมัดที่สองกำลังปิดล้อมและพิชิตกรุงคอนสแตนติโนเปิล ซึ่งผู้เขียนเห็นว่า เป็นข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญยิ่ง เพราะเป็นข้อมูลที่น่าเชื่อถือยิ่ง ซึ่งได้จากผู้ที่เห็นเหตุการณ์และอยู่ในเหตุการณ์จริง และส่วนหนึ่งที่นับว่าเป็นข้อมูลสำคัญยิ่งของบันทึกบัรบาโรคือ รายชื่อต่างๆของผู้ที่ร่วมทำสงครามเพื่อปกป้องกรุงคอนสแตนติโนเปิล และรายชื่อของเรือ พร้อมกับกัปตันเรือ
จุดเด่นที่เพิ่มคุณค่าให้แก่หนังสือเล่มนี้ ประการหนึ่งคือ ทุกครั้งที่ผู้เขียนกล่าวถึงปีที่เกิดเหตุการณ์ ผู้เขียนมักจะระบุเสมอว่าตรงกับปีใดของคริสต์ศักราช เช่นเดียวกับรายชื่อของเมืองต่างๆ และบุคคลที่ถูกกล่าวถึงผู้เขียนจะกำกับด้วยภาษาอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจ ที่สำคัญ ผู้เขียนยังอธิบายคำศัพท์บางคำไว้ที่เชิงอรรถด้วย รวมถึงรายละเอียดโดยย่อของบุคคลสำคัญที่ถูกกล่าวถึง ว่ามีชื่อเต็มว่าอย่างไร เกิดเมื่อไหร่ เสียชีวิตปีใด และมีตำแหน่งอะไรเป็นต้น ซึ่งน้อยมากที่เราจะพบหนังสือประวัติศาสตร์อิสลามที่ได้รับการกำกับอย่างนี้

ส่วนจุดเด่นอีกประการหนึ่งที่ช่วยเพิ่มราศีและความขลังของหนังสือเล่มนี้คือ ผู้เขียนจะสอดแทรกคำอธิบายด้วยภาพประกอบต่างๆที่เกี่ยวเนื่องกับเหตุการณ์ เช่นแผนผังที่ตั้งทางภูมิศาสตร์และกำแพงเมืองของกรุงคอนสแตนติโนเปิล แผนผังยุทธวิธีการโจมตีและที่ตั้งของกองทหาร เป็นต้น ทำให้ผู้อ่านได้ประจักษ์ และเพิ่มความเข้าใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างดีเยี่ยม
และจุดเด่นที่ผู้วิพากษ์คิดว่าเป็นหน้าตาและมีความสำคัญที่สุดสำหรับงานเขียนประวัติศาสตร์คือการวิพากษ์ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ซึ่งผู้เขียนทำได้ดีทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นการวิพากษ์ด้านความน่าเชื่อถือของข้อมูลและแหล่งที่มา หรือการจรรโลงข้อมูลเข้าด้วยกันในกรณีที่พบการบันทึกที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่นความขัดแย้งเกี่ยวกับจำนวนของกองทัพมุสลิมที่นำทัพโดยมัสละมะฮฺว่ามีจำนวนเท่าใด ซึ่งผู้เขียนกล่าวว่า “นักประวัติศาสตร์บางท่านระบุว่ามีจำนวน 120,000 นาย ในขณะที่นักประวัติศาสตร์บางท่านระบุว่า มีจำนวนถึง 180,000 นาย” แล้วผู้เขียนกล่าวสรุปว่า “ตามที่มีบันทึกในแหล่งอ้างอิงภาษาอาหรับ (หมายถึงหนังสือประวัติศาสตร์อิสลาม) เราสามารถกล่าวได้ว่า จำนวนกองทัพมุสลิมมีมากกว่า 120,000 นาย” เป็นต้น

ในส่วนของแหล่งอ้างอิง ก็ต้องขอชมเชยผู้เขียนที่ได้ผสมผสานระหว่างแหล่งอ้างอิงที่มาจากหนังสือภาษาอาหรับที่เขียนโดยนักประวัติศาสตร์มุสลิมกับแหล่งอ้างอิงภาษาอื่นๆที่เขียนโดยนักประวัติศาสตร์ที่ไม่ใช่มุสลิม ทั้งที่เป็นแหล่งอ้างอิงภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส และภาษาสเปน ซึ่งส่วนหนึ่งได้ถูกแปลเป็นภาษาอาหรับแล้ว ทำให้เพิ่มคุณค่าและน้ำหนักความน่าเชื่อถือของข้อมูลมากยิ่งขึ้น

จุดเดียวที่ผู้วิพากษ์เห็นว่า เป็นจุดอ่อนของหนังสือเล่มนี้คือ การสร้างเชิงอรรถของผู้เขียน ซึ่งผู้เขียนเลือกทำเชิงอรรถในส่วนท้ายหลังจากที่จบภาคไปแล้ว ทำให้เกิดความยุ่งยากและรู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งที่ต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมที่ผู้เขียนได้อธิบายไว้ที่เชิงอรรถ ซึ่งหนังสือทั่วไปมักจะเขียนเชิงอรรถไว้ด้านล่างของของแต่ละหน้าทันที ทำให้สะดวกต่อการติดตาม
ในการปิดท้ายของการวิพากษ์หนังสือเล่มนี้ ผู้วิพากษ์ขอกล่าวว่า หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือประวัติศาสตร์ที่ทรงคุณค่าเล่มหนึ่งที่เรืองด้วยข้อมูลและแหล่งอ้างอิงที่หลากหลาย เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่กำลังศึกษาด้านประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับการพิชิตกรุงคอนสแตนติโนเปิล

วิพากษ์โดย Ibn Idris Al Yusof

ฟัตวาสหพันธ์อุลามาอ์อิสลามนานาชาติ ว่าด้วยการยืนเข้าแถวห่างๆ ในละหมาดช่วง COVID-19

● ฟัตวาสหพันธ์อุลามาอ์อิสลามนานาชาติ (IUMS – International Union for Muslim Scholars) ว่าด้วยการยืนเข้าแถวห่างๆ ในละหมาดอันเนื่องจากไวรัสโคโรน่า

بسم الله الرحمن الرحيم

ฟัตวาเลขที่ 15
วันที่ 15 รอมฎอน 1441 / 08 พฤษภาคม 2020

ข้อชี้ขาดเกี่ยวกับการยืนเข้าแถวห่างๆ ในละหมาดอันเนื่องจากโคโรน่า

الحمد لله، والصلاة والسلام على رسول الله،

การละหมาดญามาอะฮ์เป็นเครื่องหมายของอิสลาม เป็นพิธีกรรมทางศาสนาที่มีเป้าหมายชัดเจน เป็นดัชนีบ่งชี้ถึงความประเสริฐและการเจริญรอยตามท่านนบี ศอลฯ มีหลักการ เงื่อนไข และแนวปฏิบัติที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายและการเป็นเครื่องหมายอิสลามได้อย่างงดงามสมบูรณ์ที่สุด ตามที่ท่านนบี ศอลฯ ได้สอนและได้ปฏิบัติให้เห็นเป็นแบบอย่างถึงการตามอิหม่าม ด้วยการเข้าแถวแนบชิด เท้าชิดและหัวใจที่สมัครสมานไม่ห่างเหินกัน

หากเกิดข้อบกพร่องในลักษณะดังกล่าว อันเนื่องจากเหตุผลต่างๆ เช่น มีฝากั้น หรือการกลัวโรคระบาด มีหลักการดังนี้

1. ยืนยันว่าศูนย์ฟิกฮ์และศูนย์ฟัตวาต่างๆ เห็นพ้องกันว่า อนุญาตให้งดเว้นการละหมาดวันศุกร์และละหมาดญามาอะฮ์ เพื่อป้องกันการติดเชื้อและการแพร่เชื้อโคโรน่า เนื่องจากบทบัญญัติอิสลามวางอยู่บนหลักสะดวก ไม่สร้างภาระ ไม่เป็นภัยต่อบุคคลและสังคม ตามหลักฐานในฟัตวาก่อน

2. การประเมินถึงภัยอันตรายอันจะเกิดเนื่องจากการชุมนุมในสถานที่ใดๆ เป็นอำนาจของฝ่ายสาธารณสุขที่เกี่ยวข้อง

มุสลิมมีหน้าที่ปฏิบัติตามมาตรการของฝ่ายสาธารณสุขที่เกี่ยวข้องดังกล่าวโดยเคร่งครัด

การปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าวถือเป็นสิ่งวาญิบ เพราะการละเมิดฝ่าฝืนอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต

ซึ่งอัลลอฮ์ห้ามการฆ่าตัวเอง โดยกล่าวว่า

وَلَا تَقْتُلُوا أَنْفُسَكُمْ إِنَّ اللَّهَ كَانَ بِكُمْ رَحِيمًا : النساء:29

และพวกท่านอย่าได้ฆ่าตัวเอง แท้จริงอัลลอฮเมตตาต่อพวกท่าน [ อันนิสาอ์ : 29 ]

3. การเข้าแถวละหมาดโดยแนบชิดเป็นหลักการอิสลามที่ท่านนบี ศอลฯ กำหนด ดังหะดีษจำนวนมาก

ซึ่งนักวิชาการส่วนใหญ่เห็นว่า ข้อกำหนดเรื่องวิธีการเข้าแถวละหมาดเป็นสุนัต ไม่ใช่วาญิบ และเห็นพ้องกันว่า การปฏิบัติไม่ถูกต้องตามข้อกำหนดเรื่องการเข้าแถว ไม่ว่าโดยเจตนาหรือไม่เจตนา ก็ไม่ทำให้เสียละหมาด

4. การละหมาดโดยการยืนเข้าแถวห่างๆ ถือว่าเป็นการละหมาดที่ใช้ได้

รวมถึงการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการติดเชื้อ ตามอายุ และสุขภาพของผู้ละหมาด ตลอดจนมาตรการฆ่าเชื้อก่อนเข้ามัสยิด หรือการฆ่าเชื้อทำความสะอาดสถานที่

ดังนั้น ไม่มีความผิดใดๆ จากการละหมาดที่ยืนห่างๆกัน ตามระยะที่ประกันความปลอดภัยได้

เพราะว่านักวิชาการส่วนใหญ่เห็นว่า การยืนห่างๆ ในละหมาดจะเป็นความผิดในระดับมักรูฮก็ต่อเมื่ออยู่สภาวะปกติเท่านั้น แต่ในกรณีจำเป็นสุดวิสัย ความผิดดังกล่าวก็ตกไป ตามหลักที่ว่าความผิดในระดับมักรูฮ์ตกไปเมื่ออยู่สภาวะไม่ปกติแม้เพียงเล็กน้อย

การฝ่าฝืนมาตรการด้านสาธารณสุขที่ห้ามชุมนุมเพื่อการละหมาดดังกล่าว ด้วยการไม่ปฏิบัติตาม ไม่ให้ความร่วมมือ ถือเป็นการกระทำที่เป็นบาป ผู้ฝ่าฝืนจะมีความผิดและต้องรับผิดชอบโดยสมบูรณ์ต่อความเสียหายอันเกิดขึ้นเนื่องจากการฝ่าฝืนมาตรการเหล่านั้น เพราะศูนย์ฟิกฮ์และศูนย์ฟัตวาต่างๆ ถือว่าเป็นการทำบาปจากการทำให้ตนเองและสังคมเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคร้าย

والله أعلم ، وصلى الله على سيدنا محمد وآله وسلم .

والحمد لله رب العالمين.

คณะกรรมการฟิกฮ์และฟัตวา สหพันธ์อุลามาอ์อิสลามนานาชาติ

ศ.ดร.นูรุดดีน อัลคอดิมีย์ ประธานคณะกรรมการ
ดร.ฟัฎล์ มุร๊อด กรรมการและผู้ร่างคำฟัตวา
ศ.ดร.อะหมัด จาบุลลอฮ์ กรรมการ
ชัยค์ ดร.ซุลตอน อัลฮาชิมีย์ กรรมการ
ชัยค์ ดร.อะหมัด กาฟี กรรมการ
ชัยค์วานีส อัลมับรูก กรรมการ
ชัยค์ซาลิม อัลชัยคีย์ กรรมการ
ศ.ดร.ซอและห์ ซังกีย์ กรรมการ
ชัยค์ ดร.มุฮัมมัด รอยิส กรรมการ
ศ.ดร.อาลี ฆ๊อรเราะฮ์ดาฆีย์ เลขาธิการสหพันธ์
ศ.ดร.อะหมัด รัยซูนีย์ ประธานสหพันธ์

■ อ่านฟัตวาต้นฉบับ
http://www.iumsonline.org/ar/ContentDetails.aspx?ID=11517

แปลสรุปโดย Ghazali Benmad

การละหมาดตารอเวียะห์ตามการถ่ายทอดสด ข้อบ่งชี้และแนวโน้ม ( ตอนที่ 1)

บทความโดย ดร.คอลิด หานาฟีย์
– ประธานคณะกรรมการฟัตวา เยอรมัน
– ประธานสภาอิหม่ามและนักวิชาการในประเทศเยอรมัน
– รองเลขาธิการสภายุโรปเพื่อการฟัตวาและการวิจัย (ECFR)
– สมาชิกสหพันธ์อุลามาอ์อิสลามนานาชาติ (IUMS)
เผยแพร่เมื่อ 25 เมษายน 2563

การระบาดครั้งใหญ่ของโควิด-19 บังคับให้นักฟิกฮ์และนักอิจติฮาด-วินิจฉัย- ต้องทำการศึกษาวิจัย วิเคราะห์และวินิจฉัยต่อกรณีใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น ในบางกรณีก็เห็นพ้องกัน แต่บางกรณีก็เห็นต่างกัน และสิ่งที่พวกเขาพ้องกันมีมากกว่าที่เห็นต่าง ประเด็นสำคัญที่สุดที่เห็นต่างกัน ได้แก่ประเด็นการละหมาดตารอเวียะห์ตามการถ่ายทอดสด แม้ว่าบรรดาศูนย์ฟิกฮ์ทั้งหมด เท่าที่ทราบ ล้วนฟัตวาห้ามการกระทำดังกล่าว แต่ก็มีนักฟิกฮ์และนักอิจติฮาดที่มีชื่อเสียงจำนวนหนึ่งฟัตวาว่า อนุญาต ซึ่งไม่มีใครกังขาในความเคร่งครัดศาสนา ความรู้และความหวังดีต่อศาสนาของพวกเขาเหล่านั้น ตลอดจนความปรารถนาดีของพวกเขาที่ต้องการให้ผู้คนผูกพันอยู่กับละหมาดญามาอะฮ์และมัสยิด

บรรดานักอิจติฮาดล้วนได้รับผลบุญ เราจึงไม่ควรอึดอัดกับความเห็นที่แตกต่างออกไป และควรที่จะสร้างบรรยากาศที่ส่งเสริมการอิจติฮาด ไม่ว่าผลของการอิจญ์ติฮาดจะออกมาประหลาดพิศดารแค่ไหนก็ตาม ตราบใดที่ตั้งอยู่บนฐานทางวิชาการที่ถูกต้อง และหากจำเป็นเราก็มีหน้าที่วิพากษ์ โต้แย้งด้วยความเป็นกลางตามหลักวิชาการ

นี่คือกระบวนการอิจญ์ติฮาดที่นำมาซึ่งความรู้ใหม่ที่พึงประสงค์ด้วยวิธีการที่ถูกต้อง

วัตถุประสงค์ของบทความนี้มิใช่เพื่อสนับสนุน ยกย่องหรือโจมตีทัศนะใดๆ เพียงต้องการชี้ให้เห็นถึงดัชนีและแนวโน้มที่เป็นประโยชน์สำหรับการวิเคราะห์วินิจฉัยกรณีใหม่ที่เกิดขึ้นเท่านั้น

●● ประการแรก : ข้อบ่งชี้
● 1. วิธีการให้เหตุผลที่สับสนและการขัดกันของหลักฐาน
สิ่งแรกที่สังเกตเห็นคือ บรรดานักฟิกฮ์ฝ่ายที่เห็นว่าอนุญาตให้ละหมาดตามอิหม่ามผ่านสื่อถ่ายทอดสด คือความไม่ชัดเจนและขัดกันของการให้เหตุผล
เช่น การรวมกันระหว่างการอ้างหลักการ “อะไรที่ไม่มีคำสั่งห้ามถือว่าอนุญาต ” (อิบาหะฮ์อัศลียะฮ์) และหลักกรณีสุดวิสัย(ฎอรูเราะฮ์) ซึ่ง 2 หลักการนี้ไม่สามารถรวมกันได้

ทั้งนี้ ฝ่ายที่เห็นว่าการละหมาดตามอิหม่ามผ่านสื่อถ่ายทอดสดเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ได้อ้างอิงความเห็นจากตำรามัซฮับมาลิกที่อนุญาตให้ตามอิหม่ามที่ห่างออกไปเป็นระยะไกลอันเป็นกรณีปกติในมัซฮับมาลิก ไม่ใช่กรณีสุดวิสัยเช่นในสถานการณ์โควิด-19 การจำกัดให้ใช้เฉพาะในสถานการณ์สุดวิสัยจึงเป็นการปรับใช้และการให้เหตุผลที่ไม่สอดคล้องกับกรณี

นอกจากนั้น การอ้างว่าสุดวิสัยก็ไม่ถูกต้อง เพราะมีวิธีการอื่นทดแทนได้ นั่นคือการละหมาดที่บ้าน

หากการละหมาดตารอเวียะห์ตามอิหม่ามผ่านการถ่ายทอดสด สามารถกระทำได้ ทำไมไม่อนุญาตในกรณีละหมาดวันศุกร์ ทั้งๆที่จำเป็นมากกว่า เพราะเป็นวาญิบ ในขณะที่ละหมาดตารอเวียะห์เป็นอิบาดะฮ์ภาคนาฟิล (ส่งเสริมตามความสมัครใจ)

การขัดกันของการให้เหตุผลอีกประการหนึ่ง ได้แก่ การอนุญาตให้ตามอิหม่ามผ่านการถ่ายทอดสดในการละหมาดภาคนาฟิล แต่ห้ามปฏิบัติในการละหมาดภาคฟัรฎูผ่านการถ่ายทอดสด ทั้งๆที่หลักฐานที่อ้างถึงไม่ได้แยกระหว่างละหมาดทั้งสองประเภทดังกล่าว

ซึ่งบรรดาปราชญ์ไม่ได้แยกแยะเงื่อนไขการตามอิหม่ามในการละหมาดทั้งสองประเภท หะดีษกำหนดวิธีการตามอิหม่ามก็ไม่ได้แยกแยะ

ความต่างระหว่างละหมาดทั้งสองประเภท ล้วนเป็นกรณีที่ตัวบททางศาสนาระบุไว้เท่านั้น เช่น หะดีษอนุญาตละหมาดภาคนาฟิลบนพาหนะ

การขัดกันของหลักฐานประการที่ 3 คือ มีบางท่านกำหนดว่า ให้ตามได้เฉพาะอิหม่ามประจำหมู่บ้าน อันเป็นการกำหนดที่ปราศจากหลักฐานอ้างอิง เพราะเหตุผลที่ฝ่ายนี้อ้างคือ “การได้ยินและการเห็นที่ชัดเจน” ซึ่งเป็นกรณีที่ไม่จำกัดเฉพาะการตามอิหม่ามในหมู่บ้านเท่านั้น เพราะเหตุผลดังกล่าวยังสามารถตามอิหม่ามมัสยิดหะรอมที่แม้เวลาจะคลาดเคลื่อนกันก็ได้ เพราะหลักฐานที่อ้างไม่มีระบุถึงเรื่องของเวลาแต่ประการใด

● 2. นักวิชาการด้านฟิกฮ์ทำให้การฝ่าฝืนหลักการจัดลำดับความสำคัญในหมู่ประชาชาติอิสลามยิ่งหยั่งลึกมากขึ้น

นักวิชาการและนักเผยแผ่ศาสนา มักพูดถึงวิกฤติของศาสตร์ว่าด้วยการขาดการจัดลำดับความสำคัญ และถือเป็นเหตุผลข้อหนึ่งของการถดถอยทางอารยธรรมในสังคมมุสลิม

จากปรากฏการณ์ปัญหาที่กำลังพูดถึง นักวิชาการและนักฟิกฮ์กลับทำให้ปัญหานี้บานปลายมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ โดยหลักการพื้นฐานแล้ว การละหมาดตารอเวียะห์ให้กระทำที่บ้าน ความสนใจที่มากเกินไปจากนักวิชาการในการพยายามที่จะคิดค้นรูปแบบใหม่เชิงอิเล็กทรอนิกส์เพื่อการละหมาดในรูปแบบญามาอะฮ์ในมัสยิด จะเป็นการส่งเสริมมโนทัศน์ผิดๆของสังคมเกี่ยวกับละหมาดภาคนาฟิลที่ควรกระทำที่บ้านมากกว่า รวมถึงจารีตการให้ความสำคัญกับละหมาดนาฟิล เช่น ละหมาดตารอเวียะห์หรือละหมาดอีด มากกว่าละหมาดภาคฟัรดู

ในสถานการณ์เช่นนี้ น่าจะถือเป็นโอกาสเหมาะอย่างยิ่งที่จะให้สังคมเคยชินกับการละหมาดภาคนาฟิลที่บ้านตามหลักการเดิม

● 3.ค่านิยมการอิจติฮาด (วินิจฉัย) ส่วนบุคคล เหนือกว่าค่านิยมการอิจติฮาดแบบองค์คณะและสถาบัน

การอิจติฮาดแบบองค์คณะที่ตั้งอยู่บนการปรึกษาหารือและการโต้แย้งเป็นแนวทางฟัตวาในยุคซอฮาบะฮ์และตาบิอีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีใหม่ๆ ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ดังแนวปฏิบัติของท่านอบูบักร เมื่อมีกรณีเกิดขึ้น ท่านก็จะพิจารณาจากอัลกุรอาน หากไม่มีก็จะพิจารณาจากซุนนะฮ์ หากไม่มีก็จะถามผู้คนว่ามีใครทราบไหมว่า ท่านรอซูลุลลอฮ์ (ขอความสันติและความจำเริญจงประสบแด่ท่าน) เคยตัดสินว่าอย่างไร หากมีคนบอก ก็จะตัดสินตามนั้น หากไม่มีก็จะปรึกษาหารือกับบรรดาผู้นำซอฮาบะฮ์ หากพวกเขามีความเห็นเช่นไรก็จะตัดสินตามนั้น

ซึ่งนอกจากท่านอบูบักรแล้ว ท่านอุมัรและบรรดาซอฮาบะฮ์อาวุโสก็ใช้แนวทางดังกล่าวเช่นกัน

การฟัตวาแบบองค์คณะตามรูปแบบของซอฮาบะฮ์เหล่านั้น จึงเป็นแนวทางที่นักวิชาการร่วมสมัยเห็นพ้องกัน และมีการเรียกร้องให้ประยุกต์ใช้ในสถาบันฟัตวาร่วมสมัย สถาบันฟัตวาที่ใช้การฟัตวาแบบองค์คณะจึงเกิดขึ้นมากมายทั้งในโลกตะวันออกและโลกตะวันตก

ไม่แปลกเลย ที่ความซับซ้อนและเชื่อมโยงของกรณีใหม่ๆในปัจจุบันจะเหมาะสมกับการวินิจฉัยแบบองค์คณะมากกว่าการวินิจฉัยคนเดียว

ยิ่งไปกว่านั้น โลกปัจจุบันไม่ยอมรับระบบการทำงานแบบข้ามาคนเดียวในการศึกษาวิจัย แต่มักจะใช้ระบบการทำงานเป็นทีม

ซึ่งจากจุดนี้จะเห็นว่า บรรดาสถาบันด้านฟิกฮ์ ไม่รีรอที่จะออกมาแถลงปฏิเสธการละหมาดตามอิหม่ามผ่านการถ่ายทอดสดออนไลน์ เช่น สภายุโรปเพื่อการวิจัยและฟัตวา ,ศูนย์ฟิกฮ์นานาชาติขององค์กรโอไอซี , สภานักฟิกฮ์แห่งอเมริกา, สภากิบารอุลามาอ์ ซาอุดิอาระเบีย ,สภาอิสลามสูงสุด ตุรกี, สภาวิจัยอิสลาม -มัจมะ บุหูษอิสลามียะฮ์- อียิปต์ และสหพันธ์อุลามาอ์อิสลามนานาชาติ

แต่ถึงกระนั้น ก็มีนักฟิกฮ์จำนวนหนึ่ง ซึ่งบางท่านเป็นสมาชิกสภาต่างๆดังกล่าว ออกมาแสดงทัศนะแตกต่างจากทัศนะขององค์กรเหล่านั้น

ข้าพเจ้าเห็นว่า ปรากฏการณ์ดังกล่าวสะท้อนถึงวัฒนธรรมการนิยมวินิจฉัยคนเดียวมากกว่าการวินิจฉัยแบบองค์คณะ ซึ่งจะส่งผลถึงความเชื่อมั่นในหลักอิจมาอ์ที่ปรากฏอยู่ในตำราวิชาการอิสลามในอดีตว่าเป็นจริงหรือไม่

● 4. ทำให้สังคมสับสนแทนที่จะให้ทางออก
นักฟิกฮ์และมุฟตียุคหลังๆ เน้นการชี้แนะให้ผู้ขอคำฟัตวาพ้นจากความลังเลสับสน วิธีการฟัตวาจะไม่ฟัตวาโดยการนำหลายๆทัศนะมาชี้แจงที่อาจมีการให้น้ำหนักแก่ทัศนะใดๆ แล้วปล่อยให้ผู้ขอคำฟัตวาตัดสินใจเลือกเอง แต่จะใช้วิธีฟัตวาเฉพาะทัศนะที่มุฟตีเลือกแล้ว พร้อมระบุหลักฐานที่มา อันเป็นแนวทางที่เหมาะสมอย่างยิ่งกับยุคของเราที่ไม่นิยมการอ่านที่ยืดยาวและข้อมูลไม่มากพอ

แต่ในกรณีละหมาดตามอิหม่ามผ่านการถ่ายทอดสด ผู้ให้คำฟัตวากลับทำให้สังคมยิ่งสับสน

มีบางท่านฟัตวาว่า ให้ละหมาดตามอิหม่ามผ่านสื่อออนไลน์ได้ แต่จงต้องเป็นอิหม่ามที่อยู่ใกล้ๆ เช่นในหมู่บ้านเท่านั้น

แต่ก็มีบางท่านออกมาฟัตวาว่า ตามอิหม่ามที่อยู่ไกลๆ แค่ไหนก็ได้

การฟัตวาที่สร้างความขัดแย้งกันเช่นนี้ ล้วนสร้างรอยราคีให้แก่ความบริสุทธิ์แห่งเดือนรอมฎอน ทำให้สังคมเกิดความแตกแยก ดังเช่นความขัดแย้งทุกๆปีในช่วงเดือนรอมฎอน ในเรื่องวิธีการกำหนดวันเริ่มต้นรอมฎอน

ทั้งนี้ จารีตเกี่ยวกับการฟัตวาในสังคมบรรพชนยุคสะลัฟ อุลามาอ์หลบเลี่ยงที่จะให้คำฟัตวา แต่โบ้ยให้ไปถามผู้อื่น

แต่ในยุคสะลัฟรุ่นหลัง ต่างแย่งชิงกันออกมาให้คำฟัตวา และไม่เพียงพอกับฟัตวาของผู้อื่น

สมมติว่าสถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในยุคซอฮาบะฮ์ และบรรดาอิหม่ามทั้งสี่ แน่นอนที่สุดปฏิกิริยาของพวกเขาต่อสถานการณ์นี้คือการนิ่งเงียบและเพียงพอกับคำฟัตวาที่มีผู้ฟัตวาไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำฟัตวาแบบองค์คณะ มิใช่ความเห็นส่วนตัวของใครๆ

ในสังคมบรรพชนยุคสะลัฟ ประเพณี “ฉันไม่ทราบ” แพร่หลายไปทั่วสังคมผู้รู้นักวิชาการ ทั้งที่ความจริงไม่ใช่ไม่มีความรู้ แต่เป็นเพราะความถ่อมตนและความกลัวต่ออัลลอฮ์ที่จะต้องรับผิดชอบต่อผลของฟัตวา

แต่ในวันนี้ ค่านิยม ประเพณีแตกต่างออกไป ทุกคนต่างออกมาบอกว่า “ฉันรู้” ต่างไม่ยอมรับที่จะถูกมองว่า “ไม่มีความรู้”

ลองพิจารณาสถานการณ์นี้ยุคสะลัฟและสมมติว่ามีเหตุการณ์คำถามประเด็นนี้ในวันนั้น

อับดุรเราะห์มาน บินอะบีไลลา กล่าวว่า “ฉันทันเจอกับชาวอันศอรซึ่งเป็นซอฮาบะฮ์ของท่านศาสนทูต (ขอความสันติและความจำเริญจงประสบแด่ท่าน) จำนวน 120 ท่าน ไม่มีผู้ใดบอกหะดีษหนึ่ง ยกเว้นอยากให้ผู้อื่นบอกแทน ไม่มีผู้ใดให้คำฟัตวาเมื่อถูกถาม เว้นแต่อยากให้ผู้อื่นให้คำฟัตวาแทน”

อัลบัยฮะกีย์รายงานว่า อบูคอลดะฮ์ กล่าวกับรอบิอะฮ์ ว่า “โอ้รอบิอะฮ์ ฉันเห็นท่านให้คำฟัตวาแก่ผู้คน เมื่อมีคนมาถามท่าน สิ่งที่ท่านพึงตระหนัก มิใช่การทำให้เขาหายจากข้อกรณีที่สงสัย แต่พึงตระหนักว่าจะทำอย่างไรให้ท่านหลุดพ้น ไม่ต้องรับผิดชอบต่อคำถามนั้นๆ”

อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ ข้าพเจ้ารู้จักอุลามาอ์ผู้เชี่ยวชาญทางวิชาการและหลักการทางฟิกฮ์อย่างถ่องแท้จำนวนมากที่ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นต่อกรณีนี้โดยสิ้นเชิง พวกเขาเพียงพอกับคำฟัตวาที่ออกมาแล้ว หากคนเหล่านี้ออกมาพูด แน่นอนจะมีแต่เสียงชื่นชม พวกเขามีความคิดสร้างสรรค์ มีหลักการและคำอธิบายที่ชัดเจนแจ่มแจ้งและลึกล้ำอย่างที่สุด

ในหมู่นักวิชาการเหล่านั้น ข้าพเจ้าเห็นการประยุกต์ใช้จรรยาบรรณบรรพชนชาวสะลัฟที่ระมัดระวังและรู้ซึ้งถึงสถานภาพอันสูงส่งของการฟัตวาและการพูดในนามอัลลอฮ์
(จบตอนที่ 1 )

แปลสรุปโดย Ghazali Benmad

อ่านบทความต้นฉบับ https://blogs.aljazeera.net/blogs/2020/4/25/%D8%B5%D9%84%D8%A7%D8%A9-%D8%A7%D9%84%D8%AA%D8%B1%D8%A7%D9%88%D9%8A%D8%AD-%D8%AE%D9%84%D9%81-%D8%A7%D9%84%D8%A8%D8%AB-%D8%A7%D9%84%D9%85%D8%A8%D8%A7%D8%B4%D8%B1-%D8%A7%D9%84%D8%AF%D9%84%D8%A7%D9%84%D8%A7%D8%AA-%D9%88%D8%A7%D9%84%D9%85%D8%A2%D9%84%D8%A7%D8%AA