ระหว่างการใช้ชีวิตเพื่อตนเองกับการใช้ชีวิตเพื่ออุมมะฮ์

หากเราใช้ชีวิตเพื่อบำเรอความสุขของตนเอง เราจะมีอายุสั้นๆตามอายุขัย

หลังจากเสียชีวิตไป ไม่ค่อยมีใครพูดถึง แม้กระทั่งลูกหลานตนเอง

แต่หากใช้ชีวิตเพื่อสร้างคุณูปการแก่ประขาขาติ (อุมมะฮ์) เราจะมีชีวิตยั่งยืนจนข้ามโพ้นกาลเวลา

ชัยคุลอิสลามอิบนุตัยมียะฮ์ครองโสด จนเสียชีวิต ท่านจึงไม่มีลูกสืบสกุล แต่ได้ทิ้งประชาชาติศอลิห์ที่คอยดุอาให้ท่านตลอด

อิมามนะวะวีย์ ครองโสดและไม่มีทายาทคอยดุอา  แต่เชื่อว่า ไม่มีมุสลิมใฝ่ศาสนาคนไหน ที่ไม่รู้จักตำรา 40 หะดีษอันนะวะวีย์และคอยดุอาให้ท่านตลอด

อิมามอิบนุญะรีรอัฏเฏาะบะรีย์ เสียชีวิตในสภาพโสดเช่นกัน ท่านจึงไม่มีลูกเป็นขวัญตา แต่ท่านได้ฝากคลังความรู้ด้านอรรถาธิบายอัลกุรอานที่ผู้รู้ทุกคนขาดไม่ได้ พร้อมดุอาให้ท่านประจำ

อิมามมาลิก ผู้ซึ่งอิมามอัซซะฮะบีย์เล่าว่า อิมามมาลิกถูกโบย ถูกทรมานจนกระทั่งสลบ อัซซะฮะบีย์กล่าวว่า ฉันหวังว่า ทุกครั้งที่อิมามมาลิกถูกโบย อัลลอฮ์จะยกระดับให้ท่าน 1 ชั้นในสวรรค์ ทุกวันนี้ เราแทบไม่สนใจว่าเหล่าก่อการร้ายที่ฟิตนะฮ์อิมามมาลิกเป็นใครกัน แต่มุสลิมทุกคนดุอาให้ท่านทุกครั้งที่เอ่ยชื่อท่าน

เช่นเดียวกันกับอิมามชาฟิอีย์ ที่มีคนใจโฉดปองร้ายท่าน จนต้องอพยพออกจากเยเมนสู่กรุงแบกแดดและใช้ชีวิตในบั้นปลายที่อิยิปต์จนกระทั่งเสียชีวิต เราต่างเป็นหนี้บุญคุณอิมามท่านนี้และดุอาให้ท่านตลอดเวลา โดยไม่เคยสนใจใยดีกับแก๊งค์โฉดกลุ่มนั้น

ไหนล่ะ คนที่จับและทรมานอิมามอะห์มัดเข้าคุก พวกเขาได้ตายจากไปแล้ว ทุกคนแทบไม่รู้จักบรรดาผู้อธรรมเหล่านั้น แต่ประวัติ คำสอนและมัซฮับของอิมามอะห์มัดยังเป็นที่กล่าวขานและเป็นบทเรียนจนกระทั่งปัจจุบัน

อิมามบุคอรีย์ถูกกลั่นแกล้งจากผู้ไม่หวังดี จนกระทั่งถูกเนรเทศออกจากบ้านเกิดเมืองนอน และเสียชีวิตในต่างแดน มีใครจดจำชีวประวัติของเหล่าทรชนกลุ่มนั้นบ้างไหม ในขณะที่ทั่วทุกมิมบัรและมัจลิสอิลมี ต่างก็ยกหะดีษที่รายงานโดยอิมามบุคอรีย์และขอดุอาให้ท่าน

ซัยยิด กุฏุบ โดนตัดสินประหารชีวิตด้วยการแขวนคอ ท่านไม่เคยผ่านชีวิตคู่ ไม่มีทายาท ถึงแม้บางคนและบางกลุ่มพยายามใส่ไคล้ท่านด้วยฟิตนะฮ์มากมาย แต่เชื่อว่า คำฟิตนะฮ์เหล่านั้น คงไม่สามารถกลบฝังความดีงามของท่านอันมากมาย ผู้คนแทบไม่เอ่ยถึงจอมอธรรมที่ตัดสินประหารชะฮีดท่านนี้ (ด้วยความประสงค์ของอัลลอฮ์)ในขณะที่ผู้ฟิตนะฮ์ท่าน ทั้งอดีต ปัจจุบันและอนาคต ก็คงทำได้เพียงเพิ่มพูนความดีงามของท่านในวันแห่งการตัดสินเท่านั้น

คนบางคนได้ตายจากโลกนี้ แต่ความดีงามของเขาไม่เคยสาบสูญ แถมยังดุอาด้วยความดีงามอย่างต่อเนื่องในขณะที่บางคนยังมีชีวิตอยู่ แต่ไม่ได้รับความสนใจจากผู้คนประหนึ่งคนที่ตายไปแล้ว แถมยังถูกโยนเข้าในกองขยะของประวัติศาสตร์อีกด้วย

 رَبَّنَا اغْفِرْ لَنَا وَلِإِخْوَانِنَا الَّذِينَ سَبَقُونَا بِالإِيمَانِ وَلا تَجْعَلْ فِي قُلُوبِنَا غِلاً لِّلَّذِينَ آمَنُوا رَبَّنَا إِنَّكَ رَؤُوفٌ رَّحِيمٌ


โดย Mazlan Muhammad

IZNOGOUD … วัฒนธรรมการสร้างความเกลียดชังของชาติยุโรปที่มีต่ออิสลาม

Iznogoud เป็นสำนวนฝรั่งเศส มีความหมายในภาษาอังกฤษคือ It’s no good หรือไม่มีอะไรดี เป็นซีรีส์การ์ตูนฝรั่งเศสที่มีตัวละครในตำนานซึ่งสร้างโดยนักเขียนการ์ตูน René Goscinny และศิลปินการ์ตูน Jean Tabary ซีรีส์การ์ตูนเล่าถึงชีวิตและช่วงเวลาของ Iznogoud ผู้สำคัญตนเป็นรองคอลีฟะฮ์แห่งกรุงแบกแดดในอดีต ความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาคือการแทนที่คอลีฟะฮ์

 Iznogoud เป็นวลีที่นำมาใช้ในภาษายุโรปโดยเฉพาะฝรั่งเศส เพื่อแสดงถึงลักษณะของคนที่ทะเยอทะยานมากเกินไป เขา ได้รับการสนับสนุนจากบ่าวผู้ซื่อสัตย์ของเขาชื่อ Wa’at Alahf (What a laugh หรือไอ้ตัวตลก) ทั้งสองมีบุคลิกที่ดูซื่อบื้อ ทึ่มทื่อ ใฝ่สูง ชอบความหรูหรา ฟุ้งเฟ้อ ใช้ชีวิตอย่างเพลิดเพลินสนุกสนานกับเหล่านารี

Iznogoud เป็นตัวละครที่ได้รับการดีไซน์ด้วยหน้าตาที่ค่อนข้างอัปลักษณ์ มีจะงอยปากคล้ายจะงอยปากนก มีเครายาวแหลม โพกสัรบั่นและเสื้อคลุมคล้ายชุดของคอลีฟะฮ์ ส่อเจตนาของผู้สร้างที่ต้องการโยงใยให้เป็นอัตลักษณ์ของคนอาหรับหรือชาวมุสลิม ซึ่งมีบุคลิกของคนที่มีนิสัยซื่อบื้อแต่ทะเยอทะยาน ใฝ่สูง บางครั้ง Iznogoud ถูกวาดพร้อมชูดาบที่มีหยาดเลือดและศพที่ถูกสังหารด้วยวิธีตัดคอ

ชาติยุโรปโดยเฉพาะฝรั่งเศสจึงใช้บุคลิกของ Iznogoud เพื่อดูหมิ่นอิสลามจนกลายเป็นวัฒนธรรมที่ฝังลึกในเจตคติที่ถูกถ่ายทอดผ่านเรื่องเล่าในตำนาน ซึ่งต่อมามีการพัฒนาจนกลายเป็นการ์ตูนซีรีส์ และถูกเผยแพร่ไปยังทั่วโลก

ท่านผู้อ่านลองจินตนาการดูว่า หากมีประเทศอิสลามสร้างการ์ตูนซีรีย์ที่มีตัวละครใส่ชุดเหมือนกษัตริย์หรือบรรดาขุนนางยุโรปในอดีต แต่มีบุคลิกที่ดูซื่อบื้อ ตะกละ ใฝ่สูง มักมากในกาม ใจโฉดชั่ว แล้วนำไปเผยแพร่ทั่วโลก ถามว่า โลกตะวันตกจะมีปฏิกิริยาเช่นไร


ตัวอย่างซีรีส์ Iznogoud

อ้างอิง

https://en.m.wikipedia.org/wiki/Iznogoud

โดย Mazlan Muhammad

ออตโตมันโฟเบีย : โรดแมปโลกใหม่ของอิสลาม ตุรกี อาหรับ และตะวันตก

***

ศาสตราจารย์ ดร.มุฮัมมัดฮาบีบ อัลมัรซูกีย์

นักคิดตูนีเซีย

สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญตูนีเซีย

อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยตูนีเซีย

และมหาวิทยาลัยอิสลามนานาชาติ มาเลเซีย

 ***

การที่ประเทศกรีซกลัวความก้าวหน้าและความทะเยอทะยานของตุรกีที่จะกลับคืนสู่ความยิ่งใหญ่และบทบาทเหมือนเช่นในอดีต เป็นที่เข้าใจได้  เพราะกรีซยังไม่ลืมว่าในอดีตยุคหนึ่งเคยตกอยู่ภายใต้การปกครองของออตโตมัน แม้จะลืมไปว่าออตโตมันได้ให้เสรีภาพในการนับถือศาสนาแก่พวกเขา อันเป็นไปตามหลักการศาสนาอิสลาม  ที่ขัดแย้งอย่างสิ้นเชิงกับความคลั่งในศาสนาคริสต์ออโตด๊อกซ์ของพวกเขา

การที่ฝรั่งเศสหวาดกลัวตุรกีด้วยเหตุผลเดียวกัน ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เนื่องจากฝรั่งเศสยังไม่ลืมว่าความใฝ่ฝันของบรรพบุรุษของพวกเขาจบลงพร้อมกับการเข้ามาของออตโตมัน แม้ว่าฝรั่งเศสจะลืมไปว่าบรรพบุรุษของพวกเขาได้รับการคุ้มครองโดยอาณาจักรออตโตมันเช่นกัน

การที่โปรตุเกสกลัวตุรกีก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะอาณาจักรออตโตมันเป็นผู้ขับไล่พวกเขาออกจากอ่าวอาหรับ ทะเลแดง และทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

การที่เยอรมันกลัวออตโตมัน ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะว่าออตโตมันเป็นผู้ทำให้กษัตริย์ชาร์ล  ที่ 5 ผู้สถาปนายุโรปสมัยใหม่  ต้องถูกขับไล่พ้นไปจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และออตโตมันยังทำให้สงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ผู้นับถือศาสนาอิสลามที่เกิดขึ้นกับอาหรับในแอนดาลุสเซียสิ้นสุดลง และยับยั้งแผนการของไกเซอร์ในภูมิภาคนี้

การที่ชนชาติเปอร์เซียกลัวตุรกีก็เป็นที่เข้าใจได้ เพราะว่าพวกเขาต่อต้านอิสลามสายสุนหนี่มาตลอด ตั้งแต่ในอดีตจนกระทั่งปัจจุบัน และไม่มีใครกำหราบพวกเขาได้  ยกเว้นเซลจู๊กเติร์กในยุคแรก และออตโตมันเติร์กในยุคหลัง

แต่การที่อิสราเอลกลัวตุรกีเป็นสิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้เลย ยกเว้นเรื่องของการ ไม่รู้จักบุญคุณคนและอันธพาลทางเชื้อชาติ เพราะว่าออตโตมันเป็นผู้คุ้มครองยิวในโลกในช่วงสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และสงครามศาสนาในยุคครูเสด

ที่ยิ่งไม่เข้าใจไปกว่านั้น คือการที่ชนชั้นปกครองของอาหรับกลัวตุรกี และมุ่งมาดปรารถนาที่จะต่อต้านทำลายตุรกี

เป็นปริศนาที่ยากจะเข้าใจ เป็นเรื่องที่ อาหรับคนหนึ่ง หากว่ามีความเป็นลูกผู้ชายแม้เพียงสักเศษเสี้ยว ก็ย่อมไม่อาจปฏิเสธความจริงได้ว่า หลังจากสิ้นสุดราชวงศ์อุมัยยะฮ์หลักและอุมัยยะฮ์สายย่อย หากว่าไม่มีเติร์กช่วยคุ้มครองไว้ อาหรับก็จะไม่สามารถดำรงอยู่ได้มาถึงวันนี้

หากไม่มีออตโตมัน มุสลิมสุนหนี่และอาหรับก็จะไม่มีหลงเหลืออีก

หากไม่มีออตโตมัน ก็จะไม่มีมุสลิมสักคนคงเหลือในภูมิภาคอาหรับ เพราะว่า สงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ผู้นับถือศาสนาอิสลามที่เกิดขึ้นยุคนั้น-หมายถึงอาหรับในแอนดาลุสเซีย- ร้ายแรง ยิ่งกว่าสงครามครูเสดเพราะสงครามครูเสดเกิดขึ้นในยุคที่อิสลามเจริญสูงสุดและเข้มแข็งที่สุด ในขณะที่ สงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ผู้นับถือศาสนาอิสลามในแอนดาลุสเซีย เกิดขึ้นในช่วงที่อาหรับตกต่ำที่สุด ทั้งทางจิตวิญญาณและวิทยาการทางวัตถุ

หากว่าไม่มีออตโตมัน แน่นอนพื้นที่ทะเลในเขตทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทั้งหมด ก็จะตกอยู่ภายใต้อำนาจของโรมันเหมือนเช่นในอดีต ที่ทะเลแห่งนี้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นภาษาโรมันว่า “ทะเลมารานุตรา” และกษัตริย์ชาร์ล ที่ 5 ต้องการเข้ามาปกครองเหมือนเช่นในอดีตอีกครั้ง

เขตทะเลอาหรับ ทะเลแดง และอ่าวเปอร์เซีย  ก็เช่นเดียวกัน  หากว่าข้อตกลงสัญญาพันธมิตรระหว่างซาฟาวิดและโปรตุเกส เกิดขึ้นจริงอย่างที่คาดหวัง แน่นอนอิหร่านปัจจุบันก็จะได้ครอบครองเขตพื้นที่ทั้งหมดที่ตกอยู่ภายใต้อาณานิคมของเปอร์เซียโบราณก่อนอิสลาม รวมถึงเขตอาณานิคมของไบเซนไตน์

อิสราเอลปัจจุบัน มาแทนที่อาณาจักรไบแซนไทน์ในอดีต และรัสเซีย โดยวลาดิเมียร์ปูติน อาจวางแผนที่จะฟื้นคืนบทบาทไบเซนไทน์ในภูมิภาคนี้ในอดีตเช่นกัน

แต่ที่สามารถเข้าใจได้ก็คือ  จุดยืนของผู้ปกครองโลกอาหรับปัจจุบัน ย่อมเป็นจุดยืนโดยธรรมชาติของผู้ปกครองที่ อังกฤษแต่งตั้งขึ้น เพื่อการทรยศหักหลังออตโตมัน และเป็นพันธมิตรร่วมกันโค่นอาณาจักรออตโตมันในอดีต

และเข้าใจได้ว่าอาหรับชาตินิยมบางกลุ่ม และซากเดนของเผด็จการฟาสซิสต์ และกลุ่มซ้ายจัดที่เป็นทาสของเผด็จการทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะในอาหรับอย่างเดียว

เข้าใจได้ที่คนเหล่านี้ล้วนหวาดกลัวต่อการหวนคืนของตุรกีสู่การเป็นอิสลามเหมือนเช่นบรรพบุรุษ รวมถึงความยิ่งใหญ่ของพวกเขา ซึ่งสิ่งนี้หมายถึง  ความเพ้อฝันของอาหรับเหล่านั้น ที่จะใช้ชีวิต อย่างเกษมสำราญ บนเปลือกของเศษซากของอารยธรรม อ้างว่าเป็นความทันสมัยและวัฒนธรรมยุคใหม่ ทั้งๆที่ความจริงแล้วไม่มีอะไรมากไปกว่าเรื่องของการแสวงหาความสุขสำราญไปวันๆ

ผู้เขียนไม่เคยเห็นชนชั้นนำของประเทศไหนที่โง่เง่าเช่นนี้ ที่เห็นว่าความทันสมัย คือการใช้ชีวิตในฐานะผู้บริโภค ไม่ใช่ผู้ผลิตที่มีเกียรติศักดิ์ศรี  มีจิตวิญญาณเสรี และไม่ตกเป็นเบี้ยล่างของผู้ใด

สิ่งที่ไม่เข้าใจอีกประการหนึ่งคือ ทั้งๆ  ที่ตุรกีไม่มีอะไรน่ากลัวสำหรับชาวอาหรับ ถ้าหากพวกเขามีสมองเพียงเล็กน้อย เพียงแค่รวมรัฐเล็กๆ 4 รัฐในโลกอาหรับ ก็เพียงพอที่จะสามารถเป็นผู้มีอำนาจทางเศรษฐกิจ หรือแม้กระทั่งอำนาจทางทหารที่ทัดเทียมกับตุรกีหรือมากกว่าเป็นเท่าตัว  เพราะรายได้มวลรวม GDP ของประเทศเหล่านั้นมีมากกว่าล้านล้านดอลลาร์

เพียงแค่พวกเขามีความใฝ่ฝันเหมือนบรรพบุรุษ ก็จะสามารถหลุดพ้นจากการเป็นเด็กๆ ไร้สมองของพวกเขา เพราะรายได้จีดีพีของพวกเขาเหนือกว่าจีดีพีของตุรกี

จริงๆ แล้วอาหรับไม่จำเป็นต้องกลัวตุรกี แต่สามารถใช้เป็นที่พึ่ง ปกป้องประชาชาติอิสลามในโลกอาหรับรวมถึง ประชาชาติทั้งมวล ตั้งแต่อาหรับภาคตะวันตกไปจนกระทั่งอินโดนีเซีย รวมถึงมุสลิมพลัดถิ่นในพื้นที่ต่างๆทั่วโลกหากว่าอาหรับผู้สถาปนารัฐอิสลามยุคแรกและตุรกีผู้พิทักษ์ยุคหลัง จับมือกันจริงๆ เหมือนเช่นในอดีต

หากทว่าในความเป็นจริง บรรดาผู้นำอาหรับ -ไม่รวมประชาชนชาวอาหรับ -ที่ไร้ความใฝ่ฝันกลับชอบที่จะแตกแยก

พวกเขามี 2 กลุ่ม  กลุ่มทาสและกลุ่มผู้อยู่ภายใต้อารักขา

ผู้นำอาหรับส่วนหนึ่งเป็นทาสของซาฟาวิด  บางส่วนเป็นทาสของไซออนิสต์ พวกเขาจ่ายค่าคุ้มครองอีก  2 เท่า ให้แก่รัสเซียและอเมริกา ตลอดจนแขนขาของทั้งสอง ทั้งอิหร่านและอิสราเอล  และมีความสุขอยู่กับการกลับไปสู่ความแตกแยกเหมือนชนเผ่าอาหรับโบราณ

สิ่งเหล่านั้นทำให้ผู้ปกครองอาหรับในวันนี้ กดขี่ประชาชนอย่างโหดร้ายทารุณ ทั้งทางการเมืองและทางเศรษฐกิจ มีการอุปโลกน์ผู้นำจอมปลอมและพวกกเฬวรากให้กลายเป็นวีรบุรุษกลวงๆ ให้เป็นชนชั้นนำทางการเมืองและทางการศึกษา  ทั้งๆที่ ผู้นำเหล่านั้นนำพาประเทศไปสู่ความตกต่ำ ความใฝ่ฝันสูงสุดของผู้นำเหล่านั้นคือการรับเอาความเจริญรุ่งเรืองที่ผิดที่ผิดทาง  เนื่องจากพวกเขาคิดว่าความเจริญรุ่งเรืองเป็นสิ่งของสำเร็จรูปที่สามารถนำเข้ามาได้  พวกเขายังสับสน ยังเข้าใจผิดคิดว่านั่นเป็นความเจริญ

อัลลอฮ์สร้างคนมาหลากหลายประเภทจริงๆ


ถอดความโดย Ghazali Benmad

ปราชญ์สอนลูก

ลูกรัก  เจ้าอย่าละเลย 3 ประการในชีวิต

1. เจ้าจงทานอาหารที่ประเสริฐสุด

2. เจ้าจงหาที่นอนที่สบายสุดๆ

3. และเจ้าจงพักอาศัยในบ้านที่อบอุ่นที่สุด

ลูกตอบว่า เรายากจน จะทำอย่างไรเล่า

ปราชญ์ตอบว่า

หากเจ้าทานอาหารขณะหิว ก็จะเป็นมื้อที่อร่อยที่สุด

หากเจ้าทำงานหนัก เจ้าจะหลับสบายสุดๆ

หากเจ้าหมั่นทำความดีกับผู้คน เจ้าจะอยู่ในหัวใจผู้คนอย่างอบอุ่นที่สุด

มุสลิมอุยกูร์…ชะตากรรมสีเทาบนแผ่นดินสีแดง ของชนชาติมุสลิมที่ถูกกลืน

เรามักได้ยินข่าวคราวของชาวมุสลิมอุยกูร์ที่ต้องเผชิญชะตากรรมลำบากในประเทศจีนอยู่บ่อยครั้ง แต่หลายคนอาจสงสัยว่าชาวอุยกูร์คือใคร? พวกเขาเป็นคนจีนแต่ดั้งเดิมหรือไม่? และหากเป็นคนจีน ทำไมพวกเขาถึงต้องถูกละเมิดสิทธิ์จากรัฐบาลของตัวเองด้วย? Gulnaz Uyghur นักเขียนและนักเคลื่อนไหวอิสระชาวอุยกูร์ มีเรื่องราวและข้อเท็จจริงของชาวอุยกูร์มาบอกเล่าให้ฟังกัน

#รู้จักชาวอุยกูร์

ชาวอุยกูร์คือชนเชื้อสายเติร์กที่นับถือศาสนาอิสลาม ครั้งหนึ่งในอดีตพวกเขาเคยมีประเทศเป็นของตัวเองที่รู้จักกันในนาม “เตอร์กิสถานตะวันออก” บรรพบุรุษของชาวอุยกูร์ร่ำรวยซึ่งวัฒนธรรม พวกเขารักการแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสันโดดเด่นที่มีลวดลายงดงามเป็นอัตลักษณ์ของตนเอง ชาวอุยกูร์รักงานประพันธ์บทกลอนกวี ชื่นชอบการประดับตกแต่งมัสยิดให้สวยงามและน่าอยู่ พวกเขาเคร่งครัดในบัญญัติศาสนาอิสลาม มีความพิถีพิถันในศาสตร์การปรุงอาหาร และมีความสุขกับการใช้ชีวิตในดินแดนมาตุภูมิที่ร่ำรวยซึ่งอารยธรรมที่พวกเขาได้ดำรงรักษาด้วยหัวใจสืบทอดกันมา

แต่แล้ววันนี้ แผ่นดินมาตุภูมิแห่งเตอร์กิสถานตะวันออกกลับต้องตกอยู่ในสภาพที่บอบช้ำดั่งมีโซ่ตรวนมาล่ามไว้ อัญมณีล้ำค่าของแผ่นดินกลับถูกปล้นสะดม ความเรืองรองในอดีตถูกลบล้างด้วยหมึกสีแดง หมึกสีเลือดที่แปดเปื้อนด้วยฝีมือของรัฐบาลจีน

เหตุการณ์น่าสลดทั้งหมดเริ่มอุบัติขึ้นเมื่อปี 1949 เมื่อประธานาธิบดีเหมา เจ๋อ ตุง ได้ออกคำสั่งให้กองทัพปลดปล่อยประชาชน (People’s Liberation Army: PLA) เข้าไปบุกรุกดินแดนในประเทศเตอร์กิสถานตะวันออก แม้ว่าดินแดนแห่งนั้นจะมีความแตกต่างจากจีนแผ่นดินใหญ่มากมายทั้งในด้านภาษา,วัฒนธรรมและวิถีชีวิต แต่สิ่งที่ทางการจีนหมายตาคือทรัพยากรธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์บนแผ่นดินผืนนั้น ซึ่งมันก็ไม่ต่างอะไรจากการล่าอาณานิคมทั่วไปที่ล้วนหมายปองความมั่งคั่งในทรัพยากรธรรมชาติของประเทศที่ถูกยึดครอง นั่นคือจุดเริ่มต้นแห่งวันที่ท้องฟ้ากลายเป็นสีหม่นเทา วันที่น้ำในบ่อเริ่มแห้งเหือดหายไป …

.

จากนั้นไม่นานทางการจีนก็เริ่มผลักไสไล่ส่งชาวอุยกูร์ให้ออกจากพื้นที่ที่เป็นบ้านเกิดของตนเอง เนื่องจากต้องการขยายอาณาเขตดังกล่าวให้เป็นแหล่งโรงงานของประเทศจีน บ้านเกิดเมืองนอนที่บรรพบุรุษของชาวอุยกูร์เคยหวงแหนและร่วมสร้างร่วมทุกข์สุขด้วยกันมา บ้านเมืองที่เคยรุ่งเรืองในอดีตเหล่านั้นกลับถูกลิดรอนไปด้วยน้ำมือของคนแปลกหน้า ชาวอุยกูร์ต้องยอมจำนนจากการถูกบังคับให้ย้ายถิ่นฐานไปตั้งรกรากในดินแดนที่ตนไม่เคยรู้จักคุ้นชินเลย พวกเขาถูกกดดันให้ทิ้งบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง

หลังจากบุกรุกดินแดนและบ้านเมือง ทางการจีนก็เริ่มบุกรุกวิถีชีวิตของชาวอุยกูร์เป็นลำดับ พวกเขาเริ่มสร้างข้อจำกัดในการใช้ชีวิตในวิถีอิสลาม ชาวมุสลิมอุยกูร์ถูกสั่งห้ามไม่ให้ไว้เครา ห้ามคลุมศีรษะด้วยฮิญาบ ห้ามสอนอัลกุรอานให้ลูกหลาน หรือห้ามแม้กระทั่งแต่งงานกันด้วยพิธีในแบบอิสลาม และที่แย่ที่สุดคือทางการจีนบังคับให้หญิงสาวชาวอุยกูร์แต่งงานกับหนุ่มชาวจีนเชื้อสายฮั่นเพื่อละลายชาติพันธุ์เดิม

.

จากนั้นไม่นานทางการจีนได้เริ่มออกนโยบายให้ชาวจีนเชื้อสายฮั่นเข้ามาตั้งรกรากอยู่อาศัยในถิ่นฐานของชาวอุยกูร์มากขึ้น ธุรกิจของชาวจีนเริ่มครองเมือง ร้านรวงของชาวอุยกูร์เริ่มได้รับผลกระทบจนส่งผลให้สภาวะเศรษฐกิจของพวกเขาเริ่มแย่ลง การประกอบอาชีพและช่องทางทำมาหากินก็เริ่มถูกจำกัดและร่อยหรอลง จนชาวมุสลิมอุยกูร์บางส่วนต้องยอมจำนนต่อการรุกล้ำของชนชาวจีนด้วยการยอมรับปรับใช้วัฒนธรรมและภาษาของพวกเขาในที่สุด

กลุ่มคอมมิวนิสต์ลัทธิเหมาไล่ล่าเก็บชีวิตชาวอุยกูร์อย่างไม่เกรงกลัวใคร ราวกับว่าเป้าหมายเดียวที่ต้องทำให้ได้คือเปลี่ยนชาวอุยกูร์ให้กลายเป็นชาวจีนทั้งบาง กว่าล้านชีวิตที่สูญเสียจากโศกนาฏกรรมป่าเถื่อนครั้งนั้นล้วนเป็นชาวมุสลิมอุยกูร์แทบทั้งสิ้น เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้เมล็ดพันธุ์แห่งความหวาดกลัวเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของชาวอุยกูร์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และแม้กาลเวลาจะผ่านไปหลายปีสถานการณ์รุนแรงในสังคมของชาวอุยกูร์ก็ดูเหมือนจะยิ่งแย่ลงไปทุกที นักเคลื่อนไหวชาวอุยกูร์กว่าหลายชีวิตถูกฆาตกรรม ถูกจำนองกักขังอย่างไร้สาเหตุ บ้างต้องลี้ภัยอยู่ต่างประเทศ หรือถูกทางการจีนอุ้มหายตัวไปก็มี

ทางการจีนจับตามองชาวอุยกูร์แทบทุกลมหายใจ การปราบปรามที่รุนแรงในแต่ละครั้งล้วนมีศาสนาเป็นข้ออ้างพื้นฐาน เนื่องจากรัฐบาลคอมมิวนิสต์ของจีนไม่ต้องการให้ประชาชนศรัทธาต่อสิ่งอื่นใดนอกจากพรรคของตน ทางการจีนต้องการให้ชาวอุยกูร์เคารพบูชา “สี จิ้นผิง” มากกว่า “อัลลอฮ” พระเจ้าของชาวมุสลิมอุยกูร์ ซึ่งหากใครได้มีโอกาสไปเยือนเตอร์กิสถานในปัจจุบัน (หรือที่หลายคนรู้จักกันในนาม “ซินเจียง”) คุณจะเห็นทหารจีนยืนอยู่แทบทุกซอกทุกมุม ที่นั่นมีด่านตรวจทุกระยะ 100 เมตร มีทหารคอยยืนตรวจการอยู่ทั้งนอกและในบริเวณมัสยิด หลายครั้งที่ชาวอุยกูร์ถูกเรียกให้ตรวจดีเอ็นเอโดยไม่ทราบสาเหตุ พวกเขาถูกยึดพาสปอร์ต ทางเดียวที่พวกเขาสามารถออกนอกประเทศได้คือลักลอบหนีออกมาอย่างเสี่ยงชีวิต ปัจจุบันหญิงชาวอุยกูร์ถูกสั่งห้ามไม่ให้สวมเสื้อคลุมยาวหรือกระโปรงยาว สิ่งที่เห็นมากกว่าการรุกล้ำดินแดน คือการรุกล้ำสิทธิส่วนบุคคล

และดูเหมือนว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นยังไม่สาแก่ใจจอมเผด็จการอย่าง “สี จิ้นผิง” เมื่อทางการจีนออกมาตรการจับชาวอุยกูร์มาคุมขังไว้ในแคมป์ที่ไม่ต่างอะไรจากคุกนาซี แคมป์โหดแห่งนี้เป็นรู้จักกันในนาม “แคมป์ปรับทัศนคติ” เป็นที่ที่ชาวอุยกูร์จะถูกล้างสมองให้ลืมอิสลามและอัตลักษณ์ดั้งเดิมของตนเอง ชาวอุยกูร์ถูกจองจำในคุกนรกแห่งนี้กว่าล้านชีวิต นอกจากชาวอุยกูร์แล้วยังมีชาวคาซักสถานที่ถูกคุมขังในแคมป์แห่งนี้ด้วย ผู้รอดชีวิตจากแคมป์นี้ต่างบอกเล่าเป็นเสียงเดียวกันถึงภาพอันสุดแสนทรมานของพี่น้องชาวอุยกูร์ที่อยู่ในนั้น ครั้งหนึ่งเคยมีภาพหลุดถึงความป่าเถื่อนของคุกแห่งนี้ที่ถ่ายได้จากสัญญาณดาวเทียม แต่ทางการจีนกลับปฏิเสธถึงความจริงดังกล่าว

และนี่คือเหตุผลที่ทำให้ชาวอุยกูร์พลัดถิ่นที่อาศัยกระจัดกระจายทั่วโลกต่างร่วมมือร่วมใจกันออกมาประท้วงเพื่อให้ชาวโลกได้รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับพี่น้องชาวอุยกูร์ในประเทศจีน ทุกคนต่างเฝ้ารอและวิงวอนให้ทางการจีนยกเลิกมาตรการแคมป์นรกนั้นโดยเร็วที่สุด และคืนแผ่นดินมาตุภูมิให้ชาวอุยกูร์ในเร็ววัน

Gulnaz Uyghur ยังได้มีข้อเสนอแนะในฐานะคนทั่วไปที่เริ่มเข้าใจถึงความเป็นไปของเหตุการณ์ในอุยกูร์ ว่าเราสามารถช่วยเหลือพวกเขาได้อย่างไรบ้าง การเผยแพร่ข่าวสารและเรื่องราวของชาวอุยกูร์ให้รู้เป็นวงกว้างเป็นการช่วยเหลือในระดับหนึ่ง เพราะความจริงที่น่าเจ็บปวดคือ มีคนจำนวนไม่มากนักที่รู้เรื่องราวความเป็นไปที่เกิดขึ้นกับชาวอุยกูร์ในเมืองจีน หลายคนอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีชนกลุ่มน้อยอย่างชาวอุยกูร์เป็นเพื่อนร่วมโลกใบนี้.

Gulnaz Uyghur เสนอให้ประชาชาติทั่วโลกร่วมยกประเด็นอุยกูร์เป็นวาระที่เราทุกคนควรมีส่วนรู้เห็นและร่วมกันแก้ปัญหา ร่วมกันปลุกจิตสำนึกแห่งความเป็นเพื่อนมนุษย์ ให้โลกได้รับรู้ถึงความป่าเถื่อนและเห็นแก่ได้ของรัฐบาลจีนที่รุกล้ำล่วงละเมิดสิทธิของเพื่อนร่วมโลกอีกกว่าล้านชีวิต

เสนอให้ทุกคนร่วมกันปกป้องชาวมุสลิมอุยกูร์ที่เข้ามาลี้ภัยในพื้นที่ เพราะอาจเป็นไปได้ว่าชาวอุยกูร์ที่เข้าไปหลบภัยต่างแดนต้องเจอกับสภาวะเครียดและกดดันในชีวิตเป็นอย่างมาก ลองเข้าไปยื่นความช่วยเหลือด้วยการถามไถ่ทุกข์สุขหรือรับฟังปัญหาของพวกเขาอย่างเป็นมิตร แสดงน้ำใจด้วยการหยิบยื่นให้ความช่วยเหลือเท่าที่จะสามารถทำได้

และเหนือสิ่งอื่นใด อย่าลืมพี่น้องชาวอุยกูร์ในดุอาอ์ ให้พวกเขาได้เป็นส่วนหนึ่งในดุอาอ์ที่เราวิงวอนต่อพระเจ้าในฐานะเพื่อนพี่น้องร่วมสายเชือกเดียวกัน


แปลและเรียบเรียง : Andalas Farr

ที่มา

https://themuslimvibe.com/muslim-current-affairs-news/why-are-uyghur-muslims-protesting-all-over-the-world-and-what-can-you-do-to-help-them

อัตลักษณ์ 7 ประการของชีอะฮ์อิมาม 12

อัตลักษณ์ 7 ประการ ของชีอะฮ์อิมาม 12 มีดังต่อไปนี้ :


1. ทรยศหักหลัง

เรื่องราวการทรยศหักหลังในประวัติศาสตร์อิสลาม ล้วนแล้วแต่มีมือทมิฬของกลุ่มชีอะฮ์เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องทั้งนั้น ตั้งแต่การทรยศท่านอะลี บินอะบีฎอลิบ ท่านหะซันบินอะลีหรือแม้กระทั่งท่านหุเซ็นบินอะลี رضي الله عنهم  กลุ่มชีอะฮ์ยังทรยศต่อราชวงศ์บะนีอุมัยยะฮ์ เป็นหนอนบ่อนไส้ให้แก่กองทัพมองโกลบุกถล่มราชวงศ์บะนีอับบาสิยะฮ์ที่กรุงแบกแดด ชีอะฮ์อุบัยดียะฮ์(ฟาฏิมียะฮ์)ได้ร่วมมือกับกองทัพครูเสดเพื่อทำสงครามกับกองทัพศอลาฮุดดีน ชีอะฮ์เกาะรอมิเฏาะฮ์ได้ปล้นหินดำที่กะอฺบะฮ์ในปีฮ.ศ. 294 และยึดอยู่ในครอบครองนานกว่า 20 ปี พร้อมสังหารผู้ประกอบพิธีฮัจญ์อย่างโหดเหี้ยม กษัตริย์อิสมาอีล เศาะฟะวีย์ได้ร่วมมือกับแม่ทัพโปรตุเกส ในความพยายามขุดทำลายสุสานนบี แต่ไม่สำเร็จ พวกเขายังได้ประสานความร่วมมือกับกองทัพออสเตรียเพื่อประกาศสงครามกับกองทัพอุษมานียะฮ์ พวกเขาคือหอกข้างแคร่ที่คอยทิ่มแทงประชาชาติอิสลามทุกครั้งยามที่มีโอกาส หรือไม่ก็เป็นเม็ดกรวดในรองเท้าที่คอยสร้างอุปสรรคในการเดินทางของประชาขาติอิสลามตลอดเวลา

แม้กระทั่งโคมัยนีผู้เคยประกาศว่าสหรัฐอเมริกาคือซาตานที่ยิ่งใหญ่ แต่เมื่อปีค.ศ. 1985 โคมัยนีได้สร้างข่าวฉาวระดับโลกในคดี Iran – Contra Affair  ที่จับได้ว่าสหรัฐอเมริกาแอบส่งขีปนาวุธอันทันสมัยผ่านอิสราเอลให้เเก่อิหร่าน เพื่อสนับสนุนอิหร่านทำสงครามกับอิรัก ปีค.ศ. 1982 กลุ่มก่อการร้ายชีอะฮ์”อะมัล “(ความหวัง) แห่งเลบานอน ได้ร่วมมือกับกองทัพคริสเตียนสุดโต่ง ด้วยการสนับสนุนจากยิวสังหารชาวปาเลสไตน์ที่ค่ายอพยพศ็อบรอและชาติลลา เลบานอน หลังจากที่พวกเขาโอบล้อม ปิดตายค่ายนี้เพื่อสังหารชาวมุสลิมเป็นเวลานานถึง 3 วัน

ในปีค.ศ. 2003 กองทัพชีอะฮ์ได้กรีธาทัพบุกอิรักและเข่นฆ่าชาวสุนนะฮ์อิรักร่วมกับกองทัพสหรัฐอเมริกา จนกระทั่งสหรัฐอเมริกาออกมาขื่นชมว่า หากไม่มีกองหนุนจากอิหร่าน สหรัฐฯคงไม่มีโอกาสรับชัยชนะในสมรภูมิอิรัก

ในปีค.ศ. 2013 กองทัพชีอะฮ์บดขยี้กรุงดามัสกัสและเมืองต่างๆทั่วซีเรียจนแหลกลาญ แม้กระทั่งที่เยเมน กบฏชีอะฮ์ฮูซีย์ได้สร้างวีรกรรมเถื่อน จนเยเมนทั้งประเทศกลายเป็นรัฐแห่งความหวาดกลัวและสยดสยอง

ที่กล่าวมา เป็นเพียงแค่บางเสี้ยวบางส่วนเท่านั้น ไม่ใช่รายงานทั้งหมด

2. เบี่ยงเบนทางเพศที่รุนแรง

ภายใต้กรอบศาสนาที่บิดเบี้ยว พวกเขาสามารถเป่าหูบรรดาสาวกให้เชื่อว่าการผิดประเวณีคือหนึ่งในการเคารพภักดีอันสุดประเสริฐ ภายใต้วาทกรรม”มุตอะฮ์” ชีอะฮ์สามารถประดิษฐ์ชุดความเชื่อที่โน้มน้าวให้บรรดาสาวกจมปลักในทะเลอารมณ์ทางเพศอย่างเบิกบานสบายอุรา

“น้ำแต่ละหยดที่ชาวมุตอะฮ์ใช้เพื่ออาบน้ำญะนาบะฮ์ จะกลายเป็น 1 มะลาอิกะฮ์ที่กล่าวขออภัยโทษแก่ผู้ทำมุตอะฮ์จนกระทั่งวันกิยามะฮ์ “ มีในตำราชีอะฮ์ที่อุปโลกน์คำพูดของนบีที่กล่าวความว่า “ผู้ใดทำมุตอะฮ์ 1 ครั้งเขาจะได้รับฐานะเทียบเท่าฮุเซ็น ผู้ใดที่ทำมุตอะฮ์ 2 ครั้งเขาจะได้รับฐานะเทียบเท่าหะซัน ผู้ใดที่ทำมุตอะฮ์ 3 ครั้งเขาจะได้รับฐานะเทียบเท่าอะลี และผู้ใดที่ทำมุตอะฮ์ 4 ครั้ง เขาจะได้รับฐานะเทียบเท่าฉัน”

ถามว่า แล้วหากมีคนทำมุตอะฮ์มากกว่า 5 ครั้ง เขาจะประเสริฐยิ่งกว่านบีเชียวหรือ (ขอให้อัลลอฮ์ทรงคุ้มครองจากความเชื่ออันพิเรนท์นี้ด้วยเถิด)

https://www.youtube.com/watch?app=desktop&v=ymvJ-CAFcTs

(อ่าน http://www.alkalema.net/sharaf/sharaf4.htm)

นี่คือข้ออ้างบางส่วนที่ถูกอุปโลกน์ขึ้นมาเพื่อสร้างความชอบธรรมในการกระทำอันผิดจรรยาบรรณของความเป็นมนุษย์ที่ไม่มีศาสนาไหนสั่งสอน ยกเว้นลัทธิโซโรเอสตอร์ที่มีอิทธิพลยุคเปอร์เซียในอดีตเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้ ปัญหาโสเภณีและเรื่องการนอกใจระหว่างสามีภรรยา จึงเป็นเหตุการณ์ปกติในสังคมชีอะฮ์ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะพวกเขาได้จาบจ้วงและใส่ร้ายครอบครัวของนบีว่า มีภรรยาใจคดและไม่ซื่อสัตย์ต่อนบี ดังนั้นอัลลอฮ์จึงลงโทษให้ครอบครัวของพวกเขาเป็นผู้แบกรับการใส่ร้ายนี้ไว้บนบ่าของพวกเขาเอง ซึ่งถือเป็นการลงโทษอันสาสมแล้ว เพราะการตอบแทนจะคู่ควรกับผลการกระทำเสมอ والجزاء من جنس العمل

3. อาฆาตแค้นต่อชาวอาหรับ

พวกเขาถือว่าชาวอาหรับเป็นสาเหตุที่ทำให้อาณาจักรเปอร์เซียอันยิ่งใหญ่ในอดีตต้องล่มสลาย เริ่มต้นตั้งแต่นบีฯ บรรดาเคาะลีฟะฮ์รอชิดีน ราชวงศ์บนีอุมัยยะฮ์ และราชวงศ์บนีอับบาสิยะฮ์ล้วนแล้วแต่เป็นชาวอาหรับที่ลบล้างอดีตอันรุ่งโรจน์ของอาณาจักรเปอร์เซีย ความอาฆาตเเค้นนี้เปรียบเสมือนไฟที่ไม่เคยดับมอด จนกระทั่งกลายเป็นกองเพลิงที่พร้อมเผาไหม้ชาวอาหรับทุกคนให้แหลกเป็นจุณ ในตำราของพวกเขาระบุว่า ภารกิจแรกของอิมามมะฮ์ดี เมื่อฟื้นคืนชีพจากหลุมสิรดาบที่อิรักแล้ว เขาจะนำทัพไปหลั่งเลือดชาวอาหรับจำนวน 100 เผ่าพันธุ์ทันที อิมามมะฮ์ดีของพวกเขาจะไปขุดหลุมสุสานของนางอาอิชะฮ์ และทำให้นางฟื้นคืนชีพอีกครั้ง เพื่อให้โอกาสแก่อิมามมะฮ์ดี เฆี่ยนโบยนางจำนวน 100 ครั้ง ในข้อหาลอบมีชู้สมัยนบีโดยที่นบีไม่ทันลงโทษนาง (ขออัลลอฮ์คุ้มครองจากคำอุปโลกน์นี้ด้วยเถิด)

แม้กระทั่งอ่าวอาหรับ ชาวอิหร่านปฏิเสธและขยะแขยงใช้ชื่อนี้ แต่เลือกเรียกใช้ชื่ออ่าวเปอร์เซียแทน ถึงแม้จะเสนอให้เรียกอ่าวอิสลามก็ตาม ผลพวงของการเกลียดชังชาวอาหรับเข้ากระดูกดำเช่นนี้ อัลลอฮ์จึงประทับตราบนลิ้นและหัวใจของพวกเขาด้วยความรู้สึกเกลียดชังอัลกุรอาน ด้วยเหตุนี้เราจึงพบว่า บรรดาผู้รู้ระดับอะยาโตลาฮ์ อ่านอัลกุรอานด้วยน้ำเสียงที่ผิดเพี้ยนและติดสำนวนเปอร์เซียมากกว่า

ชีอะฮ์จึงไม่ค่อยเน้นการเปิดและพัฒนาสถาบันท่องจำอัลกุรอาน และไม่ค่อยมีนักท่องจำอัลกุรอานเหมือนในสังคมชาวสุนนะฮ์ ซึ่งมีนักท่องจำอัลกุรอานทุกเพศทุกวัย ทุกสาขาอาชีพ แม้กระทั่งในกลุ่มคนตาบอดหรือคนพิการ หากมีบ้าง ก็จะมุ่งแต่การอ่านอัลกุรอานด้วยท่วงทำนองที่ฟังไพเราะเสนาะหู เพื่อตบตาชาวสุนนะฮ์ ทั้งๆที่การอ่านอัลกุรอานของพวกเขา ไม่เคยข้ามผ่านลูกกระเดือกของตนเอง

4. ใช้อารมณ์เหนือปัญญา

พวกเขาใช้น้ำตาของพี่น้องนบียูซุฟ มากลบเกลื่อนความบิดเบือนความเชื่อที่พวกเขาอุปโลกน์ขึ้นมา เพราะเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนโกหกเจ้าเล่ห์ ที่มักใช้น้ำตาเป็นอาวุธ เพื่อปกปิดความปลิ้นปล้อนมดเท็จของตนเอง แทบไม่น่าเชื่อว่าในรอบปี ชีอะฮ์มีพิธีกรรมมากกว่า 30 ประเภทที่สามารถบีบน้ำตาสาวกได้อย่างแนบเนียนชนิดดาราเจ้าน้ำตายังต้องชิดซ้าย

บรรดาผู้รู้จึงจำเป็นต้องควบคุมสมองของชาวชีอะฮ์ทั่วไป มิให้ถูกขับเคลื่อนอย่างปกติ เพราะหากพวกเขาคิดได้ แม้เพียงเสี้ยววินาที พวกเขาจะรู้ได้ทันทีว่าแท้จริง พวกเขาถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือ เพื่อปกป้องระบบคุมุส (20%) นั่นเอง

5. โกหกปลิ้นปล้อน (ตะกียะฮ์)

ชีอะฮ์ไม่เชื่อว่าโกหกแล้วได้โล่อย่างเดียว แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาศรัทธาว่า โกหกยังได้บุญอันมหาศาลและเป็นหลักสำคัญทางศาสนาอีกด้วย

พวกเขาใส่ร้ายอิมามญะอฺฟัรโดยระบุว่าอิมามญะอฺฟัรเคยกล่าวว่า “9ใน10 ของศาสนานี้อยู่ในการตะกียะฮ์ และไม่มีศาสนาสำหรับผู้ที่ไม่ตะกียะฮ์”

ตะกียะฮ์คือการอำพรางตัวตนที่แท้จริงและแสดงออกพฤติกรรมที่ตรงกันข้ามกับความเชื่อที่แท้จริง ซึ่งก็คือการโกหกปลิ้นปล้อนนั่นเอง แต่พวกเขาเลี่ยงใช้คำนี้ เหมือนเลี่ยงใช้คำว่า ซินา โดยเรียกมุตอะฮ์แทน

พวกเขาแสดงตัวตนว่าจะปกป้องพิทักษ์อัลกุดส์และปาเลสไตน์ แต่ในความเป็นจริง พวกเขาด่าทอและสาปแช่งบรรพชนที่พิชิตปาเลสไตน์ โดยเฉพาะท่านอุมัร อัลค็อฏฏอบ อัมร์บินอ้าศ และมุอาวิยะฮ์บินอะบูสุฟยาน رضي الله عنهم และในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา พวกเขาไม่เคยทำสงครามกับกองทัพครูเสดหรือชาติตะวันตกเพื่อกอบกู้อัลอักศอ แม้เพียงครั้งเดียว

พวกเขาแอบอ้างภราดรภาพแห่งอิสลามและต่อต้านการเชิญชวนสู่ความคลั่งไคล้ในชาติพันธุ์และความเชื่อ ทั้งๆที่พวกเขาคือแกนหลักที่ทำให้เกิดไฟฟิตนะฮ์และสงครามยืดเยื้อระหว่างมุสลิมด้วยกัน ตั้งแต่อดีตจนกระทั่งปัจจุบัน

ส่วนการโกหกในเรื่องศาสนา โดยเฉพาะหะดีษนบี ถือเป็นความสามารถเฉพาะตัวของชีอะฮ์ที่คนอื่นเลียนแบบได้ยากมาก บรรดาอุละมาอฺชาวสุนนะฮ์ต่างตักเตือนให้ประชาขาติมุสลิมระมัดระวังอย่าตกเป็นเหยื่อของความบิดเบือนของชีอะฮ์ มาโดยตลอด (ดู https://www.anasalafy.com/play.php?catsmktba=56436 )

6. ฝังใจเรื่องอภินิหารและสิ่งงมงาย

จากอัตลักษณ์ข้อ 4. ทำให้ชีอะฮ์กลายเป็นชนที่หมกมุ่นในเรื่องอภินิหารและสิ่งงมงาย

ฐานความเชื่อสำคัญที่สุดของชีอะฮ์ คืออิมามมะฮ์ดี ผู้ถูกรอคอย โดยชีอะฮ์เชื่อว่ามีทารกน้อยชื่อมูฮัมมัด อัลอัสการีย์ ซึ่งมีบิดาเป็นอิมามคนที่ 11 เกิดจากมารดาคริสเตียน ได้หลบซ่อนในถ้ำสิรด้าบที่อิรัก ตั้งแต่ปี ฮ.ศ. 260 จนกระทั่งปัจจุบันเป็นระยะเวลานานกว่า 1,182 ปีแล้ว พวกเขาสร้างนิยายอันแปลกพิสดาร ที่เชื่อว่าทารกคนนี้ได้หลบซ่อนเร้นกาย เพราะหนีจากการไล่ล่าของทหารราชวงศ์อับบาสิยะฮ์ในขณะนั้น ทั้งๆที่ในความเชื่อของพวกเขาถือว่าทารกคนนี้มีอิทธิฤทธิ์อภินิหารมากมายเหนือมนุษย์มนายิ่งกว่าในละครจักร์ๆวงศ์ๆ แต่ทำไมต้องหลบซ่อนยาวนานถึงเพียงนี้ โดยเฉพาะปัจจุบันราชวงศ์อับบาสิยะฮ์ก็ได้ล่มสลายไปตามกาลเวลาแล้ว ประกอบด้วยปัจจุบันชีอะฮ์มีศักยภาพที่เข้มแข็งที่เสริมด้วยอาวุธปรมาณูและนิวเคลียร์ที่สร้างความหวาดกลัวทั่วคาบสมุทรอาหรับในขณะนี้ แต่แปลกใจ อิมามมะฮ์ดียังไม่ปรากฏตัวซะที

ละครอิมามมะฮ์ดี จึงกลายเป็นละครซีรีย์ที่ถูกแสดงยืดเยื้อยาวนานหลายศตวรรษด้วยประการฉะนี้แล

ยังไม่รวมชุดอภินิหารและสิ่งงมงายมากมายที่มาพร้อมกับความเชื่อของผลไม้และสิงสาราสัตว์ที่ยอมรับการเป็นอิมามและที่ปฏิเสธอิมาม เช่นแตงโมที่มีเนื้อสีแดงคือแตงโมที่ยอมรับการเป็นอิมาม ส่วนแตงโมที่มีเนื้อสีอื่นนั้นคือแตงโมที่ปฏิเสธการเป็นอิมาม แม้กระทั่งฆาตกรที่ลอบสังหารท่านอุมัรที่มะดีนะฮ์ แต่กลับมีสุสานที่ได้รับการบูชาเป็นวีรบุรุษที่อิหร่าน มีคนตั้งประเด็นว่า ในสมัยนั้นฆาตกรถูกส่งตัวไปที่อิหร่านได้อย่างไร เพราะในช่วงนั้นที่อิหร่านยังไม่มีผู้นับถือลัทธิชีอะฮ์ พวกเขาจึงอุปโลกน์เรื่องราวว่า หลังจากที่อะบูลุลุอะฮ์ ได้สังหารท่านอุมัร์สำเร็จแล้ว เขาจึงรีบไปขอความช่วยเหลือจากท่านอะลี ซึ่งท่านอะลีจึงรีบตบอะบูลุลุอะฮ์จนปลิวว่อนไปตกในเมืองแห่งหนึ่งที่อิหร่านในปัจจุบัน บางรายงานระบุว่าท่านอะลีจึงกระทืบอะบูลุลุอะฮ์ แรงกระทืบของท่านอะลีทำให้อะบูลุลุอะฮ์จมหายในดินจนกระทั่งไปโผล่ที่เมืองแห่งหนึ่งในอิหร่าน ซึ่งเขาได้ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นจนกระทั่งเสียชีวิต

หากท่านผู้อ่านยังสงสัยว่า ชาวชีอะฮ์เขื่อเรื่องงมงายนี้ได้อย่างไร ก็ลองไปอ่านอัตลักษณ์ข้อ 4. อีกครั้ง

7. จอมซาดิสม์กระหายเลือด

มีบางคนเชื่อว่า การที่ชีอะฮ์ทรมานร่างกายตัวเองจนถึงขั้นเลือดอาบอย่างน่าหวาดเสียว เป็นสัญลักษณ์ทางศาสนาที่สื่อถึงความเศร้าอกเสียใจที่พวกเขาทรยศหักหลังท่านหุเซ็น ซึ่งถือเป็นความเชื่อที่ถูกต้องเพียงบางส่วนเท่านั้น เพราะที่อันตรายมากกว่านั้นคือผลวิจัยของนักจิตวิทยาที่ค้นพบว่า ผู้ใดที่มีความคุ้นชินกับการหลั่งเลือดตัวเองด้วยวิธีสยดสยองแล้ว จะเป็นเรื่องง่ายดายสำหรับเขาที่จะหลั่งเลือดคนอื่นเพราะมันเป็นการสะสมพฤติกรรมซาดิสม์ที่สนุกสนานกับเชือดเฉือนเลือดเนื้อ ดั่งสุนัขที่ดมคาวเลือดอยู่ตลอดเวลา มันจะกลายเป็นสุนัขที่ดุร้าย ที่พร้อมขย้ำผู้คนได้ทุกเมื่อ เราจึงไม่แปลกที่เกิดเหตุการณ์ชวนให้ขนลุกที่เกิดขึ้นกับพี่น้องสุนนะฮ์ชาวซีเรีย อิรัก เลบานอนและเยเมนที่เกิดจากพฤติกรรมซาดิสม์ของกองกำลังชีอะฮ์

ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาเชื่อว่า อิมามมะฮ์ดีจะปรากฏตัว ท่ามกลางทะเลเลือดของชาวสุนนะฮ์ ดังนั้น ยิ่งเลือดชาวสุนนะฮ์ถูกไหลหลั่งมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นตัวเร่งให้อิมามมะฮ์ดีปรากฏตัวเร็วมากขึ้นเท่านั้น

นี่คือคุณสมบัติ 7 ประการที่เป็นอัตลักษณ์เฉพาะของชีอะฮ์เท่านั้น

วิธีเดียวที่จะทำให้อัตลักษณ์ทั้ง 7 ประการนี้ถูกคลุกเคล้า จนกลายเป็นเนื้อเดียวกันกับชีอะฮ์ คือการด่าทอเศาะฮาบะฮ์ โดยเฉพาะเหล่ามารดาผู้ศรัทธาตลอดจนบิดเบือนอัลกุรอานและสุนนะฮ์

ด้วยกรรมวิธีนี้เท่านั้น ที่จะดึงให้คนๆหนึ่งกลายเป็นชีอะฮ์โดยบริบูรณ์

https://www.anasalafy.com/play.php?catsmktba=56436&fbclid=IwAR2mN8q7Fuo983KrxV77pggb_bBB2lpvVrc5W0q0XhxCFdZXPshzrAlWgsU


โดย ทีมงานวิชาการ

เรื่องสยองบนแผ่นดินอันดาลูเซีย

เป็นเรื่องราวของเด็กหนุ่มชาวอันดาลูเซียนาม Muhammad Saghir ซึ่งใช้ชีวิตภายใต้กฎเหล็กของศาลศาสนาที่บีบบังคับชาวกรานาดาละทิ้งอิสลามและหันกลับนับถือศาสนาคริสต์ตามคำบัญชาของกษัตริย์เจ้าปกครอง

ชัยค์อาลี ฏอนฏอวีย์ เราะฮิมะฮุลลอฮ์ (เสียชีวิตปีค.ศ.1999) ได้จรดปลายปากกาเขียนเรื่องนี้ ผ่านตัวละครเอก Muhammad Saghir ซึ่งได้เล่าประสบการณ์ชีวิตของตนเองในวัยเด็กว่า

ขณะนั้น ฉันยังเด็กอยู่ จึงไม่ค่อยรู้เรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากมายนัก เพียงแต่ฉันสังเกตว่า ทุกครั้งที่ฉันกลับจากโรงเรียน คุณพ่อจะกระวนกระวายคล้ายคนอมทุกข์ ทุกครั้งที่ฉันอ่านบทสวดที่ได้ท่องจำมาจากคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์และอ่านเนื้อหาที่ฉันได้เรียนมา แววตาของท่านจะเศร้าหมองอย่างเห็นได้ชัด

พ่อรีบผละออกจากฉัน แล้วเดินไปยังห้องลึกลับในบ้าน พ่อไม่อนุญาตใครผู้ใดเข้าไปในห้องนี้โดยเด็ดขาด ทุกๆวันพ่อจะใช้เวลาอยู่ในห้องนี้นานพอสมควร

ฉันไม่รู้ว่าพ่อทำอะไรในห้องนั้น แต่ทุกครั้งที่พ่อออกจากห้อง ฉันเห็นดวงตาของท่านแดงก่ำ เหมือนคนเพิ่งร้องไห้หนัก พ่อมองฉันด้วยสายตาที่เอ็นดู พร้อมขมิบริมฝีปากเหมือนพูดอะไรบางอย่าง แต่ทุกครั้งที่ฉันตั้งใจเงี่ยหูฟัง พ่อจะหันหลังและเดินไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ

ส่วนคุณแม่ ทุกครั้งที่ส่งฉันไปโรงเรียนหน้าบ้าน แม่จะโผกอดฉันแน่นครั้งแล้วครั้งเล่าและร้องไห้สะอีกสะอื้น จนกระทั่งฉันรู้สึกว่า น้ำตาคุณแม่ที่ไหลอาบบนแก้มฉัน ทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่นตลอดทั้งวัน

ฉันได้แต่แปลกใจ แต่ก็ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเพราะสาเหตุใด

เมื่อฉันกลับจากโรงเรียน คุณแม่จะโผวิ่งมาหาฉันและกอดฉันราวกับว่า ฉันพรากจากบ้านนานนับสิบๆวัน บ่อยครั้งที่ฉันสังเกตพ่อแม่ถอยห่างจากตัวฉันและกระซิบเสียงด้วยภาษาที่ไม่ใช่ภาษาสเปน ซึ่งฉันไม่เข้าใจเลย เมื่อฉันเข้าใกล้ ทั้งสองก็หยุดสนทนาดื้อๆ แล้วเริ่มพูดด้วยภาษาสเปน จนทำให้ฉันรู้สึกน้อยอกน้อยใจและคิดเรื่อยเปื่อยว่า บางทีฉันคงไม่ใช่ลูกแท้ๆของทั้งสองก็ได้ บางครั้ง ฉันแอบร้องไห้คนเดียวในบ้าน จนกระทั่งฉันกลายเป็นเด็กเก็บกด ไม่ค่อยสุงสิงร่าเริงกับเพื่อนๆที่โรงเรียน ฉันจึงชอบอยู่คนเดียว จนกระทั่งพี่เลี้ยงมาดึงเสื้อฉันให้ไปละหมาดที่โบสถ์

ต่อมา แม่คลอดลูกชายอีกคน เมื่อพ่อทราบข่าวว่าฉันได้น้องชายคนใหม่แทนที่จะดีใจ ฉันเห็นใบหน้าพ่อหมองเศร้าและสายตาเหม่อลอย สมองของฉันจึงเต็มไปด้วยคำถามที่ไม่มีใครให้คำตอบ ฉันรู้สึกเจ็บปวดที่เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ

จนกระทั่งเทศกาลเฉลิมฉลองวันอีสเตอร์ได้เวียนบรรจบอีกครั้ง เมืองกรานาดาถูกประดับประดาด้วยแสงสีตระการตาพร้อมด้วยน้ำหอม โดยเฉพาะโบสถ์และหอสวด

ในค่ำคืนอันเงียบสงัดที่ผู้คนได้หลับสนิท พ่อเรียกฉันและจูงมือฉันไปที่ห้องลับ หัวใจฉันเต้นระทึกระคนหวาดกลัว เมื่อฉันอยู่กลางห้อง พ่อรีบปิดประตูแน่นหนา และหาตะเกียง ฉันรู้สึกว่า ช่วงเวลาที่อยู่ในความมืด ณ วินาทีนั้น ช่างยืดเยื้อยาวนานเหมือนแรมปี เมื่อห้องเริ่มสว่างมัวๆ ฉันเริ่มกวาดสายตาไปยังห้อง ฉันพบแต่ความว่างเปล่า มันไม่มีอะไรเลยนอกจากพรมผืนหนึ่งกับหนังสือเล่มหนึ่งที่วางอยู่บนชั้นและดาบเล่มหนึ่งที่แขวนติดผนัง

พ่อบอกให้ฉันนั่งบนพรมและเพ่งมองฉันด้วยสายตาที่เปล่งประกาย จนกระทั่งฉันรู้สึกว่า ฉันกำลังอยู่ในโลกอีกโลกหนึ่ง ท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบสงัด วังเวงและลึกลับ ณ สถานที่แห่งนี้

ฉันไม่รู้จะอธิบายความรู้สึก ณ ตอนนั้นได้อย่างไร พ่อจับมือฉันอย่างอ่อนโยนและกระซิบด้วยเสียงแผ่วเบาว่า

“ลูกรัก บัดนี้เจ้าอายุ 10 ขวบแล้ว เจ้าเป็นหนุ่มเต็มตัวแล้ว พ่อจะบอกความลับที่พ่อปิดบังเจ้ามาตลอด เจ้าสัญญาไหมว่าจะปิดความลับนี้ และไม่บอกให้ใครรู้เด็ดขาดถึงแม้จะเป็นคุณแม่ ญาติพี่น้อง เพื่อนสนิทหรือใครคนไหนก็ตาม”

“หากความลับนี้แตกเมื่อไหร่ ความหายนะของครอบครัวเรา จะต้องมาเยือนแน่นอน เจ้าหน้าที่ศาลศาสนาต้องลงโทษพวกเราอย่างทารุณ”

พลันที่ได้ยินคำว่าศาลศาสนา หัวใจของฉันเต้นระทึกด้วยความหวาดกลัว ความสยดสยองพรั่งพรูเข้ามาในความรู้สึก ถึงแม้ฉันอายุยังน้อย แต่ก็พอรู้ถึงกิตติศัพท์ความโหดร้ายคนกลุ่มนี้ เพราะในระหว่างที่ฉันเดินทางไปกลับจากโรงเรียน ฉันเห็นผู้คนถูกทรมานเเทบทุกวัน บ้างก็โดนเผาตายทั้งเป็น บ้างก็โดนตรึงที่ไม้กางเขน บ้างก็ถูกคว้านท้อง ผู้หญิงบางคนถูกแขวนด้วยผมศีรษะของนางแล้วถูกทรมานอย่างโหดเหี้ยม ส่วนอุปกรณ์ที่ใช้ในการทรมานก็ชวนทำให้ขนลุกขนพอง

ภาพอันน่าสะพรึงกลัวเหล่านี้ เข้ามาหลอนในความรู้สึกของฉัน จนกระทั่ง เนื้อตัวเย็นชา ฉันแน่นิ่งชั่วขณะ

พ่อ : ทำไมลูกเงียบ สัญญากับพ่อไหมลูก

ลูก : ครับพ่อ ฉันสัญญา

พ่อ : เจ้าจะไม่บอกให้ใครทราบ ไม่ว่าจะเป็นแม่ พี่น้อง ญาติ เพื่อนหรือใครก็ตาม

ลูก : ครับพ่อ

พ่อ : ขยับเข้ามาใกล้หาพ่อซิลูกรัก

“ พ่อต้องกระซิบบอกเจ้า เพราะเกรงว่าผนังห้องจะแอบได้ยิน แล้วมันจะไปฟ้องที่ศาลศาสนา”

ลูก : ฉันพร้อมครับพ่อ

พ่อ : เจ้ารู้ไหมว่า นี่คือหนังสืออะไร

ลูก : ไม่ทราบครับ

พ่อ : นี่คือคัมภีร์ของพระเจ้า

ลูก : อ้อ คัมภีร์ของอีซา บุตรพระเจ้า ที่ฉันท่องที่โรงเรียนทุกวันใช่ไหมครับพ่อ

พ่อ : ไม่ใช่ลูก แต่เป็นคัมภีร์อัลกุรอาน ที่มาจากพระเจ้าผู้ทรงเอกา พระองค์ไม่ต้องการความช่วยเหลือจากผู้ใด พระองค์ไม่มีบุตรและพระองค์ไม่ใช่เป็นบุตรของใคร ไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนพระองค์ และพระองค์ได้ประทานคัมภีร์เล่มนี้ให้แก่ศาสนทูตคนสุดท้ายผู้ประเสริฐสุด นบีมูฮัมมัด บินอับดุลลอฮ์ صلى الله عليه وسلم

ฉันเปิดตาดูหนังสือเล่มนั้น แต่ฉันไม่รู้เรื่องอะไรเลย

พ่อ : ลูกรัก นี่คือคัมภีร์ของอิสลาม ศาสนาที่อัลลอฮ์ทรงประทานนบีมูฮัมมัดมายังมนุษยชาติ ก่อกำเนิดแรกเริ่มท่ามกลางทะเลทรายอันไกลโพ้น ณ นครมักกะฮ์ ท่ามกลางชาวอาหรับเบดูอินที่งมงาย ป่าเถื่อนและบูชาเจว็ด อัลลอฮ์ให้ทางนำแก่พวกเขา พระองค์ประทานความเข้มแข็ง ความรู้และอารยธรรมอันสูงส่ง ทำให้พวกเขาได้เผยแพร่สัจธรรมทั่วคาบสมุทรอาหรับและทั่วแว่นแคว้น ทั้งทางภาคตะวันออกและตะวันตก จนกระทั่งอรุณแห่งอิสลามได้ขจรขจายมายังบริเวณนี้ ณ ประเทศสเปน

ในอดีตราว 800 ปีที่แล้ว ดินแดนแห่งนี้ถูกปกครองโดยกษัตริย์ทรราช กดขี่ประชาชน สร้างความเดือดร้อนไปทั่วทุกหย่อมหญ้า จนกระทั่งกองทัพอิสลามเข้ามาพิชิตดินแดนแห่งนี้และปกครองยาวนานกว่า 8 ศตวรรษ ด้วยความยุติธรรม พร้อมสร้างความเจริญและอารยธรรมอันสูงส่งประชาชนอยู่เย็นเป็นสุขมาอย่างยาวนาน

ลูกรัก เราคืออาหรับมุสลิมที่สร้างความเจริญมากมายบนแผ่นดินนี้

ลูก : อาหรับมุสลิมคือใครครับคุณพ่อ

พ่อ : เราคือเจ้าของแผ่นดินนี้ เราได้สร้างพระราชวังอัลฮัมบราอันยิ่งใหญ่ ที่ปัจจุบันกลายเป็นที่พักอาศัยของศัตรู โบสถ์ที่ใหญ่โตคือมัสยิดอันสวยงามของกรานาดาในอดีต หอสวดที่สูงตระหง่านนั่นคือหออะซานที่ก้องกังวาลในอดีต เราได้สร้างถนนหนทาง ไฟถนน สะพานเชื่อม ระบบน้ำประปาและพัฒนาด้านเกษตรกรรมจนกลายเป็นเรือกสวนไร่นาอันเจียวขจี

แต่เมื่อ 40 ปีที่แล้ว ( ค.ศ. 1492) กษัตริย์ผู้น่าสงสารชื่อ อับดุลลอฮ์ ศอฆีร ซึ่งเป็นกษัตริย์อันดาลูเซียองค์สุดท้ายของมุสลิมได้หลงกลกับคำมั่นสัญญาของกษัตริย์เฟอร์ดินานด์ที่ 5 และเจ้าหญิงอิสซาเบลล่า พระองค์จึงมอบกุญแจเมืองให้แก่กษัตริย์แห่งสเปนในสภาพที่น่าสมเพชเวทนายิ่ง จากนั้น พระองค์ได้อพยพไปยังดินแดนฝั่งตะวันตก และเสียชีวิตที่นั่นอย่างโดดเดี่ยวและน่าสงสารที่สุด กรานาดาซึ่งเป็นที่มั่นสุดท้ายของอันดาลูเซียจึงตกในกำมือของศัตรู ก่อนที่พระองค์จะมอบกุญแจเมือง พระองค์ได้ทำสัญญากับกษัตริย์สเปนว่า ขอให้ปกครองประชาชนด้วยความยุติธรรม เสมอภาค และให้สิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนา แต่เมื่อพวกเขามีอำนาจ พวกเขาบิดพลิ้วสัญญาและได้ก่อตั้งศาลศาสนาเพื่อบังคับมุสลิมให้นับถือศาสนาคริสต์ ผู้ใดฝ่าฝืนจะถูกทรมานแล้วฆ่าอย่างทารุณ นี่คือเหตุผลที่ทำให้พ่อต้องแอบทำอิบาดะฮ์อย่างหลบๆซ่อนๆ

พวกเขาบีบบังคับให้ลูกหลานเราตกศาสนาและบังคับให้เราสนทนาด้วยภาษาสเปน ทั้งๆที่ภาษาของเราคือภาษาอาหรับ 40 ปีแล้วที่เรายอมอดทนเราศรัทธาว่า สักวัน อัลลอฮ์จะช่วยเหลือเรา อิสลามสอนเราอย่าเป็นคนที่สิ้นหวังเด็ดขาด

ลูกรัก เจ้าต้องปิดปากเงียบ ชีวิตของพ่อขึ้นอยู่กับริมฝีปากของเจ้า พ่อไม่กลัวตายหรอก แต่ความตั้งใจของพ่อ คือจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ สอนศาสนาและภาษาให้แก่เจ้า พ่อจะช่วยให้เจ้ารอดพ้นจากความมืดมิดของการตั้งภาคี สู่แสงสว่างแห่งการศรัทธาให้ได้ ลุกขึ้นเถิดโอ้ลูกรัก

นับตั้งแต่นั้นมา ทุกครั้งที่ฉันเห็นพระราชวังอัลฮัมบราและหออะซานกรานาดา หัวใจฉันเต้นระทึก มันคือช่วงเวลาที่ฉันดื่มกินความโศกเศร้า คลุกเคล้าความหดหู่ จิตใจถูกรุมเร้าด้วยเรื่องราวของความผิดหวังและเศร้าหมอง ฉันขังตัวเองอยู่ในวังวนของความทุกข์อาลัยอาวรณ์ แต่ในขณะเดียวกัน หัวใจฉันชุ่มฉ่ำเบิกบานด้วยความรักและภาคภูมิใจเมื่อนึกถึงอดีตอันรุ่งโรจน์ของกลุ่มชนที่ได้สร้างอารยธรรมอันสูงส่งเหล่านี้

พวกเขาคือหยาดฝนแห่งความสมัครสมาน  เมล็ดพันธุ์แห่งความดีงาม คาราวานแห่งความรู้และสายธารแห่งสันติภาพที่ไหลเวียนและงอกเงยบนแผ่นดินอันดาลูเซียนานกว่า 8 ศตวรรษ

แต่ทุกครั้งที่ฉันนึกถึงความโหดเหี้ยมของศาลศาสนา ทำให้ฉันรีบวิ่งกลับบ้าน เพื่อท่องตำราที่ฉันเรียนกับคุณพ่อฉันเริ่มหัดเขียนอักขระอาหรับ เรียนรู้วิธีอาบน้ำละหมาด และเริ่มละหมาดตามหลังคุณพ่อในห้องลับนั้น

ช่วงนี้ คุณพ่อมักทดสอบฉันอยู่เนืองๆ คุณแม่มักจะถามฉันตลอดว่า พ่อสอนอะไรบ้าง แม่รู้ว่าเจ้าทำอะไรลับๆกับพ่อ เจ้ามีอะไรปิดบังแม่หรือ ทุกครั้งที่แม่ถามเรื่องนี้ ฉันตอบว่าไม่ ไม่รู้ ไม่ทราบ ถึงแม้คุณแม่จะคะยั้นคะยอแค่ไหนก็ตาม

จนกระทั่งฉันเริ่มแตกฉานภาษาอาหรับ อ่านอัลกุรอานได้อย่างคล่องแคล่ว และเข้าใจหลักการอิสลามเบื้องต้นเป็นอย่างดี พ่อได้แนะนำให้ฉันรู้จักกับลุงคนหนึ่ง เราทั้ง 3 ได้นัดแนะเพื่อทบทวนบทเรียนและทำอิบาดะฮ์ร่วมกันเสมอ

ศาลศาสนาได้เพิ่มดีกรีความโหดร้ายเป็นทวีคูณ ทุกๆวันฉันเห็นคนทั้งชายหญิงถูกทรมานมากมายนับสิบๆคน บางคนถูกตรึงที่ไม้กางเขน บางคนถูกเผาทั้งเป็น บางคนถูกถอดเล็บมือเล็บเท้า บางคนถูกตัดนิ้วมือแล้วนำไปเผา ก่อนที่จะจ่อใส่ปากนักโทษ บางคนถูกเฆี่ยนตีจนเนื้อหนังแตกกระจุย

วันเวลาผ่านไปหลายปี เช้าวันหนึ่ง คุณพ่อบอกฉันว่า โอ้ลูกรัก พ่อรู้สึกว่าวันเวลาใกล้มาทุกขณะแล้ว พ่อเฝ้าฝันถึงชะฮีดทุกเมื่อยาม บางทีอัลลอฮ์จะประทานสวนสวรรค์ให้พ่ออีกในไม่ช้า หลังจากที่พ่อช่วยพยุงเจ้าให้ออกจากมุมมืดของการตั้งภาคี พ่อไม่ได้หวังอะไรในชีวิตนี้อีกแล้ว ลูกรัก เมื่อถึงเวลานั้น เจ้าจงเชื่อฟังลุงคนนั้น อย่าขัดขืนคำสั่งของเขาโดยเด็ดขาด

วันเวลาผันผ่าน ในค่ำคืนอันมืดมิด ลุงมาหาฉันและสั่งให้ตามเขา ด้วยความช่วยเหลือของอัลลอฮ์ เราสามารถลัดเลาะเส้นทางที่แสนอันตราย เพื่อมุ่งสู่ทิศตะวันตก

เมื่อฉันมั่นใจว่าปลอดภัย ฉันถามลุงว่าพ่อและแม่ฉันอยู่ที่ไหน ลุงกำมือฉันแน่น พร้อมตอบว่า พ่อของเจ้าเคยสั่งให้เชื่อฟังฉันไม่ใช่หรือ ฉันเงียบและเดินตามลุงโดยดี

ลุงบอกฉันว่า จงอดทนเถิดหนูน้อย พ่อแม่ของเจ้าคงสุขสบายในสวรรค์ฟิรเดาส์ด้วยน้ำมือของศาลศาสนาแล้วกระมัง

ทั้งสองมุ่งเดินทางไปยังชายฝั่งตะวันตกและได้ถึงที่ตูนิเซีย เมืองมุสลิมโดยสวัสดิภาพ และใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น

หลายปีหลังจากนั้น ณ ดินแดนตูนิเซีย ได้ปรากฏผู้รู้ผู้ยิ่งใหญ่นามว่า มูฮัมมัด บินอับดุลรอฟีอฺ ท่านใช้ชีวิตที่ตูนิเซียและเป็นอุละมาอฺผู้ยิ่งใหญ่ที่เผยแพร่อิสลามและแต่งตำราทางศาสนามากมาย ท่านเสียชีวิตปี ฮ.ศ. 1052

رحم الله العالم الرباني الشيخ محمد بن عبد الرفيع بن محمد الشريف الحسيني المرسي الأندلسي وغفر له ولوالديه وأسكنهم فسيح جناته وجمعنا معهم في الفردوس الأعلى من الجنة آمين يا رب العالمين


โดย Mazlan Muhammad

อ้างอิงจาก

https://3.bp.blogspot.com/-GQr37gxI8wQ/UeCAHapp62I/AAAAAAAAASs/JySu-Ed-K2w/s1600/Screenshot_2013-07-12-20-02-38.png

ระหว่างอุศูล(แกนศาสนา)กับฟุรูอฺ(ข้อปลีกย่อยทางศาสนา)

ละหมาดฟัรฎูเป็นเรื่องอุศูลของชะรีอะฮ์

เรื่องกล่าว أصلي

การกระดิกนิ้วขณะตะชะฮฮูด

การวางมือขณะกิยาม

อ่านบิสมิลลาฮดังในฟาติหะฮ์

กุนูตศุบฮิ

การลูบหน้าหลังสะลาม

ฯลฯ

ถือเป็นเรื่องฟุรูอฺในชะรีอะฮ์

อิสรออ์และมิอฺร็อจนบี เป็นเรื่องอุศูลของอะกีดะฮ์

แต่ประเด็น

นบีอิสรออฺและมิอฺร็อจด้วยร่างและวิญญาณหรือวิญญาณเท่านั้น

การที่นบีมองเห็นอัลลอฮในคืนมิอฺร็อจหรือไม่

ถือเป็นประเด็นฟุรูอฺในอะกีดะฮ์

การดื่มน้ำหรือทานด้วยมือซ้ายถือเป็นฟุรูอฺ

แต่หากดื่มด้วยมือซ้าย โดยตั้งใจฝ่าฝืนคำสั่งนบีและดูถูกสุนนะฮ์นบี ก็ถือเป็นบาปใหญ่ถึงขั้นตกศาสนาทีเดียว

นรกสวรรค์เป็นเรื่องอุศูลของอะกีดะฮ์

แต่ประเด็นว่านรกจะสิ้นสลายหรือไม่

เป็นเรื่องฟุรูอฺ

การนินทาจาบจ้วง การใส่ร้ายป้ายสี การพูดโกหก  การจองหองเย่อหยิ่ง และนิสัยเชิงลบต่างๆ เป็นเรื่องอุศูลในอัคล้าค ถึงแม้ไม่ใช่เป็นเรื่องอะกีดะฮ์หรือชะรีอะฮ์แต่อย่างใด แต่เป็นอุศูลที่มุสลิมทุกคนต้องห่างไกล

หะดีษ 73 จำพวกเป็นเรื่องอะกีดะฮ์ล้วนๆ

แต่ไม่ใข่อุศูลของอะกีดะฮ์ ที่มุสลิมทุกคนจะต้องเจาะลึกรายละเอียดอย่างเอาเป็นเอาตาย

ครั้งหนึ่ง มีชายชาวอิรัก ถามอับดุลลอฮ์ อิบนุอุมัร ในประเด็น คนที่ครองเอี้ยะห์รอม แล้วไปฆ่าแมลงวัน เขาจะต้องชดใช้อะไรหรือไม่ อิบนุอุมัร์จึงตอบว่า ชาวอิรักได้สังหารหลานนบี แต่พวกเขาถามเรื่องแมลงวัน (นัยหะดีษอัลบุคอรีย์/3753)

สังคมเรายังต้องเรียนรู้อีกมากมายว่า อะไรคืออุศุล อะไรคือฟุรูออฺ

อะไรคือชะรีอะฮ์ อะไรคืออะกีดะฮ์

หาไม่แล้ว เราจะเป็นสังคมที่ใส่ใจแต่เรื่องปลีกย่อย แต่ไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องที่เป็นแกนหลัก หมกมุ่นจับจองแต่เรื่องเปลือกกระพี้ แต่เมินเฉยในเรื่องเนื้อในที่เป็นแก่นแกน


โดย Mazlan Muhammad

Machiavellian …. วงจรอุบาทว์ในวิถีการเมือง

นิคโคโล มาเคียเวลลี่ (เสียชีวิตปี 1527) นักปรัชญาและนักรัฐศาสตร์ชาวอิตาลียุคเรเนซองส์ ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งรัฐศาสตร์สมัยใหม่  และเป็นศาสดาสำหรับเจ้าผู้ปกครอง มีชื่อเสียงจากงานเขียนเรื่องสั้นการเมืองเรื่อง”เจ้าผู้ปกครอง” (The Prince) ซึ่งต่อมานามสกุลของเขาได้กลายเป็นคำศัพท์ในทางการเมืองว่า “มาเคียเวลลี่” (ผู้เฉียบแหลมมีปฏิภาณ) และ “มาเคียเวลเลี่ยน” (การใช้เล่ห์เหลี่ยมอุบายในการเมือง)

The Prince คือ ชุดคุณธรรมที่เป็นสายธารนักคิดจากตะวันตกที่ว่ากันว่าเป็นตำราที่ชนชั้นปกครองทั่วโลกต้องอ่านเสมือนคัมภีร์และดูเหมือนว่ายังทรงอิทธิพลอยู่ไม่เสื่อมคลาย ตลอดจนยังคงแทรกซึมอยู่กับทุกสังคม บางคนเชื่อว่านี่เป็นการอธิบายมนุษย์ด้วยสายตาที่เป็นจริง เพราะนี่คือสันดานที่แท้จริงของมนุษย์ เมเคียเวลลี่เพียงแค่อธิบายออกมาเป็นตัวหนังสือที่กระจ่างชัดเท่านั้น

หนังสือเล่มนี้ถูกเผยแพร่หลังจากผู้เขียนเสียชีวิตแล้ว เป็นหนังสือที่ถูกมองว่าเป็นต้นน้ำของความโหดร้ายอำมหิต ใช้เล่ห์เหลี่ยมเพทุบาย สายธารทางความคิดของหนังสือเล่มนี้ สามารถตกผลึกประยุกต์ใช้ในวิถีการเมืองส่วนหนึ่งได้แก่

                ⁃              ผู้ปกครองไม่จำเป็นต้องเอื้อเฟื้อหากไม่นำไปสู่การรักษารัฐ

                ⁃              ผู้นำสามารถผิดสัจจะหรือผิดคุณธรรมได้ทันที หากเป็นเรื่องประโยชน์ของรัฐชาติ

                ⁃              เป้าหมายสามารถทำให้วิธีการที่สกปรกมีความชอบธรรมได้

                ⁃              บุคคลสามารถใช้วิธีการไหนก็ได้เพื่อให้ได้มาซึ่งการรักษารัฐชาติ

                ⁃              ผู้ปกครองสามารถใช้ความโหดร้ายอำมหิตเข้าตำรา “ตัดไผ่อย่าไว้หน่อ ฆ่าพ่ออย่าไว้ลูก” โดยไม่ต้องใช้หลักคุณธรรมและจริยธรรม

ผลจากการแทรกซึมอุดมการณ์ก่อการร้ายดังกล่าว ทำให้เกิดวงจรอุบาทว์ในวิถีการเมือง ส่วนหนึ่งได้แก่

– การซื้อสิทธิ์ขายเสียง

– คอร์รัปชั่น

– ไร้ธรรมาภิบาล

– คดโกง หักหลัง ทรยศ

– มุ่งแต่เป้าหมายแห่งชัยชนะ โดยไม่คำนึงวิธีการที่ถูกต้อง

– เสนอ(หน้า) ตัวเอง เพื่อได้รับตำแหน่ง ทั้งๆที่ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ

– วัฒนธรรมการโจมตี ใส่ร้าย และสร้างข่าวลวงเพื่อทำลายคู่ต่อสู้ หรือแม้กระทั่งสังหารคู่ต่อสู้

– ผลิตวาทกรรมสวยหรู แต่ไร้น้ำหนักในภาคปฏิบัติ

-ให้ความสำคัญกับการสร้างภาพเหนือกว่าสร้างบุญ

-ไม่สนใจด้านคุณธรรม จริยธรรม

-สร้างความมั่งคั่งให้ตัวเองและพวกพ้อง

ทฤษฎีการเมืองชุดนี้คือ”วาทกรรมแห่งซาตาน”ที่แท้จริง เป็นต้นตำรับของลัทธิก่อการร้ายที่ปฏิบัติการโดยเจ้าผู้ปกครองโดยใช้ข้ออ้าง”รักชาติ” และมองชีวิตประชาชนเป็นผักเป็นปลา เป็นทฤษฎีที่อธิบายมนุษย์ในมิติของความเป็นสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งเต็มไปด้วยกิเลสตัณหา ละโมบโลภมาก คล้อยตามอารมณ์ใฝ่ต่ำ ชอบสร้างศัตรู โหดร้ายอำมหิต ใช้กำลังตัดสินความเห็นต่างและเห็นแก่ตัวที่สุด เสี้ยมสอนผู้คนให้ทำตัวเหมือนสุนัขจิ้งจอกที่เจ้าเล่ห์และสิงโตที่โหดร้ายในเวลาเดียวกัน

ทั้งๆที่มนุษย์โดยสัญชาติญาณดั้งเดิมเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความรักทั้งต่อตนเองและพวกพ้อง มีความเอื้ออาทร ใฝ่หาสันติและสร้างสรรค์ความเจริญ มนุษย์มีส่วนที่เป็นวิญญาณที่ถวิลหาสวนสวรรค์ อันเป็นที่อยู่ครั้งแรกของอาดัมและฮาวา บรรพบุรุษคู่แรกของมนุษย์

ชาติตะวันตกกรอกหูชาวโลกว่า อิสลามคือศาสนาก่อการร้าย อัลกุรอานคือวาทกรรมแห่งซาตาน นบีมูฮัมมัดคือผู้นำจอมเผด็จการ คลั่งสงคราม ทั้งๆที่โลกได้ประจักษ์พยานว่า อิสลามได้นำความเจริญรุ่งเรืองให้กับชาวโลกมากน้อยแค่ไหน นบีมูฮัมมัดกลายเป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงที่สร้างแรงบันดาลใจให้ชาวโลกสร้างอารยธรรมสูงสุดของมนุษยชาติ มากน้อยเพียงใด ในขณะที่อัลกุรอานได้นำพามนุษย์พบกับสันติสุขอันแท้จริง

ที่สำคัญ นบีมูฮัมมัดได้ลงมือปฏิบัติคำสอนอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ในทุกแง่มุมชีวิต เป็นเวลานานกว่า 23 ปี และได้นำพาชาวเบดูอีนที่อาศัยในทะเลทราย ให้กลายเป็นผู้นำโลก พร้อมสร้างอารยธรรมที่สูงส่งให้แก่มนุษยชาติมาแล้ว

ในขณะเดียวกัน ขาติตะวันตกสร้างบิดารัฐศาสตร์ยุคใหม่อย่าง”มาเคียเวลลี่ “ จนกระทั่งเรียกชื่อนามสกุลเขาเคียงคู่กับผู้เฉียบแหลมมีปฏิภาณ แถมบัญญัติคำว่า “มาเคียเวลเลี่ยน” คือการใช้เล่ห์เหลี่ยมอุบายทางการเมือง พร้อมยกย่องเชิดชู The Prince ถึงขนาดยกเป็นคัมภีร์สำหรับเจ้าผู้ปกครองทุกคนต้องอ่าน ทั้งๆที่ในความเป็นจริง หนังสือดังกล่าว หาใช่อื่นใดนอกจากเสียงกระซิบของซาตานที่ต้องการปลูกฝังความเป็นสัตว์เดรัจฉานในตัวมนุษย์เรืองปัญญา เชิญชวนผู้คนสลัดทิ้งคุณธรรมจริยธรรมที่เป็นสัญชาติญาณดั้งเดิมของมนุษย์ ปลุกเร้าอารมณ์มนุษย์ให้เสน่หากับอำนาจ เสวยสุขในอารมณ์ใฝ่ต่ำ ใช้ความโหดร้ายอำมหิตเพื่อบังคับขู่เข็ญผู้อ่อนแอ พร้อมพ่นพิษแห่งความเจ้าเล่ห์เพทุบายเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ และตัดขาดเยื่อใยแห่งจริยธรรมอันดีงามเพื่อรักษาและปกป้องอำนาจ

และที่สำคัญ มาเคียเวลลี่ ได้เสียชีวิต ก่อนที่หนังสือของตัวเองถูกเผยแพร่ด้วยซ้ำ ประวัติศาสตร์ก็ไม่เคยบันทึกว่า เขาเคยปกครองอิตาลีจนประสบผลสำเร็จมากมาย จนกลายเป็นต้นแบบของการปกครองประเทศยุคนั้น นอกจาก หนังสือเล่มนี้แล้ว เขาแทบไม่มีผลงานอะไรที่โลกควรแก่จดจำ

น่าแปลก ด้วยหนังสือเพียงเล่มเดียว ชาติตะวันตกยกย่องเขาเป็นบิดาทางรัฐศาสร์ยุคใหม่ถึงขั้นศาสดา

ในศตวรรษที่ผ่านมา โลกได้เป็นพยานของการปฏิบัติใช้ลัทธินี้ ที่ได้ทำให้ผู้คนล้มตายนับร้อยล้านคนในนามรักขาติของเจ้าผู้ปกครอง ประเทศต้องล่มสลายกลายเป็นบ้านแตกสาแหรกขาด ประชาชนทั้งทวีปต้องใช้ชีวิตที่ศูนย์อพยพ หาใช่เป็นเพราะเจ้าผู้ปกครองแทรกซึมคำสอนแห่งซาตานที่ปรากฏใน The Prince ดอกหรือ

จงไตร่ตรองเถิด โอ้มนุษย์เรืองปัญญา


โดย Mazlan Muhammad

แหล่งอ้างอิง

https://www.the101.world/the-prince-2019/

https://th.m.wikipedia.org/wiki/นิกโกเลาะ_มาเกียเวลลี

นิทานชวนคิด “ให้…คือสุขที่ไม่สิ้นสุด”

สองคนศิษย์อาจารย์เดินทางผ่านไร่สวนแห่งหนึ่ง ระหว่างทาง ทั้งสองพบรองเท้าเก่าๆ คู่หนึ่งที่คิดว่าน่าจะเป็นของคนสวนที่ลืมทิ้งไว้

ศิษย์จึงเสนออาจารย์ว่า หากเราแกล้งเจ้าของรองเท้า ด้วยการซ่อนรองเท้าคู่นั้น แล้วเราคอยดูว่า เจ้าของรองเท้าจะมีท่าทีอย่างไร ทำได้ไหมครับ

อาจารย์จึงตอบว่า เราไม่จำเป็นต้องสนุกสนานบนความโศกเศร้าของคนอื่นเลย เจ้ามาจากครอบครัวที่ร่ำรวย เจ้าควรเนรมิตความสุขให้แก่เขา ด้วยการวางเงินในรองเท้าคู่นั้น แล้วเราคอยแอบดูว่า เขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร

ศิษย์จึงทำตามข้อเสนอของอาจารย์ สักครู่ ก็มีชายแก่คนหนึ่งมาหารองเท้าของเขา

ชายแก่คนนั้น สวมใส่รองเท้า แต่เขาต้องประหลาดใจที่พบเงินจำนวนหนึ่งในรองเท้า เขาจึงมองรอบๆด้วยความแปลกใจ เขาร้องให้ด้วยความดีใจ เเละก้มสุญูดขอบคุณอัลลอฮ์ในความกรุณาครั้งนี้ พร้อมรำพันว่า ขอบคุณพระองค์ที่ทรงรับรู้ว่า ขณะนี้ ภรรยาข้ากำลังป่วยหนัก ลูกๆของข้ากำลังร้องให้ด้วยความหิวโหย พระองค์ได้ช่วยเหลือข้าและครอบครัวของข้าแล้ว

ณ ต้นไม้ใหญ่ที่ทั้งสองซ่อนตัว อาจารย์สอนศิษย์ว่า บัดนี้ หัวใจของเจ้าพองโตอย่างเบิกบาน ซึ่งมันจะไม่มีทางเกิดขึ้น หากเจ้าปฏิบัติตามข้อเสนอของเจ้าในครั้งแรก

ศิษย์ก้มศีรษะอย่างยอมรับว่า นี่คือบทเรียนที่ฉันไม่มีวันลืมเลือน  และรู้ซึ้งถึงประโยคที่ฉันไม่เคยรู้เลยว่า “เมื่อท่านให้ ท่านจะเป็นผู้ที่เบิกบานดีใจยิ่งกว่าที่ท่านรับ”

อาจารย์จึงแทรกบทเรียนว่า

ศิษย์รัก พึงรู้ว่า การให้ มีหลายประเภท

            ⁃          อภัยในขณะที่มีความสามารถตอบโต้คือ “ให้”

            ⁃          ดุอาต่อพี่น้องลับหลัง คือ “ให้”

            ⁃          มองโลกในแง่ดีคือ “ให้”

            ⁃          ไม่ซ้ำเติมเพื่อนที่กำลังถูกนินทาคือ “ให้”

            ⁃          ซับน้ำตาและสร้างรอยยิ้มแก่ผู้ที่กำลังเดือดร้อนคือ “ให้”

            ⁃          ช่วยเหลือพี่น้องยามตกทุกข์ได้ยากคือ “ให้”

และ “ให้” ที่ง่ายที่สุด ที่แทบไม่ต้องลงทุนอะไรเลยคือ “ปันรอยยิ้มแก่พี่น้อง”

“ให้” คือการรับที่ไม่สิ้นสุด

“ให้” คือการเพิ่มพูนอันนิรันดร์


เล่าโดย Mazlan Muhammad