เป้าหมายของนาศีฮัต

นะศีฮัต มาจากรากศัพท์ในภาษาอาหรับว่า نصح ซึ่งมีความหมายว่าความบริสุทธิ์ ความใสสะอาด ไร้สิ่งเจือปนใดๆ เหมือนคนที่กรองน้ำผึ้งให้ใสสะอาดอย่างหมดจดพร้อมทานได้ไร้กังวล

ดังนั้น นะศีฮัต จึงต้องมีองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดคือความบริสุทธิ์ทั้งเป้าหมายและวิธีการ ใสสะอาดทั้งกาย ใจ วาจาและกริยาท่าทาง ผู้ที่ให้นะศีฮัตจะต้องรำลึกอยู่เสมอว่า เขาเพียงทำหน้าที่นำเสนอสิ่งดีๆเท่านั้น ส่วนผลจะเป็นประการใด ก็เป็นการตัดสินของอัลลอฮ์ ผู้ให้นะศีฮัตจึงไม่มีวันที่จะรู้สึกเครียดหรือว้าวุ่นใจ จะไม่คล้อยตามอารมณ์อันแปรปรวนของผู้ถูกนะศีฮัตและคนรอบข้าง เพราะเขารู้ดีว่า เขาไม่มีอำนาจใดๆที่จะไปบีบบังคับให้ผู้คนทำตามคำพูดของเขา นอกจากด้วยเตาฟิกจากพระองค์เท่านั้น ดังที่พระองค์กล่าวว่า

لَّسْتَ عَلَيْهِم بِمُصَيْطِرٍ (الغاشية/٢٢)

“เจ้าไม่ได้มีหน้าที่บังคับพวกเขา(ให้ทำตามและเชื่อศรัทธาตามคำสอนของเจ้า)”

نَّحْنُ أَعْلَمُ بِمَا يَقُولُونَ ۖ وَمَا أَنتَ عَلَيْهِم بِجَبَّارٍ ۖ فَذَكِّرْ بِالْقُرْآنِ مَن يَخَافُ وَعِيدِ (ق /٤٥)

“เรารู้ดียิ่งถึงสิ่งที่พวกเขากล่าว และเจ้ามิได้เป็นผู้มีอำนาจเหนือพวกเขา ดังนั้นเจ้าจงตักเตือนด้วยอัลกุรอ่านนี้แก่ผู้กลัวต่อสัญญาร้ายของข้า”

หากองค์ประกอบที่สำคัญนี้มีความบกพร่องหรือมีสิ่งอื่นเจือปน มันจะแปรเปลี่ยนจากนะศีฮัตเป็นการโต้เถียง ทะเลาะเบาะแว้ง ต้องการเอาชนะคะคานไม่จบสิ้น แถมด้วยการด่าทอ เสียดสี การดูถูก จาบจ้วง ตั้งฉายาที่มีเจตนาดูหมิ่นดูแคลน

ผู้ให้คำนะศีฮัต มักจะอ้างว่าทำเพื่ออัลลอฮ์และรอซูล แต่เขาพึงสังวรณ์ว่า อัลลอฮ์ ไม่ได้สั่งใช้ในสิ่งที่เป็นความยุติธรรมและเอี้ยะห์ซาน(ทำดี)เท่านั้น แต่พระองค์ยังห้ามปรามสิ่งลามกและมุนกัร(ความชั่วร้าย)อีกด้วย

ในขณะที่นบีมูฮัมมัด صلى الله عليه وسلم ได้กล่าวว่า

إنِّي لَمْ أُبْعَثْ لَعَّانًا، وإنَّما بُعِثْتُ رَحْمَةً (صحيح مسلم/٢٥٩٩)

“แท้จริงฉันไม่ได้ถูกส่งมาเพื่อสาปแช่งทว่าเพื่อประทานความปรานี”

إِنَّ اللَّعَّانِين لا يَكُونُونَ شُفَعَاءَ وَلا شُهَداءَ يَوْمَ القِيَامةِ ( صحيح مسلم/٢٥٩٨)

แท้จริงผู้ด่าทอไม่สามารถเป็นผู้ประกันตนให้ผู้อื่นและไม่สามารถเป็นสักขีพยานในวันกิยามะฮ์

سِبَابُ المُسْلِمِ فُسُوقٌ، وقِتَالُهُ كُفْرٌ ( صحيح البخاري/٤٨ ومسلم/٦٤)

การด่าทอมุสลิมด้วยกันถือเป็นการทำบาป (ฟาสิก)และการสังหารมุสลิมเป็นการกระทำของผู้ปฏิเสธ(กุฟุร์)

ผู้นาศีฮัตทุกท่าน ลองเอาวิธีการ แนวทาง คำพูดคำจา การโต้ตอบและการถกเถียงของเขา แล้วนำไปเทียบเคียงกับคำสอนของอัลลอฮ์ว่า นาศีฮัตของเขาเป็นที่พอใจของอัลลอฮ์มากน้อยแค่ไหน

หรือให้เขาลองจินตนาการดูว่า หากนบี صلى الله عليه وسلم ได้ยิน ได้อ่านเนื้อหาคำนาศีฮัตของเขา ถามว่านบีจะภูมิใจและดีใจหรือไม่

หากบรรดาเศาะฮาบะฮ์ ชาวสะลัฟศอลิห์และบรรดาอิมามมัซฮับต่างๆได้ยินการแลกเปลี่ยนและการสนทนาของผู้ให้นะศีฮัต พวกเขาจะยกนิ้วโป้งพร้อมกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า นี่แหละใช่เลย บ้างหรือเปล่า

หรือแม้กระทั่งบรรดาผู้รู้ในปัจจุบัน มีใครบ้างที่เห็นดีเห็นงามกับวิธีการของผู้นะศีฮัต ถามว่าผู้นะศีฮัตเคยไปขอคำแนะนำวิธีนะศีฮัตจากผู้รู้จริงมากน้อยแค่ไหน และได้รับคำแนะนำอย่างไรบ้าง

หาไม่แล้ว ผู้ให้นะศีฮัตนั่นแหละ คือบุคคลที่จะต้องรับนะศีฮัตแทน

#หาใช่ใครอื่น

أُبَلِّغُكُمْ رِسَالَاتِ رَبِّي وَأَنَا لَكُمْ نَاصِحٌ أَمِينٌ ( الأعراف / 68)


โดย Mazlan Muhammad

โพสต์จากใจชาวอาหรับแฟนพันธุ์แท้ซีรีส์ “แอร์ตุฆรุล”

โลกออนไลน์กระหน่ำแชร์ข้อความโพสต์จากใจชาวอาหรับแฟนพันธุ์แท้ซีรีส์ “แอร์ตุฆรุล”  เป็นกำลังใจชั้นเยี่ยมให้แก่คนที่ตั้งใจทำงาน ทั้งทีมผู้สร้างและนักแสดง

ข้อความที่แชร์ กล่าวว่า :

เพื่อนของฉัน ถามฉัน ทำไมถึงชอบซีรีส์แอร์ตุฆรุลอย่างบ้าคลั่ง ทำไมถึงภูมิใจในประวัติศาสตร์ของชาวเติร์กราวกับว่าพวกเขาเป็นชาวอาหรับ? ไม่ใช่ประเทศของคุณและวีรบุรุษของคุณหรือที่คู่ควรกับความรักและการเชิดชูนี้ … ?? !!

ฉันจึงบอกเขาว่า :

“ฉันจะตอบคุณโดยมีเงื่อนไขที่ว่า คุณต้องวางใจเป็นกลาง ไม่เข้าข้างใครๆ ยำเกรงต่อพระเจ้าและไม่กลัวใครๆ เกี่ยวกับหลักการของพระองค์ ! !!

เขากล่าวว่า : “ได้”

ฉันบอกเขาว่า :

“ใช่ ฉันเป็นคนอาหรับ แต่ฉันรักศาสนาของฉันมากกว่าความเป็นอาหรับ ความภักดีแรกและสุดท้ายของฉัน มีเพียงต่อศาสนา ..

ฉันรักและสนับสนุนคนที่ส่งเสริมศาสนาแม้ว่าเขาจะเป็นชาวต่างชาติ  และฉันก็เกลียดและเป็นปฏิปักษ์กับคนที่ทำร้ายศาสนา แม้ว่าพี่ชายของฉัน  จะเป็นลูกของแม่ของฉัน  ไม่ใช่แค่คนอาหรับเท่านั้น !

เราชอบซีรี่ส์นี้ เพราะได้บอกความจริงที่ถูกไอ้งั่งบิดเบือน

นั่นคือ เรื่องราวของชาวตุรกีที่ปกป้องศาสนาอิสลามและชาวมุสลิมด้วยชีวิตของพวกเขา ด้วยเลือดเนื้อของพวกเขา  และชูธงของญิฮาดและความรู้ในสี่ทิศของโลก  พวกเขาเสียสละลูก ๆ ภรรยา ตัวเองและสิ่งมีค่าทั้งหมด

พวกเขาถูกอธรรม แต่มีความอดทนและอดทน

พวกเขามุ่งมั่นต่อสู้ จนอัลลอฮ์ประทานชัยชนะแก่พวกเขา

พวกเขาได้ก่อตั้งระบอบคอลีฟะฮ์ที่ปกครองดินแดนกว่าสองในสามของโลกด้วยความยุติธรรมและความเมตตา

พวกเขาตัดหัวอสรพิษร้ายและทำลายอาณาจักรที่มันสร้างขึ้นบนกะโหลกของทารกมุสลิม ล้างแค้นให้ผู้หญิงที่ถูกหยามเกียรติ และคืนสิทธิให้กับเจ้าของแม้จะไม่ใช่มุสลิมก็ตาม

ข้อเท็จจริงที่ถูกเปลี่ยนแปลงและบิดเบือนในหนังสือประวัติศาสตร์ เราอ่านหนังสือของเราตอนที่เรายังเด็ก มีคำถามในข้อสอบว่า (จงบอกถึงข้อเสียของการยึดครองของชาวเติร์กในประเทศของเธอ และผลดีของการยึดครองของฝรั่งเศส !!)

การพิชิตของออตโตมันจึงกลายเป็นการยึดครอง และการยึดครองอันเหี้ยมโหดของฝรั่งเศสเป็นข้อดี.

ไม่มีใครถูกอธรรมในประวัติศาสตร์เท่ากับวีรบุรุษของตุรกีถูกอธรรม ..

พวกเขาถูกอธรรมจากคนนอกรีตและการผิดศีลธรรม แต่ความอยุติธรรมที่รุนแรงที่สุดที่เกิดขึ้นกับพวกเขาคือความอยุติธรรมของพี่น้องในศาสนา …

และน่าเสียใจยิ่งที่ความอยุติธรรมนี้ยังคงดำเนินอยู่จนปัจจุบัน

สุดท้ายนี้ เพื่อนพึงทราบเถิดว่า  กฎของพระเจ้าไม่ได้เข้าข้างใคร ผู้ใดพยายามผู้นั้นย่อมประสบความสำเร็จ

พวกเขาพยายามและสร้างผลงานทางประวัติศาสตร์ที่ทำให้คนนับพันเข้าสู่ศาสนาของพระเจ้า หลังจากมีการรับชมเกินกว่าสี่พันล้านคน นั่นคือประมาณสองในสามของโลก

เชื่อหรือไม่ ซีรีส์นี้ในหลาย ๆ ฉาก  ยกย่องวีรบุรุษในประเทศของฉัน รวมถึงผู้คนและนักวิชาการในประเทศของฉัน ไม่ต้องพูดถึงการเชิดชูอันยิ่งใหญ่ต่อท่านนบี ศอลฯ  ตลอดจนภรรยาที่บริสุทธิ์ของท่านและซอฮาบะฮ์ที่มีเกียรติของท่าน 》》


โดย Ghazali Benmad

เรื่องเล่าชายแดนใต้ [ 3 ]

ตอน มาเยี่ยมมาเยือน

เมื่อวันศุกร์ที่ 5 มีนาคม 2564 เวลา 10.00 น.

คณะผู้ดูแลกองทุนเพื่อการศึกษานายซูเฟียน อาแว นำโดยนายอาฟิฟ วามุ พร้อมด้วยผศ. มัสลัน มาหะมะและทีมงาน ได้เดินทางไปเยี่ยมบ้านเลขที่ 12/2 ม. 5 ต. กระเสาะ อ. มายอ จ. ปัตตานี  ซึ่งเป็นบ้านปู่ย่าของนายซูเฟียน อาแว หลังจากชาวมือบนร่วมระดมบริจาคให้นายซูเฟียน อาแวเป็นเงินจำนวน 90,000 บาท (ข้อมูลวันที่ 5 มี.ค. 64) ผ่านการโพสต์เรื่องราวในเพจ Mazlan Muhammad และเว็บไซต์ theustaz.com

คุณปู่ของนายซูเฟียน ปัจจุบันอายุ 75 ปี เล่าว่า ตนมีลูกชาย 2 คน ลูกคนโตคือบิดาของนายซูเฟียน ประกอบอาชีพกรีดยางพาราที่สวนยางของตนที่ อ. สะเดา จ. สงขลา ช่วงเกิดเหตุ ลูกชายของตนกลับบ้านกระเสาะ เพื่อเยี่ยมภรรยาและลูกชายวัย 3 ขวบ(นายซูเฟียน) และลูกชายที่เพิ่งคลอด ส่วนตนและภรรยา(คุณย่า) กรีดยางที่สวนยางที่สะเดา โดยไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า เหตุร้ายจะเกิดขึ้นกับลูกชาย

คุณปู่เล่าต่อว่า เมื่อราวกลางปี 2548 ช่วงกลางคืน มีคนร้ายรอซุ่มในเงามืดหน้าบ้าน เมื่อลูกชายของตนเปิดประตูที่ระเบียงหน้าบ้าน เพื่อจะหยิบขนมให้ลูกชาย คนร้ายได้ยิงด้วยปืนลูกซองเข้ากลางอกของลูกชาย 1 นัด จนเสียชีวิตคาที่ ท่ามกลางความตื่นตระหนกของลูกน้อยทั้งสองและภรรยา เมื่อทราบข่าว ตนจึงกลับบ้าน หลังจากนั้น ตนและภรรยาไม่สามารถกรีดยางที่สะเดาอีกต่อไป เนื่องจากอดีตสะใภ้มีครอบครัวใหม่ ทำให้ตนต้องอุปการะเลี้ยงดูหลานกำพร้าทั้งสอง และมอบหมายให้ลูกชายอีกคนดูแลสวนยางแทน

คุณปู่เล่าว่า เวลาผ่านไป 16 ปี ไม่มีหน่วยงานทางราชการมาให้ความช่วยเหลือ และไม่เคยได้รับการเยียวยาใดๆ เนื่องจาก ช่วงนั้นสถานการณ์วุ่นวายมาก มีเหตุร้ายเกิดขึ้นแทบทุกวัน ตนจึงตั้งใจจะอุปการะเลี้ยงดูหลานทั้งสองคนนี้ ให้เป็นคนดี มีการศึกษา แต่ตอนนี้ตนอายุมากแล้ว ไม่สามารถทำงานหนักได้เนื่องจากเป็นโรคประจำตัว เหลือแต่ยายที่เป็นเสาหลักให้ครอบครัว ทำงานหาเข้ากินค่ำ มีรายได้วันละ 150 บาท และต้องส่งเสียเป็นค่าเล่าเรียนให้หลานชายทั้งสองอาทิตย์ละ 400-600 บาท ตนจึงต้องเก็บหอมรอมริบเพื่อเลี้ยงดูหลานต่อไป

คุณปู่พูดด้วยเสียงสั่นเครือว่า ตนขอบคุณอัลลอฮ์ ที่ตอบรับดุอาให้ความช่วยเหลือด้วยพลังกุศลเจตนาของชาวมือบนที่สนับสนุนกองทุนเพื่อการศึกษาให้หลานรักทั้งสอง ตนดีใจมากและขอพรให้หลานทั้งสองตั้งใจเรียน เป็นเด็กดีเพื่ออนาคตที่ดีต่อไป

นายซูเฟียน อาแว กล่าวด้วยความดีใจว่า ขอชุโกร์ต่ออัลลอฮ์ ขอขอบคุณคุณปู่คุณย่า ผู้บริหาร ครู อุสต้าสและเพื่อนๆ ในโรงเรียนส่งเสริมศาสน์ ต. ตันหยงดาลอ อ. ยะหริ่ง จ. ปัตตานีที่ให้กำลังใจด้วยดีเสมอมา ตนขอสัญญาว่า จะใช้จ่ายกองทุนนี้เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของผู้บริจาคทุกประการ ที่สำคัญขอขอบคุณเป็นอย่างสูงแก่เพจ Mazlan Muhammad และเว็บไซต์ theustaz.com ตลอดจนชาวมือบนทุกท่านที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของการระดมทุนครั้งนี้

หลังจากนั้น คณะฯได้เดินทางไปยังเมืองปัตตานี เพื่อเปิดบัญชีใหม่ โดยในเบื้องต้นได้ถอนเงินจำนวน 90,000 บาท จากบัญชีธนาคารของนายซูเฟียน อาแว พร้อมฝากเข้าบัญชีใหม่ของธนาคารอิสลามในนาม นายซูเฟียน อาแว นายอาฟิฟ วามุ (ผู้แทนโรงเรียนส่งเสริมศาสน์)และนายมัสลัน มาหะมะ

หมายเลขบัญชี 0361193483 สาขาบิ๊กซี ปัตตานี

สำหรับผู้ที่จะร่วมสมทบทุนการศึกษานี้สามารถโอนเข้าบัญชีใหม่ตามระบุข้างต้น  โดยคณะผู้ดูแลจะคอยติดตามและดำเนินการใช้จ่ายเพื่อเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกองทุนนี้ทุกประการ

وجزاكم الله خيرا


โดย Mazlan Muhammad

กลลวงแก๊งมิจฉาชน

1 ในยุทธวิธีแก๊งแชร์ลูกโซ่คือ เกาะกระแสผู้มีชื่อเสียงด้านต่างๆ เพื่อสร้างราคาให้แก๊งตัวเองมีความน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น บางครั้งตั้งเป็นที่ปรึกษา บางครั้งเชิญมาเป็นประธานในพิธีเปิดตัว บางครั้งถ่ายรูปคู่เพื่อแสดงความสนิทสนม บางครั้งหลงกลถูกดึงเข้าลงทุนด้วยการรับส่วนแบ่งผลกำไรอย่างงาม

 และ 1 ในกลุ่มผู้มีชื่อเสียงที่มักถูกเทียบเชิญเพื่อฟอกตัวแก๊งนี้คือบรรดาอุสต้าซ โต๊ะครู โต๊ะอิมาม โต๊ะฮัจญี บาบอหรือมามาทั้งหลาย

จึงขอเตือนไปยังอุสต้าซ โต๊ะครู โต๊ะอิมาม บาบอหรือมามาทั้งหลายว่า หากมีคนมาชี้ชวนลงทุนหรือเกี่ยวข้องกับธุรกิจบาปนี้ ขอให้ท่านดูตาม้าตาเรือบ้าง รู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมของแก๊งหลอกลวงบนคราบน้ำตาของชาวบ้าน อย่าเป็นคนตื้นเขิน เบาปัญญา ไร้เดียงสา ทำตัวไม่รู้ร้อนรู้หนาว รับทรัพย์โดยไม่รู้ที่มาที่ไปเข้าตำรา 5 D ( Duduk Diam-Diam Dapat Duit)

ในวันแห่งการไต่สวน ท่านจะตอบว่าไม่รู้ ไม่ทราบ ผมแค่รับเงินอย่างเดียวเท่านั้น

แค่เหตุผลตื้นๆ แค่นี้ อัลลอฮ์จะให้อภัยหรือ


โดย Mazlan Muhammad

สัญญาณผู้มีโรคทางใจ

บรรดาผู้มีโรคทางใจมักจะไม่สนใจเรื่องสุขภาพของผู้เจ็บป่วย ยกเว้นในช่วงถือศีลอดในเดือนรอมฎอน

พวกเขาไม่เคยใส่ใจเรื่องการคุ้มครองชีวิตสัตว์ ยกเว้นช่วงอิดิลอัฎฮา

พวกเขาไม่เคยแตะต้องเรื่องสิทธิสตรียกเว้นเรื่องฮิญาบและการรับมรดกของสตรี

พวกเขาไม่เคยให้ความสำคัญกับการสร้างโรงพยาบาล ยกเว้นเมื่อมีการสร้างมัสยิด

พวกเขาไม่เคยพูดประเด็นการฟุ่มเฟือยและค่าใช้จ่าย ยกเว้นช่วงเทศกาลทำฮัจญ์และอุมเราะฮ์


แหล่งที่มา Twitter : @M-Durmaz-Ar

โดย Mazlan Muhammad

ตัวชี้วัดของการอดทนยามเจ็บป่วยหรือประสบภัยพิบัติ

อิสลามสอนให้ผู้ป่วยหรือผู้ประสบภัยพิบัติให้ใช้ความอดทนอย่างแรงกล้า นบีได้แจ้งข่าวดีว่า อัลลอฮ์จะทรงยกโทษและลบล้างบาปของผู้เจ็บป่วยหรือผู้ประสบภัยพิบัติ ถึงแม้เขาจะโดนตอกหนามเพียงน้อยนิดก็ตาม ยกระดับของเขาและเพิ่มพูนผลบุญมากมาย และหากเสียชีวิตด้วยโรคบางชนิดเช่นโรคติดต่อ หรือโรคภายในท้อง(ตับ ไต หัวใจ ฯลฯ) เขาจะได้รับฐานะชะฮีด ณ อัลลอฮ์ทีเดียว

แต่ทั้งนี้ มีข้อแม้ว่า เขาจะต้องอดทน อดกลั้นกับบททดสอบนี้ด้วยหัวใจที่น้อมรับ และมองบวก ซึ่งสัญญานที่คนๆหนึ่งมีความอดทนยามเจ็บป่วยหรือประสบภัยพิบัติ มีดังนี้

                1.            บังคับความรู้สึกไม่ให้เกิดภาวะโรคแทรกซ้อนทางใจ เช่น เครียดจนเกินเหตุ สับสนกระวนกระวาย ซึมเศร้าวิตกกังวล น้อยเนื้อต่ำใจ อารมณ์ฉุนเฉียว โกรธง่าย

                2.            บังคับลิ้นและวาจา ไม่ให้ดุด่า จู้จี้ขี้บ่น โวยวาย เล่าความเจ็บปวดของตนซ้ำซาก ชอบตัดพ้อจนกลายเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย

3.            บังคับร่างกายไม่ให้แสดงกิริยาที่แสดงตัวตนว่าไม่มีน้ำอดน้ำทน อยู่ไม่สุข หงุดหงิดง่ายทั้งสายตา ใบหน้า และอวัยวะอื่นๆ

ความอดทนของผู้ป่วยมีระดับชั้นที่มากมาย และมีฐานะที่ลดหลั่นกันไป ซึ่งสามารถประเมินได้จาก 3 ตัวชี้วัดที่ได้กล่าวข้างต้น

บางคนได้คะแนนเต็มร้อย บางคนอยู่ในระดับดี บางคนผ่านแค่เฉียดฉิว บางคนคะแนนตกต้องแก้ใหม่ และบางคนไม่มีโอกาสแก้ตัวได้เลย

ผู้ป่วยที่มีความอดทนที่สุดยอดที่สุดคือนบีอัยยูบ عليه السلام ที่ป่วยด้วยโรคผิวหนังนานเกือบ 20 ปี  ท่านไม่เคยปริปากบ่นแม้แต่น้อย และเมื่อโรคร้ายลุกลามจนเกินทน ท่านจึงกล่าวว่า “โอ้อัลลอฮ์ แท้จริงฉันประสบกับความเดือดร้อน และพระองค์เป็นผู้เหนือยิ่งในบรรดาผู้กรุณา “ (ดูอัลกุรอานซูเราะห์อันบิยาอฺ/83)

เช่นเดียวกันกับนบีมูฮัมมัด صلى الله عليه وسلم ที่ท่านเคยพลาดทานเนื้อแพะอาบยาพิษที่สตรียิวนำมามอบให้ ความรุนแรงของพิษทำให้ท่านต้องทนความเจ็บปวด จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต แต่ท่านไม่เคยบอกให้ใครทราบ นอกจากช่วงเวลาที่ท่านจะเสียชีวิตเพียงไม่กี่วันเท่านั้น اللهم صل على محمد وعلى آله وصحبه ومن تبعه إلى يوم الدين

ดังนั้น พึงรู้ว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นสัจธรรมชีวิตที่จะต้องเกิดขึ้นกับทุกคน แต่ผลบุญของ เกิด แก่ เจ็บ ตายของแต่ละคนนั้น มีไม่เท่ากัน

บางคน ใช้สัจธรรมดังกล่าว มาประยุกต์เป็นผลบุญมหาศาล

แต่บางคนกลับใช้เป็นยอดสะสมบาปที่มากมาย

ตัวแปรสำคัญอยู่ที่ ความมอดทนนั่นเอง

إِنَّمَا يُوَفَّى الصَّابِرُونَ أَجْرَهُم بِغَيْرِ حِسَابٍۗ

(الزمر /١٠)

ความว่า : แท้จริงบรรดาผู้อดทนนั้นจะได้รับการตอบแทนรางวัลของพวกเขาอย่างสมบูรณ์โดยไม่ต้องคำนวณ


โดย Mazlan Muhammad

เรื่องเล่าชายแดนใต้ (2)

นายซูเฟียน อาแว (19 ปี) ภูมิลำเนาที่หมู่บ้านกระเสาะ ต. กระเสาะ อ. มายอ จ. ปัตตานี กำลังศึกษาชั้นม. 5 โรงเรียนส่งเสริมศาสน์ ตันหยงดาลอ อ. ยะหริ่ง จ.  ปัตตานี ขณะอายุประมาณ 3 ขวบ มีคนร้ายบุกเข้าบ้านกลางคืนจ่อยิงคุณพ่อเสียชีวิตจมกองเลือดต่อหน้าต่อตาของหนูน้อยซูเฟียน จากการพูดคุย นายซูเฟียน เล่าว่าตนยังจำเหตุการณ์เมื่อ 16 ปีในอดีตได้อย่างดี มันคือฝันร้ายที่เป็นจริงที่คอยหลอกหลอนในความทรงจำจนถึงทุกวันนี้ ขณะนี้ตนอาศัยอยู่กับตายาย ซึ่งมีฐานะยากลำบากมาก แต่ทั้งสองยังจุนเจืออุปการะตนให้ได้รับการศึกษา ตั้งแต่อนุบาลจนกระทั่งปัจจุบัน ตนจึงใช้เวลาว่างรับจ้างทั่วไปทั้งถางป่า กวาดขยะ ช่วยงานที่โรงเรียนและอื่นๆ เพื่อแบ่งเบาภาระของคุณยาย ในอนาคตนายซูเฟียนตั้งใจจะเรียนสายอาขีวะ เพื่อเป็นหลักประกันการใช้ชีวิตที่ดีและสามารถทดแทนบุญคุณของคุณตาคุณยายต่อไป

จากการสอบถามผู้รับใบอนุญาตโรงเรียนส่งเสริมศาสน์  อุสต้าซมะห์มูด วามุ ทราบว่า นายซูเฟียน อาแว ได้เข้าเรียนที่นี่ตั้งแต่ระดับอนุบาล เป็นเด็กตั้งใจเรียน นิสัยดีเรียบร้อย มีจิตอาสาและชอบช่วยเหลืองานโรงเรียนมาโดยตลอด จึงเป็นที่รักของบรรดาเพื่อนๆ คุณครูและอุสต้าซ ทางโรงเรียนได้มอบซะกาตให้น้องซูเฟียนมาโดยตลอด

16 ปีที่ผ่านมา ความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนใต้เพิ่งเริ่มปะทุ และได้ยืดเยื้อจนกระทั่งปัจจุบัน ช่วงนั้น หน่วยงานภาครัฐที่ให้ความช่วยเหลือเยียวยาอาจอยู่ในช่วงการเริ่มต้นและความสับสน จึงอาจตกสำรวจคดีที่เกิดขึ้นกับครอบครัวหนึ่งที่หมู่บ้านกระเสาะในอดีต เมื่อเวลาผ่านไป เรื่องราวของมันอาจถูกกลบด้วยคดีรายวันต่างๆมากมาย จนทำให้เคสของหนูน้อยซูเฟียนถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลา

แต่หนูน้อยซูเฟียน อาแว ที่คลานอยู่ในกองเลือดของคุณพ่อ ก็ได้เติบใหญ่พร้อมลุกขึ้นใช้ชีวิตบนโลกนี้ต่อไปด้วยความอดทนและเข้มแข็ง

16 ปีที่ต้องสู้ชีวิตพร้อมตายายที่มีฐานะยากจน สภาพแวดล้อม มีความเสี่ยงที่จะฉุดคร่าหนูน้อยซูเฟียนให้ตกในวังวนของปัญหาเยาวชนอันมืดมิด แต่เขาลุกขึ้นสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ตัวเองพร้อมตั้งใจเรียนอย่างขยันขันแข็ง ท่ามกลางข้อจำกัดมากมาย – ด้วยเตาฟิกจากอัลลอฮ์

นายซูเฟียน อาแว จึงเป็นอีก 1 เสียงของเหยื่อความรุนแรงที่ไม่ค่อยมีใครได้ยิน อีก 1 เรื่องราวที่ไม่ค่อยมีใครเล่าขาน

นับจากนี้

# อย่าปล่อยให้น้องซูเฟียน อาแว เดินอย่างเดียวดายเลยครับ


พี่น้องสามารถสมทบทุนการศึกษาให้น้องซูเฟียนผ่านหมายเลขบัญชี

ชื่อ นายซูเฟียน อาแว

หมายเลขบัญชี

929-300-267-1

ธนาคารกรุงไทย

บัญชีออมทรัพย์

สาขาเจริญประดิษฐ์

เล่าเรื่อง “ปาเลสไตน์” ผ่านแผนที่ [ ตอนที่ 4 ]

ความเดิมจากตอนที่แล้วคือผมได้เล่าเรื่อง ‘แผนที่’ ถึงช่วงที่มีชาวยิวอพยพลั่งไหลเข้ามาในดินแดนปาเลสไตน์มากมายจนกลายเป็นปัญหา แต่องค์การสหประชาชาติก็เลือกที่จะแก้ปัญหาโดยวิธีแบ่งแยกดินแดนปาเลสไตน์ผ่านการลงมติในที่ประชุม

ก่อนที่มติอันนี้จะถูกนำไปปฏิบัติใช้ ก็เกิดสงครามอาหรับ-อิสราเอลครั้งแรกเสียก่อน อันเป็นสงครามที่ชาวปาเลสไตน์ถูกขับไล่ออกไปจากบ้านเกิดของตนเองเป็นจำนวนมาก

ความขัดแย้งระหว่างอาหรับกับอิสราเอลครั้งแรกปะทุขึ้นทันทีหลังจากที่มีการประกาศจัดตั้งรัฐยิวขึ้นในวันที่ 14 พฤษภาคม 1948 กองทัพทหารของทรานซ์จอร์แดน อียิปต์และซีเรีย โดยมีพลรบจำนวนหนึ่งของเลบานอนและอิรักเข้าเสริม ได้เข้าไปยังดินแดนปาเลสไตน์ในช่วงเช้าตรู่ของวันที่ 15 พฤษภาคม

ความจริงการปะทะกันได้เริ่มขึ้นก่อนหน้าตั้งแต่ปลายปี ค.ศ. 1947 แล้ว แต่ทันทีหลังจากที่สมัชชาใหญ่องค์การสหประชาชาติได้ผ่านมติ “แผนแบ่งแยกดินแดน” (Partition Plan) ในปาเลสไตน์เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 1947 การปะทะต่อสู้ในลักษณะสงครามกลางเมืองระหว่างชาวปาเลสไตน์กับชาวยิวจึงเริ่มขึ้น

ฝ่ายปาเลสไตน์นั้นปฏิเสธแผนแบ่งแยกดินแดนและการจัดตั้งรัฐยิวขึ้น แต่สำหรับฝ่ายยิว หากแผนของสหประชาชาติได้รับการยอมรับก็มีความเชื่อกันว่าจะเป็นประโยชน์ต่ออิสราเอลที่อาจขยายการยึดครองทั้งหมดหรือบางส่วนของรัฐอาหรับในภายภาคหน้า

การต่อสู้ในระยะแรกปรากฏว่าชาวปาเลสไตน์เป็นฝ่ายได้เปรียบและได้รับการเสริมกำลังจากกองทัพอาหรับเพื่อนบ้าน พวกเขาสามารถปิดกั้นการติดต่อสื่อสาร โอบล้อมที่ตั้งถิ่นฐานชาวยิว ตลอดจนปิดกั้นทางเข้า-ออกของเมืองใหญ่ๆ ซึ่งรวมถึงกรุงเยรูซาเล็มเอาไว้ได้

แต่สถานการณ์เริ่มพลิกผันในช่วงปลายเดือนมีนาคม 1948 เมื่อเชคโกสโลวาเกียได้เข้าช่วยเหลือกองกำลังชาวยิว ทำให้กองทัพอิสราเอลเริ่มเป็นฝ่ายรุก

นับจากนั้นการฆ่าหมู่ (massacres) จึงเริ่มขึ้น และที่ฉาวโฉ่มากที่สุดคือ เหตุการณ์ในหมู่บ้าน ดีร ยาซีน (Dir Yassin) เมื่อวันที่ 9 เมษายน 1948 อันเป็นเหตุการณ์ที่นายทหารยิวของเมนาชิม เบกินส์ (Menachem Begin) สังหารชาวบ้านปาเลสไตน์ 250 คน ยังผลให้ความหวาดกลัวแพร่กระจายไปทั่วประชาคมปาเลสไตน์ทั้งหมด

กองทัพอาหรับได้เข้ามาแทรกแซงสงครามกลางเมืองเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม แต่ก็ล้มเหลวที่จะเปลี่ยนแนวโน้มของสงครามที่อิสราเอลกำลังได้เปรียบ ถึงแม้การต่อสู้จะดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง แต่บางครั้งก็สงบลงจากการทำข้อตกลงหยุดยิง

อย่างไรก็ตาม นับจากเดือนกรกฎาคม 1949 เป็นต้นมา อิสราเอลกลับเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด มีการจัดตั้ง “กองกำลังป้องกันอิสราเอล” หรือ “Israeli Defence Force” (IDF) ขึ้น กองกำลังชาวยิวมีผู้บัญชาการที่เชี่ยวชาญจำนวนมาก มีการเกณฑ์กำลังพลได้เพิ่มมากขึ้นเป็น 2 เท่าจากเดิม ได้รับการช่วยเหลือด้านอาวุธจากการลำเลียงขนส่งทางอากาศ (airlift) จากเชคโกสโลวาเกียจากฐานกำลังที่เมืองซาเทค (Zatec)

ความช่วยเหลือจากเชคโกสโลวาเกีย หมายความว่า สหภาพโซเวียต ซึ่งเป็นมหาอำนาจที่เห็นชอบกับ “แผนแบ่งดินแดน” และยอมรับอิสราเอลในฐานะรัฐใหม่ในวันที่ 17 พฤษภาคม 1948 มีส่วนช่วยอย่างมากต่อชัยชนะของอิสราเอลในสงครามครั้งแรกนี้

อย่าลืมว่าในช่วงนั้นสหภาพโซเวียตสนใจเพียงเรื่องเดียวคือ การขจัดอิทธิพลของอังกฤษให้หมดไปจากตะวันออกกลางทั้งหมด

แผนการของสหภาพโซเวียตนับว่าบรรลุผล ความอับอายจากการพ่ายแพ้ทำให้โลกอาหรับเกิดความปั่นป่วนอย่างลุ่มลึก และอังกฤษก็ต้องจ่ายราคาค่าวิกฤตที่เกิดขึ้นแต่เพียงผู้เดียว เพราะมติมหาชนอาหรับเชื่อว่าอังกฤษเป็นต้นเหตุที่ผลักดันให้เกิดสงคราม

กระแสต่อต้านจักรวรรดินิยมอังกฤษแพร่กระจายไปทั่ว นุกราชิ ปาห์ชา (Nokrashi Pasha) หนึ่งในผู้นำอียิปต์ที่นิยมอังกฤษถูกลอบสังหารในเดือนธันวาคม 1948 กลุ่มชาตินิยมวักฟ์ (Wafd) ของอียิปต์ กลับมาสู่เวทีการเมืองอีกครั้งในปี ค.ศ. 1950 และต่อมาเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 1952 กลุ่มนายทหารอิสระ (Free Officers) จึงได้ยึดอำนาจโค่นล้มราชวงศ์กษัตริย์ลงในอียิปต์

ในอิรักเกิดความวุ่นวายที่เพิ่มขึ้น มีการทำรัฐประหารครั้งแล้วครั้งเล่าในซีเรีย แม้แต่ทรานซ์จอร์แดน ซึ่งได้รับความสำเร็จในการผนวกเวสต์แบงก์เข้าไว้เป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรจอร์แดน ก็ยังเกิดปัญหาขึ้นจากการที่กษัตริย์ อับดุลลอฮ์ โอรสของชารีฟ ฮุสเซนและเป็นปู่ของกษัตริย์อับดุลลอฮ์องค์ปัจจุบัน ก็ถูกลอบสังหารในปี ค.ศ. 1951 ที่มัสยิดอัล-อักศอ ณ กรุงเยรูซาเล็ม

เหตุการณ์ทั้งหมดยังผลให้อิทธิพลของอังกฤษค่อยๆ หมดไป

แม้อังกฤษได้รับความเสียหายจากผลลัพธ์ของสงคราม แต่เหยื่อที่แท้จริงก็คือ ชาวปาเลสไตน์ ข้อตกลงหยุดยิงที่ลงนามระหว่างอิสราเอลกับรัฐอาหรับคู่อริต่างๆ ระหว่างวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ถึง 20 กรกฎาคม 1949 ยังผลให้ดินแดนอิสราเอลขยายครอบคลุมร้อยละ 78 ของดินแดนปาเลสไตน์ทั้งหมด

ส่วนของดินแดนปาเลสไตน์จากเดิมที่สหประชาชาติเคยแบ่งเขตดินแดนให้ กล่าวคือ จากเดิมที่อิสราเอลได้แค่ 14,000 ตารางกิโลเมตรก็กลายเป็น 21,000 ตารางกิโลเมตร โดยส่วนที่ได้เพิ่มมาคือ ดินแดนกาลิลีตะวันตก (Western Galilee) ส่วนที่เป็นดินแดนของกรุงเยรูซาเล็มสมัยใหม่ และเมืองเนเกฟ (Negev) ตลอดรวมถึงท่าเรืออิลัต (Eilat) บนทะเลแดง (Red Sea)

นอกจากนั้น อิสราเอลและทรานซ์จอร์แดนยังได้แบ่งสรรดินแดนเวสต์แบงก์ระหว่างกัน ส่วนดินแดนกาซ่านั้นตกอยู่ภายใต้การอารักขาของอียิปต์ แต่เหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด ชาวปาเลสไตน์อย่างน้อย 750,000 คน ต้องถูกขับออกจากบ้านเรือนของตนเอง

งานเขียนของนักประวัติศาสตร์อิสราเอลสมัยใหม่สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การอพยพเคลื่อนย้ายเป็นผลมาจากนโยบายการขับไล่ประชากรชาวปาเลสไตน์ นโยบายนี้ดำเนินเรื่อยไปหลังสงคราม โดยการทำลายหมู่บ้านอาหรับหรือการตั้งนิคมขึ้นใหม่เพื่อรองรับยิวอพยพในถิ่นฐานของชาวปาเลสไตน์หรือโดยวิธีแบ่งที่ดินของชาวปาเลสไตน์ให้แก่ประชาคมชาวยิว โดยที่กฎหมายว่าด้วยเรื่อง “ทรัพย์สินที่ถูกละทิ้ง” (abandoned property) ของอิสราเอลได้ทำให้วิธีการนั้นมีความชอบธรรม

ในกรณีของผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์นั้นสหประชาชาติ (ในเดือนเมษายน 1950) ได้บันทึกไว้ว่ามีเกือบ 1 ล้านคนที่อยู่ในจอร์แดน กาซ่า เลบานอนและซีเรีย

ในเดือนธันวาคม 1948 สหประชาชาติได้ผ่านมติ “สิทธิในการกลับคืนถิ่น” ของชาวปาเลสไตน์อพยพ แต่ผู้นำอิสราเอล นายเดวิด เบนกูเรียน (David Ben Gurian) กลับปฏิเสธพร้อมทั้งประกาศเมื่อวันที่16 มิถุนายน 1948 ว่า “เราจะต้องป้องกันไม่ให้พวกเขาได้กลับคืนถิ่นในทุกวิถีทาง”

เมื่อเหตุการณ์เป็นไปในลักษณะที่อิสราเอลสามารถขยายดินแดนออกไป รัฐอาหรับเพื่อนบ้านทั้งหลายตกอยู่ในภาวะปั่นป่วน และชาวปาเลสไตน์ถ้าไม่ถูกยึดครองก็ถูกขับไล่ออกไปจากดินแดน ทำให้สงครามระหว่างอาหรับกับอิสราเอลครั้งแรกกลายเป็นเงื่อนไขที่ทำให้เกิดวิกฤตการณ์ต่างๆ ตามมาภายหลัง

จากตรงนี้เองจึงเป็นจุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรมที่ทำให้ตะวันออกกลางกลายเป็นดินแดนที่เกิดการนองเลือดนับจากนั้นเป็นต้นมา


โดย Srawut Aree

เล่าเรื่อง “ปาเลสไตน์” ผ่านแผนที่ [ ตอนที่ 3 ]

ได้ข่าวมาว่าวันนี้ทั้ง Google Map และ Apple Map ได้ลบคำว่า “ปาเลสไตน์” ออกจากแผนที่ แล้วใช้คำว่า “อิสราเอล” เข้ามาแทนที่ ผมเลยลองเสิร์ชเข้าไปในทั้ง 2 เสิร์ชเอนจิน ปรากฏว่าไม่มีคำว่าปาเลสไตน์จริง ๆ มีแต่คำว่าอิสราเอล

แต่ก็ไม่แน่ใจว่าก่อนหน้านี้จะมีคำว่าปาเลสไตน์อยู่หรือไม่ เพราะไม่เคยเข้าไปเสิร์ชดูมาก่อน ถึงอย่างนั้น ผมก็ค่อนข้างแน่ใจอย่างหนึ่งว่าความพยายามในการลบแผนที่ปาเลสไตน์ออกไปจากการรับรู้ของประชาคมโลกมันเกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

ด้วยเหตุนี้ การเล่าเรื่องปาเลสไตน์ผ่านแผนที่ที่ผมกำลังทำอยู่นี้จึงเป็นส่วนหนึ่งในการรณรงค์ให้คนที่ถูกกดขี่ได้รับความยุติธรรม หรืออย่างน้อยก็เป็นการรณรงค์ให้เรื่องนี้เป็นที่รับรู้และเข้าใจในสังคมไทยมากยิ่งขึ้น

แผนที่อันที่ 3 นี้ขอเล่าถึงแผนการแยกแผ่นดินปาเลสไตน์ขององค์การสหประชาชาติในปี 1947 ครับ

อย่างที่ผมได้เล่าไปแล้ว หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ชาวยิวเริ่มเคลื่อนย้ายจากยุโรปเข้ามาอาศัยอยู่ในปาเลสไตน์จำนวนมาก ตามสถิติที่ทางการอังกฤษเองได้บันทึกเอาไว้ มีการไหลทะลักเข้ามาของชาวยิวอพยพระว่างปี 1920 ถึง 1946 มากถึง 376,415 คน (ดูข้อมูลจาก Stanford BJPA หน้า 185 ได้ครับ) จนทำให้ชาวอาหรับปาเลสไตน์ไม่พอใจ

ความขุ่นเคืองที่เกิดขึ้นท้ายที่สุดจึงนำไปสู่การปะทะต่อสู้กันเป็นระลอกๆ และนับวันยิ่งเพิ่มความรุนแรงมากขึ้น เมื่อไม่สามารถจะควบคุมสถานการณ์ได้ อังกฤษจึงนำประเด็นปัญหานี้มอบให้แก่สถาบันระหว่างประเทศที่เกิดขึ้นใหม่ขณะนั้นคือ องค์การสหประชาชาติ

ในการณ์นี้สมัชชาใหญ่ของสหประชาชาติจึงได้ส่งคณะกรรมการพิเศษ (United Nations Special Commission on Palestine: UNSCOP) เข้าไปในปาเลสไตน์เพื่อศึกษาและรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

รายงานของ UNSCOP ได้ออกมาเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 1947 โดยได้เสนอแนวทางแก้ปัญหา 2 ทาง ทางแรกเป็นแผนของคณะกรรมการส่วนใหญ่ที่ให้แบ่งปาเลสไตน์ออกเป็น 2 รัฐ คือ รัฐยิวและรัฐอาหรับโดยมีสหภาพเศรษฐกิจ (economic Union) ร่วมกัน

ทางที่สองคือ การจัดตั้งสหพันธรัฐขึ้นในปาเลสไตน์

นอกจากนั้น รายงานยังเสนอให้กรุงเยรูซาเล็มเป็น “เขตระหว่างประเทศ” (international zone) ซึ่งจะอยู่ภายใต้การบริหารจัดการของสหประชาชาติโดยตรง เพราะเป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์ของทั้งชาวยิว คริสเตียน และมุสลิม

ชาวอาหรับนั้นปฏิเสธแผนแบ่งแยกประเทศ แต่แผนนี้กลับได้รับความเห็นชอบและได้ออกเป็นมติของสหประชาชาติ

เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 1947

อังกฤษได้ยกเลิกระบบอาณัติที่ใช้กับดินแดนปาเลสไตน์ในปี ค.ศ. 1948 หลังจากนั้นรัฐอิสราเอลจึงถูกประกาศจัดตั้งอย่างเป็นทางการโดยคณะปกครองชาวยิวในปาเลสไตน์เมื่อวันที่

14 พฤษภาคม 1948 ซึ่งเป็นการประกาศที่ได้รับการคัดค้านอย่างหนักทั้งจากอาหรับและชาติต่าง ๆ จำนวนมากในเอเชียและแอฟริกา

อย่างไรก็ตาม ประเทศมหาอำนาจ 2 ชาติทั้งสหรัฐฯ และสหภาพโซเวียตกลับให้การยอมรับรัฐอิสราเอลที่ก่อตั้งขึ้นใหม่ ด้วยเหตุนี้ การกำเนิดของรัฐอิสราเอลจึงนำไปสู่ความตึงเครียดภายในภูมิภาคตลอดมานับจากนั้น

อย่างที่ผมเรียนรับใช้ไป ในเวลานั้นประชากรของประเทศปาเลสไตน์ทั้งหมดมีอยู่ประมาณ 700,000 คน

ในจำนวนนี้ร้อยละ 90 หรือประมาณ 600,000 คนเป็นชาวอาหรับมุสลิม ซึ่งครอบครองดินแดนมากกว่าร้อยละ 90

ที่เหลืออีกร้อยละ 6 เป็นที่อยู่อาศัยของชาวยิว ซึ่งมีประชากรอยู่ไม่ถึง 70,000 คน

พอมาถึงปี ค.ศ. 1948 ที่รัฐยิวถูกสถาปนาขึ้นอย่างเป็นทางการ ปรากฏว่าประชากรยิวเพิ่มขึ้นถึง 600,000 คน ซึ่งนับเป็น 1 ใน 3 ของประชากรในดินแดนปาเลสไตน์ทั้งหมด หรือมีการเพิ่มขึ้นของประชากรยิวถึงร้อยละ 725 เลยทีเดียว

สัดส่วนของการครอบครองที่ดินก็เปลี่ยนไปมาก

อันนำไปสู่ความเสียหายทางเศรษฐกิจต่อชุมชนปาเลสไตน์ท้องถิ่น ซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายขององค์กรยิวไซออนิสต์ที่ปฏิเสธการจ้างงานชาวปาเลสไตน์

อย่างไรก็ดี แม้ถึงปี 1947 ประชากรชาวยิวจะเพิ่มขึ้นมาเป็น 1 ใน 3 ของประชากรทั้งหมดในปาเลสไตน์ แต่แผนการแบ่งดินแดนปาเลสไตน์ของสหประชาชาติก็ยังมอบดินแดนส่วนใหญ่ร้อยละ 55 ให้เป็นรัฐยิว ที่เหลืออีกร้อยละ 45 เป็นของชาวปาเลสไตน์ที่เป็นเจ้าของเดิม

แผนแบ่งแยกดินแดนนี้ยังไม่ทันถูกนำไปปฏิบัติใช้หรอกครับ เพราะมันเกิดสงครามอาหรับ-อิสราเอลเสียก่อน


โดย Srawut Aree

เล่าเรื่อง “ปาเลสไตน์” ผ่านแผนที่ [ ตอนที่ 2 ]

หากดูตามเนื้อหาภาษาอังกฤษที่ปรากฏในแผนที่ข้างใต้บทความนี้ เพื่อน ๆ ก็คงเห็นเหมือนผมว่ามันมี 2 เรื่องสำคัญที่เราควรต้องทำความเข้าใจ เรื่องแรกคือคำว่า British Mandate หรือ “ดินแดนใต้อาณัติของอังกฤษ” ซึ่งในที่นี้ก็คือ ‘ปาเลสไตน์’ อีกเรื่องก็คือคำว่า “Jewish Immigration from Europe” หรือชาวยิวที่อพยพมาจากยุโรป

ขออธิบายเรื่อง “ดินแดนใต้อาณัติของอังกฤษ” ก่อนครับ

หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ชาติมหาอำนาจฝ่ายสัมพันธมิตรได้ทำข้อตกลงและสัญญาเกี่ยวกับอาณาเขตดินแดนภายในอาณาจักรออตโตมันกับหลายฝ่าย ถึงแม้ว่าทุกข้อตกลงจะมีจุดร่วมคือการแบ่งแยกดินแดนภายในของอาณาจักรออตโตมันเดิม ทว่าแต่ละชาติต่างไม่ลงรอยกันในเรื่องรูปแบบการปกครองของพื้นที่ดังกล่าว

ดังจะเห็นได้จากกรณีการตัดสินเรื่องดินแดนปาเลสไตน์ว่าจะให้ฝ่ายใดครอบครอง สนธิสัญญาที่ลงนามโดย เซอร์เฮนรี่ แม็กมาฮอน (Sir. Henry McMahon) ข้าหลวงใหญ่ของอังกฤษที่ทำกับชารีฟ ฮุสเซน เจ้าผู้ครองดินแดนฮิยาซ ระบุว่า อังกฤษจะให้เอกราชแก่ชาวอาหรับในดินแดนหลายส่วนซึ่งรวมถึงปาเลสไตน์ หากชาวอาหรับช่วยอังกฤษทำสงครามรบกับเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่ 1

ในขณะเดียวกันเมื่อปี ค.ศ.1917 ลอร์ด อาร์เธอร์ เจมส์ บัลโฟร์ (Lord Arthur James Balfour) รัฐมนตรีต่างประเทศของอังกฤษในสมัยนั้น ก็เป็นผู้ลงนามใน “คำประกาศบัลโฟร์” มอบดินแดนปาเลสไตน์ให้เป็นที่พักพิงถาวรของชาวยิว

แต่ในข้อตกลงไซคส์ – พิโกต์ (Sykes – Picot Agreement) อังกฤษและฝรั่งเศสตกลงกันว่าจะให้ดินแดนปาเลสไตน์เป็น “ดินแดนสากล” (international zone)

ดังนั้น จะเห็นได้ว่า ก่อนที่จะเกิดการจัดตั้งรัฐอิสราเอล เขตเวสต์แบงก์และฉนวนกาซ่าในปัจจุบัน ดินแดนปาเลสไตน์ได้เป็นประเด็นที่ชาติมหาอำนาจถกเถียงกันในเรื่องของกรรมสิทธิ์ครอบครองดินแดน โดยที่เสียงส่วนใหญ่ของชาวอาหรับไม่เคยได้รับรู้เรื่องราวความเป็นไปดังกล่าว

ในขณะที่อังกฤษและฝรั่งเศสต้องการรักษาอำนาจอิทธิพลทางการเมืองและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจด้วยการรักษาดินแดนอาณานิคมของตน สหรัฐอเมริกาที่เริ่มเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 ในปี ค.ศ. 1917 กลับสนับสนุนให้ดินแดนอาณานิคมมีสิทธิในการกำหนดชะตาชีวิตตนเอง (self-determination) ตามหลักการ 14 ข้อของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา วูดโรล์ วิลสัน

แนวคิดที่ขัดแย้งกันของชาติมหาอำนาจได้คลี่คลายลงหลังการประชุมสันติภาพที่ปารีส (Paris Peace Conference) ในปี ค.ศ. 1919 ซึ่งรัฐบาลต่าง ๆ ตกลงกันบริหารอาณาบริเวณเหล่านี้ในนามของสันนิบาตชาติ เรียกว่า “ดินแดนใต้อาณัติ” (mandate) ซึ่งได้รับการรับรองจากมาตรา 22 (Article 22) ของกติกาสันนิบาตชาติ (The Covenant of the League of Nations) โดยมีคณะกรรมการจัดการดินแดนใต้อาณัติเป็นผู้ดูแล

ต่อมาได้มีการทำสนธิสัญญาแซฟร์ (Treaty of Sèvres) ขึ้น โดยกำหนดให้อังกฤษได้รับมอบดินแดนปาเลสไตน์และเมโสโปเตเมียให้ไปอยู่ใต้อาณัติ ส่วนฝรั่งเศสได้รับมอบดินแดนซีเรีย (ซึ่งรวมเลบานอนด้วย) มาอยู่ภายใต้อาณัติของตนตามมาตรา 22 ของกติกาสันนิบาตชาติและมติในที่ประชุมซาน รีโม (San Remo Conference) ของปี ค.ศ. 1920

อันที่จริงแล้ว ดินแดนในอาณัติของสันนิบาตชาติก็คือข้อตกลงระหว่างประเทศในการบริหารดินแดนหนึ่งในฐานะตัวแทนของสันนิบาตชาติก่อนที่ดินแดนเหล่านั้นจะมีความพร้อมในการเป็นรัฐเอกราช ดังนั้นอังกฤษจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะยกดินแดนปาเลสไตน์ (ซึ่งอยู่ในอาณัติของอังกฤษขณะนั้น) ไปให้ใคร

หน้าที่อังกฤษตามมาตรา 22 ของสันนิบาตชาติคือการส่งมอบดินแดนปาเลสไตน์ให้กับเจ้าของดินแดนเมื่อเขาพร้อมที่จะจัดตั้งรัฐชาติสมัยใหม่ ดังนั้น การที่อังกฤษยกดินแดนปาเลสไตน์ให้ชาวยิวผ่านคำประกาศบัลโพร์จึงเป็นเรื่องผิดกฏหมายมาตั้งแต่ต้น

เรื่องที่ 2 คือ “Jewish Immigration from Europe” หรือชาวยิวที่อพยพมาจากยุโรป

อย่างที่ได้เรียนรับใช้ไปก่อนหน้านี้ ปาเลสไตน์ไม่ใช่ดินแดนที่ว่างเปล่า แต่เป็นดินแดนที่มีชาวอาหรับปาเลสไตน์อาศัยอยู่แล้วเป็นจำนวนมาก พวกเขามีพื้นที่ทำเกษตรกรรม มีตลาดร้านค้า มีเมือง มีหมู่บ้าน มีถนนหนทาง มีการค้าขายและการติดต่อปฏิสัมพันธ์กับผู้คนในส่วนอื่น ๆ ของโลก

ตามสถิติที่มีการศึกษาไว้ ในปี 1878 ชาวปาเลสไตน์มีจำนวนประชากรมากถึง 462,465 คน ในจำนวนนี้ร้อยละ 96.8 คือชาวอาหรับที่เป็นมุสลิมและคริสเตียน มีชาวยิวอาศัยอยู่เพียงร้อยละ 3.2 เท่านั้น

แต่ระหว่างปี ค.ศ. 1882-1914 ชาวยิวจากยุโรปจำนวน 65,000 คนเริ่มอพยพเข้ามา ชาวยิวเริ่มเพิ่มจำนวนมากขึ้นภายใต้การปกครองของเจ้าอาณานิคมอังกฤษในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และต่อมาอังกฤษได้ออกคำประกาศบัลฟอร์ซึ่งให้สัญญาจะจัดตั้งดินแดนของชาวยิวขึ้นในปาเลสไตน์

มาตรการดังกล่าวนี้ขัดแย้งกับคำสัญญาก่อนหน้านั้นของอังกฤษที่ทำขึ้นในปี ค.ศ. 1915 ซึ่งอังกฤษสัญญาว่าจะมอบสิทธิในการปกครองตนเองให้ชาวอาหรับที่อยู่ในภูมิภาคนั้นทั้งหมดหากอาหรับให้ความร่วมมือกับอังกฤษในสงครามโลกครั้งที่ 1

ในปี 1922 ประชากรอาหรับมุสลิมและคริสเตียนมีจำนวน 757,182 หรือคิดเป็นร้อยละ 87.6 ของประชากรทั้งหมด ส่วนชาวยิวเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 11 ในช่วงทศวรรษที่ 1920 ชาวปาเลสไตน์เริ่มเห็นว่าแผ่นดินของพวกเขาถูกฉกชิงไปโดยชาวยุโรป การปะทะกันครั้งแรกระหว่างชาวปาเลสไตน์และชาวยิวจึงเริ่มต้นขึ้นและยังเป็นเช่นนั้นเรื่อยมา

ระหว่างปี ค.ศ. 1920-1931 ชาวยิวจำนวน 108,825 คนได้อพยพเข้ามาในดินแดนปาเลสไตน์ จนกระทั่งช่วงต้นของทศวรรษ 1930 จำนวนประชากรยิวในปาเลสไตน์ยังอยู่ที่ไม่เกินร้อยละ 17 (จำนวนประชากรทั้งหมดในปาเลสไตน์ในปี 1930 อยู่ที่ 1,035,154 คน คิดเป็นชาวอาหรับมุสลิมและคริสเตียนจำนวนร้อยละ 81.6 และชาวยิวจำนวนร้อยละ 16.9)

แต่การขึ้นมามีอำนาจของฮิตเลอร์ในเยอรมันได้ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป

ในเวลาเพียง 5 ปี ระหว่างปี 1932-1936 ชาวยิวจำนวน 174,000 คนได้หลั่งไหลกันเข้ามาในปาเลสไตน์ ทำให้จำนวนชาวยิวเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ

ระหว่างปี ค.ศ. 1937-1945 ชาวยิวอพยพเข้ามาอีก 119,800 คน ในขณะที่ชาวโลกพยายามแก้ไขปัญหาที่เกิดจากความน่าสะพรึงกลัวของการฆ่าล้างชาวยิวของนาซีเยอรมัน ความพยายามที่จะทำให้ปาเลสไตน์กลายเป็นดินแดนของชาวยิวก็เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว

ในปี 1947 ก่อนที่รัฐอิสราเอลจะถูกสถาปนาขึ้น โครงสร้างประชากรในดินแดนปาเลสไตน์ได้เปลี่ยนไปมาก จากแต่ก่อนตอนปี 1918 ชาวยิวมีจำนวนเพียงแค่ร้อยละ 6 ของประชากรทั้งหมด แต่ถัดมาอีกเพียงแค่ 29 ปี หรือในปี 1947 ประชากรชาวยิวได้เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 33 (ดูแผนที่ข้างใต้)

นี่แหละครับผลจากการที่ดินแดนปาเลสไตน์ตกเป็นดินแดนใต้อาณัติของอังกฤษอยู่นานหลายปี

ติดตามตอนต่อไป


โดย Srawut Aree