ฉันจะขว้างด้วยไม้เท้าของซินวาร์

คำกล่าวนี้ใช้เมื่อ : “หากคุณไม่มีพลังเพียงพอที่จะต่อต้านศัตรูของคุณ แต่คุณได้ทุ่มเทความพยายามอย่างสุดความสามารถ ด้วยลมหายใจสุดท้าย และไม่ยอมจำนนต่อความอ่อนแอและความหมดหวังของคุณ”

ที่มาของสุภาษิตนี้ตามที่เป็นที่รู้จักคือ มีนักรบกล้าหาญคนหนึ่งชื่อ ยะห์ยา ซินวาร์ ที่ต่อสู้กับศัตรูของเขา เขาจุดประกายความกล้าหาญในหมู่พวกพ้องจนทำให้ศัตรูนอนไม่หลับ พวกเขาคอยจองล้างจ้องผลาญเขา จนกระทั่งวันหนึ่งเขาต้องต่อสู้กับกองทัพศัตรูตามลำพัง

ในการต่อสู้นั้น เขาถูกยิงด้วยกระสุนปืนจากศัตรูที่ซุ่มโจมตี ทำให้เขาบาดเจ็บสาหัส แต่เขาก็ยังคงต่อสู้ แม้เสื้อผ้าจะขาดวิ่น เขานั่งบนเก้าอี้พิงผนังด้วยความกล้าหาญเหมือนวีรบุรุษในประวัติศาสตร์ จนกระทั่งเขาเห็นโดรนของศัตรูบินผ่านมา เขาจึงขว้างไม้เท้าที่เขาพึ่งพาใส่มัน เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้จนวินาทีสุดท้าย

สุภาษิตนี้แสดงถึงความกล้าหาญและความมุ่งมั่นในการต่อสู้จนถึงที่สุด แม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบหรือยากลำบากแค่ไหนก็ตาม

#บทเรียนที่ได้จากสุภาษิตนี้

1. อย่าขอความเห็นใจจากศัตรู

2. หวังดีกับอัลลอฮ์เสมอและไม่เคยหมดหวังในความโปรดปรานของพระองค์

3. มุสลิมควรมุ่งมั่นสรรหาเหตุปัจจัยแห่งชัยชนะ ถึงแม้จะอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากเพียงใดก็ตาม เขาจะต้องดิ้นรนต่อสู้ถึงแม้ด้วยไม้เท้าที่ดูเหมือนไร้ค่า

4. สภาพที่อ่อนแอและล้มเหลวของประชาขาติมุสลิมจำนวน 2 พันล้านคนที่ปล่อยให้พี่น้องปาเลสไตน์ต้องต่อสู้ตามลำพังด้วยไม้เท้า

5. ไม้เท้าของนบีมูซาได้เป็นเครื่องมือสำคัญในการช่วยเหลือบนีอิสรออีลในอดีต เราหวังว่า ไม้เท้าของซินวาร์จะเป็นปฐมเหตุของการล่มสลายของรัฐบาลฟิรเอาว์นที่ป่าเถื่อนที่สุดในโลกขณะนี้

6. ประชาขาติมุสลิมทุกคนควรต้องรับไม้เท้าของซินวาร์ที่ขว้างใส่โดรนของศัตรู เพื่อสานต่อภารกิจอันสูงส่งนี้ ด้วยหัวใจที่มุ่งมั่นและเปี่ยมศรัทธาว่า ชัยชนะจะต้องเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ยำเกรงตามที่พระองค์สัญญา


Ibnu desa

Ramadan Abu Jazar : เด็กน้อยมหัศจรรย์แห่งเมืองราฟาห์

#เด็กน้อยมหัศจรรย์แห่งเมืองราฟาห์

…….

เกิดปี 2014 ในสถานการณ์สมรภูมิอันโหดร้าย

สงครามได้ฉุดคร่าชีวิตในวัยเด็กของเขา

บิดาของเขาตั้งชื่อรอมฎอน เพราะในวันที่เขาลืมตาดูโลก มีชัยค์ฮาฟิศที่ราฟาห์คนหนึ่งเสียชีวิต

ท่ามกลางความยากลำบาก

เขามีพ่อแม่ที่คอยเลี้ยงดูอย่างดี

เขาท่องจำอัลกุรอานแล้ว 13 ญุซ

ท่องจำ 40 หะดีษอันนะวะวีย์

อ่านหนังสือและเรื่องเล่ากว่า 1,500 เล่ม

ท่องจำบทกลอนอาหรับอย่างคล่องแคล่ว

จนกระทั่งกลายเป็นกวีน้อยสุดอัศจรรย์บนโลกโชเชี่ยล

โดยเฉพาะการเล่าเรื่องของความโหดร้ายของสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ โดยมีซากปรักหักพังของอาคารเป็นฉากหลัง ในสงครามล่าสุดจากปฏิบัติการพายุแกร่งแห่งอักศอ

จนเข้าตารัฐบาลกาตาร์ ที่เชิญเขาและครอบครัวอพยพให้อยู่ในความดูแลของรัฐบาลกาตาร์ เพื่อความปลอดภัยจากการโดนถล่มหรือถูกลอบสังหารเหมือนเพื่อน ๆ ของเขานับหมื่นราย

ที่กาตาร์เด็กน้อยคนนี้คือโฆษกของเด็ก ๆ ชาวปลสต. ที่ช่วยถ่ายทอดความยากลำบากของพวกเขาให้ชาวโลกได้รับรู้

ในรายการทีวีช่องหนึ่ง เขาบอกว่า ประสบการณ์ที่ยากลำบากที่สุดในชีวิตเขาคือ ช่วงที่ต้องพรากจากคนที่เขารัก ซึ่งมีจำนวนมากกว่า 160 ชีวิต

“ประสบการณ์อันเลวร้ายที่สุดของผมคือ เมื่อต้องอพยพหนีความตายจากบ้านหนึ่งสู่บ้านหนึ่ง แต่ก็ยังโดนไล่ล่าตลอดเวลา ไม่มีที่ปลอดภัยสำหรับพวกเราที่ GZ ขณะที่ผมถ่ายทำคลิป ผมก็ไม่แน่ใจว่า เมื่อไหร่เราจะโดนถล่มเหมือนเพื่อน ๆ ที่ล่วงหน้าไปแล้ว”

“ผมไม่คิดที่จะออกจากบ้านเกิดเมืองนอนของผมเลย มันเป็นการตัดสินใจที่ลำบากมาก เพราะผมรู้ว่านี่คือแผ่นดินอันเป็นกรรมสิทธิ์ของผม ไม่มีคนไหนที่จะมาแย่งดินแดนแห่งนี้จากพวกเราได้ เราจะยืนหยัดต่อสู้ต่อไป”

เด็กน้อยที่เติบโตในสถานการณ์ที่มีความยากลำบากเช่นนี้ แทนที่จะเลือกใช้ชีวิตในมุมมืด แต่ด้วยตวามอัจฉริยะและการอบรมที่ดี بعد التوفيق من الله ทำให้เขากลายเป็นหนูน้อยที่โด่งดังที่สุดขณะนี้ จนกระทั่งรายการ سواعد الإخاء หนึ่งในรายการทีวีที่รวบรวมบรรดาอุละมาอฺชั้นแนวหน้าในโลกอิสลามออกรายการตามความเชี่ยวชาญของแต่ละคนได้เชิญเด็กน้อยคนนี้เข้ารายการ แต่เนื่องจากสถานการณ์ขณะนั้นไม่เอื้ออำนวย เขาจึงส่งคลิปบรรยายความแร้นแค้นและข้อจำกัดต่าง ๆ ในพื้นที่โดยใช้ภาษาอาหรับอันสละสลวยสอดแทรกด้วยกลอนอาหรับที่เขาประพันธ์จากใจถึงใจจนกระทั่งสะกดห้องประชุมให้เงียบกริบพร้อมน้ำตาคลอเบ้าของบรรดาชัยค์ที่เข้าร่วมสัมมนา คล้อยตามด้วยเสียงชื่นชมของเหล่าอุละมาอฺระดับโลกที่ยอมรับถึงความมหัศจรรย์ของอัจฉริยภาพเด็กน้อยคนนี้

……..

#ดูคลิปเพิ่มเติม

ช่วงเวลาสุดประทับใจกับขัยค์อิสมาอีล ฮานียะฮ์

https://www.facebook.com/share/r/sNjXTuK9mWvpVRG6/?mibextid=Mk4v2M

ได้รับเชิญบรรยายต่อหน้าแขกผู้ใหญ่ในกาตาร์

คลิปเล่าเรื่องGZ ต่อหน้าอุละมาอฺระดับโลก

เล่าเรื่องจากGZ

เป็นแขกรับเชิญในรายการทีวีอัลจาซีร่าห์ กาตาร์

ยะห์ยาซินวาร์ ผู้นำหะมาสคนใหม่

▪️ถือกำเนิดที่ศูนย์อพยพคอนยูนุส ปี 1962 ท่ามกลางสภาพอันยากลำบาก

▪️บัณฑิตสาขาภาษาอาหรับจากมหาวิทยาลัยอิสลามกาซ่า เป็นนักกิจกรรมที่เคลื่อนไหวและมีบทบาททางสังคมตั้งแต่นั้นมา

▪️เริ่มต้นเคลื่อนไหวต่อต้านการยึดครองตั้งแต่ต้นปี 1980

▪️เป็นผู้ริเริ่มจัดตั้ง “หน่วยพิทักษ์ความมั่นคงและการดะวะฮ์” เพื่อกวาดล้างขบวนการหนอนบ่อนไส้ในปาเลสไตน์ จนหมดพิษสง

▪️ถูกจับกุมครั้งแรกในปี 1982 เป็นเวลาหลายเดือน

▪️ถูกจับกุมครั้งที่สองในปี 1988 และถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต 4 ครั้ง

▪️ใช้ชีวิตในคุกนานถึง 23 ปีโดยถูกขังเดี่ยวนานถึง 4 ปี

▪️ตลอดการใช้ชีวิตในคุก เขาเริ่มเรียนภาษาฮิบรูจนชำนาญทั้งฟัง พูดและเขียนพร้อมรับหน้าที่เป็นผู้นำผู้ต้องขังชาวหะมาสในคุกอิสราเอล

▪️แต่งตำราและแปลหนังสือหลายเล่มโดยเฉพาะหนังสือ “หะมาส : ประสบการณ์และข้อผิดพลาด” ที่เขาได้เขียนในคุกตามประสบการณ์และปฏิสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่ยิวในระดับต่าง ๆ

▪️หนังสือเล่มนี้เปรียบเสมือนกองทัพมดที่ขนถ่ายความรู้ในมุมมืดของคุกอิสราเอลให้สาธารณชนรับทราบ

▪️ได้รับอิสรภาพในปี 2011 ในโครงการข้อตกลงแลกเปลี่ยนตัวประกันที่หะมาสยอมปล่อยตัวนายญัลอาด ชาลีต ทหารยิวที่ถูกจับกุม 1 คน แลกกับนักโทษปาเลสไตน์จำนวน 1,027 คน

▪️ได้รับการเลือกตั้งเป็นกรรมการบริหารพรรคหะมาส ในปี 2012

▪️ได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานพรรคหะมาสประจำกาซ่าในการเลือกตั้งภายในปี 2017

▪️รัฐบาลอิสราเอลถือว่าอบูอิบรอฮีม ยะห์ยา ซินวาร์คนนี้คือวิศวกรตัวจริงของปฏิบัติการพายุแกร่งแห่งอักศอ ซึ่งถือเป็นการปฎิบัติการที่สร้างความเสียหายมากที่สุดในประวัติศาสตร์การสงครามของอิสราเอล

▪️อิสราเอลประกาศว่าการกำจัดคนนี้ถือเป็นเป้าหมายหลักของสงครามครั้งนี้

▪️7 สิงหาคม 2024 แกนนำหะมาสลงมติเป็นเอกฉันท์แต่งตั้งนายยะห์ยา ซินวาร์ เป็นประธานหะมาส แทนนายอิสมาอีล ฮานียะห์ ที่ถูกลอบสังหารจนได้รับชะฮีด เพื่อยืนยันว่าการลอบสังหารผู้นำ ไม่สามารถสั่นคลอนขบวนการต่อสู้แม้แต่น้อย


ทีมข่าวต่างประเทศ

ระหว่างก้อนกรวดกับเพชรในตม

แทบกล่าวได้ว่า ในระยะเวลาดังกล่าว คืนวันไม่เคยผันผ่าน เว้นแต่เราจะได้ยินจากชายคนนี้ว่า قال الله وقال الرسول

(อัลลอฮ์กล่าวว่า นบีกล่าวไว้)

ผมเผ้าจากสีดำสนิท ปัจจุบันกลายเป็นสีขาวไปตามกาลเวลา เรี่ยวแรงที่เคยหนุ่มแน่น ปัจจุบันอาจร่วงโรยไปบ้างตามอายุขัย แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยแปรเปลี่ยนจากชายผู้นี้คือความมุ่งมั่นทำงานเพื่อความสูงส่งของอิสลามและสังคมมุสลิมชนิดต้องแข่งขันกับเวลาแทบทุกวัน

ومن شاب شيبة في الإسلام، كُتب له بها حسنة، وحُطّ عنه بها خطيئة، ورُفِع له بها درجة) رواه ابن حبان وحسنه الألباني.

(ผู้ใดที่มีผมหงอกในอิสลามเพียงเส้นเดียว เขาจะได้รับด้วยผมหงอกเส้นนั้น 1 ความดี และถูกลบล้างความผิด 1 กระทง พร้อมได้รับการยกระดับอีก 1 ชั้น)

เขาคือนักพรตยามค่ำคืน และอัศวินภาคกลางวันที่สามารถจับต้องได้ ตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษาจวบจนถึงวัยเลยเกษียณ ถึงขนาดแอดได้ยินเสียงพึมพำจากคนใกล้ชิดว่า ไม่รู้ไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน

ผู้เขียนเคยคิดคนเดียวว่า หากทำทน้าที่แทนเขาเพียงแค่รับโทรศัพท์รายวันแค่งานเดียว ผู้เขียนคงประสาทแดกแล้ว

ยังไม่รวมงานรับแขกที่เริ่มต้นจากตาสีตาสาไปจนถึงแขกผู้หลักผู้ใหญ่ทุกระดับและวงการ งานประชุมติดตามภารกิจ การเดินทางทั้งในและต่างประเทศ งานวิชาการ งานสอน บรรยายและแต่งตำรา เวทีนำเสนอผลงานวิชาการ งานรับเชิญทั้งงานราษฎร์งานหลวง แม้กระทั่งหน้าที่ในครอบครัวในฐานะสามี คุณพ่อ คุณตาคุณปู่และอาบีของลูกศิษย์ที่กระจัดกระจายไปเต็มบ้านเต็มเมือง

น่าแปลก ที่บางคนในสังคมนี้ โดยเฉพาะกลุ่มชนที่ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ไม่รู่ว่าพวกเขาไปสะสมความอาฆาตแค้นมาจากไหน เขาไปรับพิษร้ายของความรู้มาจากแหล่งใด ถึงได้ใช้วาจาสถุลจาบจ้วงชายชราอายุกว่า 73 ปี ผู้นี้เหมือนไม่เคยอ่านและเรียนรู้หะดีษที่นบีพูดถึงเรื่องราวของผู้ล้มละลายในวันอาคิเราะฮ์บ้างเลย

หากเขาคือชายชราปกติทั่วไป คนที่จาบจ้วง ใส่ร้ายเขา ก็แทบไม่รู้จะชดใช้อย่างไร ณ อัลลอฮ์แล้ว แต่หากเขาเป็นบุคคลที่เป็นที่รักยิ่ง ณ อัลลอฮ์ ชีวิตของคน ๆ นั้นไม่มีทางได้ดิบได้ดีทั้งดุนยาแล้วอาคิเราะฮ์

หะดีษกุดซีย์รายงานโดยอิมามบุคอรี / 6502

 إن اللَّهَ قالَ: مَن عادَى لي وَلِيًّا فقَدْ آذَنْتُهُ بالحَرْبِ

ความว่า : อัลลอฮ์กล่าวว่า ผู้ใดที่ทำศัตรูกับคนที่ข้ารัก (วะลีของข้า) แน่นอนข้าจะประกาศสงครามกับเขา

ผู้เขียนขอนะศีฮัตแก่มนุษย์ประเภทนี้ให้เตาบัตและยำเกรงอัลอฮ์มากที่สุดและให้เร็วที่สุด หากยังไม่สำนึก ก็คงไม่มีอะไรจะกล่าวนอกจากคำว่า قل موتوا بغيظكم

( จงกล่าวเถิดโอ้มูฮัมมัด พวกท่านจงตายพร้อม ๆ กับความอาฆาตแค้นของพวกท่านเถิด)

เราเป็นสังคมที่คุ้นชินกับก้อนกรวด จึงไม่รู้คุณค่าของเพชรในตม  เรามักให้ค่าสิ่งไร้สาระ เราจึงไม่สามารถประเมินสิ่งที่มูลค่าหมื่นล้านได้ การอุปมาดั่งกิ้งก่าได้ทอง อาจดูน้อยไปสำหรับคนบางประเภทในสังคมนี้

ขอสาบานด้วยนามของอัลลอฮ์ หากกลุ่มชนเหล่านั้นได้รับโอกาสหรือคำยกย่องสดุดีจากผู้รู้และนักเคลื่อนไหวอิสลามทั่วโลกเหมือนที่เขาได้รับ แม้เพียงครั้งเดียว เชื่อว่า พวกเขาจะต้องไปอวดอ้างสรรพคุณตัวเองไปตลอดชีวิต  ดีไม่ดีอาจบันทึกความทรงจำนี้ในกรอบสีทองด้วยซ้ำ

เขาคือนักต้มตุ๋นหลอกลวง แต่เขาคือคนที่ชาติอาหรับและโลกอิสลามไว้ใจ เชื่อใจและภูมิใจมากที่สุด แม้กระทั่งวันเวลาผ่านไปกว่าครึ่งศตวรรษแล้ว

อาหรับทั้งชาติสิ้นคิดถึงขนาดไปไว้วางใจนักต้มตุ๋นระดับโลกให้บริหารโครงการระดับพันล้านนานนับครึ่งศตวรรษเชียวหรือ

เราเคยเห็นคนหลอกลวงที่ไหนในโลกนี้ที่ได้รับเชิญเป็นแขกพิเศษของกษัตริย์ 5-6 ประเทศ

เราเคยเห็นผู้ก่อการร้ายอันดับ 1 ของอาเซียน ที่ได้รับพระบรมราชโองการแต่งตั้งเป็นสนช. อะมีรุ้ลฮัจญ์ ที่ปรึกษาประธานรัฐสภา ที่ปรึกษาจุฬาราชมนตรี ฯลฯ บ้างไหม

ยังไม่รวมตำแหน่งต่าง ๆ ในระดับโลก ที่หลาย ๆ คนแทบไม่มีโอกาสและไม่กล้าคิดแม้กระทั่งจะเพ้อฝัน

เขาคือผู้จุดประกายความแตกแยก สร้างความปั่นป่วนในสังคม แต่ในขณะเดียวกัน เขาได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากทุกฝ่าย ทั้งภาคเอกชนหรือภาครัฐ องค์กรศาสนา แวดวงวิชาการ การเมืองหรือภาคประชาสังคม

เขาไม่เคยวิ่งเต้น ร้องขอตำแหน่ง แต่ดูเหมือนว่าทุกตำแหน่งเหมาะสมและวิ่งสู่ไปหาเขาในทุกโอกาส

สิ่งที่น่าทึ่งคือ เราไม่เคยได้ยินวาจาสถุลหลุดออกจากปากชายคนนี้ทั้งคำพูดหรือข้อเขียน เขาพูดอยู่เสมอว่า ปรบมือข้างเดียว ไม่ดังหรอก ปล่อยให้เขาปรบมือต่อยลมข้างเดียวไปเถอะ เราอย่าไปบ้าจี้ตาม

แต่ที่น่าทึ่งยิ่งกว่า เขาสามารถอบรมสั่งสอนลูกศิษย์ลูกหาและสหายร่วมอะกีดะฮ์ไม่ให้ตกหลุมพรางในพฤติกรรมถ่อยเถื่อนนี้ เขาเตือนสติผู้ใกล้ชิดตลอดว่า “ต่างคนต่างทำหน้าที่ก็แล้วกัน”

เขาพูดเสมอว่า การให้เกียรติคนอื่น ไม่ได้แสดงว่าเราชอบพอเขาเสมอไป แต่มันแสดงถึงการได้รับการตัรบียะฮ์(การอบรมสั่งสอน) ที่ดี ดังนั้นท่านทั้งหลายจงมีมารยาทดีต่อผู้อื่น ถึงแม้พวกท่านไม่ชอบพอคนนั้นก็ตาม

ทำให้ผู้เขียนนึกถึงสำนวนโวหารอาหรับท่อนหนึ่งขึ้นใจ

القافلة تسير والكلاب تنبح

กองคาราวานจะเดินไปโดยไม่หยุดหย่อน

ฝูงสุนัขก็จะเห่าหอนอย่างไม่หยุดยั้ง

หะดีษท่อนหนึ่งกล่าวว่า

اعملوا فكل ميسر لما خلق له

จงปฏิบัติอะมั้ลกันเถิด เพราะแต่ละคน จะถูกปล่อยให้ปฏิบัติกิจโดยง่ายดาย จากสิ่งที่เขาถูกสร้างมาเพื่อกิจนั้น

หากเขาถูกสร้างมาเพื่อเป็นชาวสวรรค์ เขาจะปฏิบัติกิจของชาวสวรรค์อย่างง่ายดาย

เช่นเดียวกันกับ หากเขาถูกสร้างมาเพื่อเป็นชาวนรก เขาก็จะปฏิบัติกิจของชาวนรกได้อย่างคล่องแคล่วเช่นกัน  نعوذ بالله من ذلك

ต่างคนต่างมีหน้าที่ประจำจริง ๆ

สนใจศึกษาประวัติชายผู้นี้เชิญอ่านหนังสือเล่มนี้ได้

สนใจติดต่อทางเพจ Mazlan Muhammad หรือ Theustaz.com


โดย Mazlan Muhammad

ทำความรู้จักชัยค์ อับดุลมะญีด ซีนดานีย์ เราะฮิมะฮุลลอฮ์

ชัยค์อับดุลมะญีด ซินดานีย์  สมาชิกของคณะกรรมการพรรคอิศลาห์ของเยเมน และเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งพรรค  เสียชีวิตในโรงพยาบาลในตุรกี เมื่อวันจันทร์วานนี้ 22/4/2024  หลังจากการอพยพมาอยู่ตั้งแต่ปี 2020

⚫️ ชัยค์อับดุลมะญีด ซินดานีย์ คือใคร?

ชัยค์อับดุลมะญีด ซินดานีย์ เป็นนักการเมืองและนักวิชาการอิสลามชาวเยเมน และเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งพรรคเยเมนอิสลาห์ พรรคในสังกัดกลุ่มกลุ่มอิควานมุสลิมีน-ภราดรภาพมุสลิม-ในเยเมน 

ท่านได้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยอัลอิมานในเยเมน และองค์กรระหว่างประเทศเพื่อศึกษาปาฏิหาริย์ทางวิทยาศาสตร์ในอัลกุรอานและซุนนะฮฺ  الهيئة العالمية للإعجاز العلمي في القرآن والسنة  และมุ่งมั่นอยู่กับศาสตร์ด้านปาฏิหาริย์ทางวิทยาศาสตร์และอธิบายปรากฏการณ์ทางจักรวาลมากมายในอัลกุรอานและซุนนะฮฺ

⚫️ การเกิดและการเลี้ยงดู

ชัยค์อับดุลมะญีด ซินดานีย์ เกิดปี ค.ศ.1942 ที่ตำบลซอฮ์บีย์  เขตชะอัร  จังหวัดอิบบ์  พื้นเพเดิมของของครอบครัวมาจากเมือง ซินดาน จังหวัดซอนอาอ์

ชัยค์อับดุลมะญีด ซินดานีย์  ได้รับการศึกษาเบื้องต้นในกุตตาบ-สถาบันท่องจำอัลกุรอานประจำหมู่บ้าน-ในบ้านเกิด และศึกษาในโรงเรียนของรัฐที่เมืองเอเดน จากนั้นจึงไปศึกษาระดับมหาวิทยาลัยในอียิปต์

ชัยค์เข้าเรียนที่คณะเภสัชศาสตร์และศึกษาเป็นเวลาสองปี จากนั้นจึงลาออกจากมหาวิทยาลัยเนื่องจากความสนใจในด้านวิชาศาสนา และเริ่มอ่านหนังสือในสาขาวิทยาการอิสลาม และได้ศึกษากับนักวิชาการอาวุโสในมหาวิทยาลัยอัลอัซฮาร์

ท่านอุทิศตนเพื่อศึกษากับนักวิชาการที่อัซฮาร์ ก่อนที่จะย้ายไปอยู่ที่ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย และพบกับนักวิชาการชั้นนำ เช่น เชคอับดุลลอห์ บิน บาซ และมูฮัมหมัด บิน ซอเลห์ อัลอุซัยมีน และต่อมาได้รับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยอุมมุดัรมาน มหาวิทยาลัยอิสลามในซูดาน

ท่านสนใจการศึกษาตำราทางวิชาการอิสลาม และพยายามทำความเข้าใจสิ่งเหล่านี้โดยคำนึงถึงชีวิตร่วมสมัยและการค้นพบทางวิทยาศาสตร์   ซึ่งเป็นสาขาเฉพาะทางของท่านที่สำคัญที่สุด และได้เขียนตำราด้านนี้หลายเล่มด้วยกัน

⚫️ งานและความรับผิดชอบ

ท่านสอนในราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบีย และหลังจากที่กลับมายังเยเมน  ก็รับงานและความรับผิดชอบหลายอย่าง รวมถึงการบริหารสถาบันวิทยาศาสตร์อัล-นูร์ และงานสอนในสถาบันการศึกษาบางแห่ง

ในปี 1967 ท่านกลับไปที่เมืองซอนอาอ์ และและดำรงตำแหน่งฝ่ายวิชาการในกระทรวงศึกษาธิการของเยเมน  และมีส่วนร่วมในการสอนวิชาวิทยาศาสตร์หลายวิชา เช่น ชีววิทยา และต่อมาได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าสำนักศึกษานิเทศก์ เมื่อก่อตั้งเมื่อปี 1975 และได้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการแห่งเยเมนในยุคประธานาธิบดีอัรยานี

⚫️ เส้นทางการเมือง

ชัยค์อับดุลมะญีด ซินดานีย์ ถือเป็นหนึ่งในผู้นำของขบวนการอิสลาม ในช่วงเวลาที่อยู่ในอียิปต์ ท่านได้รับอิทธิพลจากกลุ่มอิควาน ซึ่งนำไปสู่การจับกุมโดยทางการอียิปต์และถูกขับออกจากประเทศ

ชัยค์อับดุลมะญีด ซินดานีย์ มีส่วนในความพยายามที่จะปกป้องการปฏิวัติเยเมนในปี 1962 ระหว่างที่ทำงานในกระทรวงศึกษาธิการ ท่านทำงานเพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์ทางปัญญาในวงกว้างโดยนำนักคิดชาวอาหรับและมุสลิมที่มีชื่อเสียงจำนวนหนึ่งมาสู่เยเมน และสนับสนุนชาวอัฟกันต่อต้านกองกำลังรัสเซียในช่วงทศวรรษ 1980

สหรัฐฯ จัดให้ชัยค์อับดุลมะญีด ซินดานีย์ อยู่ในรายชื่อของผู้ถูกหมายจับ ในปี 2004 และกล่าวหาว่าท่านสนับสนุนสิ่งที่เรียกว่า “การก่อการร้าย” และกล่าวว่าท่านเป็น “ผู้นำทางจิตวิญญาณ” ของโอซามา บิน ลาเดน ผู้นำอัลกออิดะห์  นอกจากนี้ยังกล่าวหาว่าท่านให้เงินสนับสนุนการก่อการร้าย

ในปี 2011 อเมริกาได้ขอให้รัฐบาลเยเมนจับกุมท่าน ในขณะที่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติตัดสินอายัดทรัพย์สินของท่าน  แต่ท่านปฏิเสธข้อกล่าวหาเหล่านั้น และเรียกร้องให้รัฐบาลอเมริกาแสดงหลักฐานต่อฝ่ายตุลาการของเยเมน

เมื่อการปฏิวัติต่อต้านประธานาธิบดีอาลี อับดุลลาห์ ซาเลห์ แห่งเยเมน เกิดขึ้นในปี  2011   ท่านได้สนับสนุนเยาวชนนักปฏิวัติ และประกาศการสนับสนุนการปฏิวัติบนเวที Change Square  ซึ่งท่านกล่าวว่า การประท้วงเป็นรูปแบบหนึ่งของการส่งเสริมความดีและห้ามปรามความชั่ว และได้เรียกร้องหน่วยรักษาความปลอดภัยของเยเมนปกป้องผู้ชุมนุม  และเรียกร้องให้ผู้ชุมนุมรักษาความสงบในการชุมนุม

หลังจากกลุ่มฮูซียึดครองเมืองซอนอาอ์ เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2015 กลุ่มฮูซีได้โจมตีบ้านของท่าน จับกุมยามสองคน และโจมตีอีกครั้งเมื่อต้นเดือนเมษายน 2015 หลังจากที่ท่านสนับสนุนปฏิบัติการทางทหารที่นำโดยซาอุดีอาระเบีย

ชัยค์อับดุลมะญีด ซินดานีย์ ปฏิเสธการรัฐประหารของกลุ่มฮูตีที่ต่อต้านรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฎหมายในปี 2014 และเป็นผู้สนับสนุนการปรองดองแห่งชาติระหว่างทุกกลุ่มในเยเมน

ชัยค์อับดุลมะญีด ซินดานีย์ ลี้ภัยไปอาศัยอยู่ในซาอุดีอาระเบียเป็นเวลาประมาณ 5 ปี ก่อนที่จะถูกกักบริเวณในบ้านและอยู่ภายใต้ข้อจำกัดต่างๆ ซึ่งทำให้ท่านต้องย้ายไปอาศัยอยู่ในตุรกีในช่วงฤดูร้อนปี 2020

สำนักข่าว “Arabi 21” รายงานว่า ท่านมาถึงเมืองอิสตันบูลของตุรกี ในช่วงเวลาที่ซาอุดิอาระเบียยกเลิกการห้ามการเดินทางที่บังคับใช้กับท่าน ตั้งแต่ปี 2017 ถึง 2020  ไม่กี่วันหลังจากที่สภานักวิชาการอาวุโสในซาอุดีอาระเบียออกแถลงการณ์กล่าวหากลุ่มอิควานมุสลิมีนเป็นกลุ่มก่อการร้ายและเตือนให้ระวัง

 ⚫️ องค์กรใหญ่ๆแสดงการไว้อาลัย

องค์กรอิสลามทั่วโลก  เช่น กลุ่มอิควานมุสลิมีน  กลุ่มฮามาส  สหพันธ์นักวิชาการอิสลามนานาชาติ   สมาคมยุวมุสลิมแห่งประเทศไทย ฯลฯ  ต่างออกมาแสดงการไว้อาลัยต่อการจากไปของท่าน ชี้ว่าเป็นความสูญเสียของประชาชาติอิสลาม

สหพันธ์นักวิชาการอิสลามนานาชาติ  แถลงในแพลตฟอร์ม (X) ว่า “ขอแสดงความเสียใจต่อประชาชาติอิสลามต่อการเสียชีวิตของชัยค์อับดุลมะญีด ซินดานีย์ สมาชิกของสหพันธ์ฯ และองค์กรระหว่างประเทศเพื่อศึกษาปาฏิหาริย์ทางวิทยาศาสตร์ในอัลกุรอานและซุนนะฮฺ ”

ขบวนการฮามาส แถลงยกย่องบทบาทของชัยค์อับดุลมะญีด ซินดานีย์  ว่า: ท่านเป็นหนึ่งในบุคคลที่โดดเด่นที่สุดในด้านการศึกษาและการสนับสนุนในเยเมนและโลกอิสลาม ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกด้านปาฏิหาริย์ทางวิทยาศาสตร์ในอัลกุรอาน และเป็นเสาหลักของขบวนการอิสลามในการสนับสนุนประเด็นปัญหาของประชาชาติอิสลาม  ที่สำคัญที่สุดคือประเด็นของปาเลสไตน์ กรุงเยรูซาเล็ม และมัสยิดอัลอักซอ”

ขบวนการฮามาสกล่าวเสริมว่า “วันนี้ในปาเลสไตน์ เราสูญเสียบุคคลสำคัญคนหนึ่งที่ปกป้องปาเลสไตน์ และเสียงที่จริงใจในการสนับสนุนการต่อต้านและการต่อสู้ที่ถูกต้องตามกฎหมายของประชาชนของเรา  ขอแสดงความเสียใจต่อชาวเยเมน ครอบครัวของชีค และผู้ที่รักท่านจากทั่วโลก

https://hamasinfo.info/2024/04/22/1259/


เครดิต : FB : Ghazali Benmad

ชาวอินเดียหนุนอิสราเอลทำสงครามกับฮามาส

ตอฮา  คลินช์ Taha Klinc นักข่าวชาวตุรกีกล่าวว่า นับตั้งแต่อิสราเอลเปิดฉากการโจมตีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในฉนวนกาซา เราได้เห็นสถานการณ์ที่น่าอัศจรรย์และน่าตกใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโซเชียลมีเดีย ซึ่งผู้คลั่งไคล้ศาสนาฮินดูที่เป็นศัตรูกับศาสนาอิสลามต่างเฉลิมฉลองอย่างบ้าคลั่งกับข่าวการสังหารชาวมุสลิมพร้อมทั้งยกย่องอาชญากรรมของกองทัพอิสราเอล

ตามบทความของตอฮา  คลินช์ ในหนังสือพิมพ์เยนี ชะฟัก Yeni Safak ระบุว่า  ข้อความจำนวนนับไม่ถ้วนที่ถูกแชร์ เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นและความสุข จนคุณอาจคิดว่าอินเดียเป็นประเทศในตะวันออกกลางที่เกี่ยวข้องกับปัญหาปาเลสไตน์โดยตรง พวกเขาหมกมุ่นอยู่กับประเด็นนี้มาก

เรื่องนี้ไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้นเท่านั้น เนื่องจากมีการเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมโดยศาสตราจารย์ ดร.คอลิด อาบู อัลฟัดล์ ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายจากวิทยาลัยนิติศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย  ลอสแองเจลิส ในการกล่าวคุตบะฮ์เมื่อวันศุกร์ที่ 12 มกราคม ที่สถาบัน “โอโซลี” Usuli Institute

ศาสตราจารย์ ดร.คอลิด อาบู อัลฟัดล์ กล่าวว่า อาสาสมัครอาสาสมัครชาวฮินดูเข้าร่วมกองทัพอิสราเอลและต่อสู้ในฉนวนกาซาเพียงเพื่อ “ลิ้มรสความสุขของการฆ่าชาวมุสลิม”

และว่า: “การสังหารหมู่ที่เลวร้ายที่สุดต่อชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซาเกิดขึ้นโดยทหารอินเดียที่ทำงานในกองทัพอิสราเอล ผู้รักชาติฮินดูสนับสนุนอย่างเปิดเผยถึงสิ่งที่ชาวอิสราเอลกำลังทำกับชาวปาเลสไตน์ และเน้นย้ำว่า “ อิสราเอลเป็นแรงบันดาลใจให้เราในเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” นี่คือสิ่งที่เราจะทำเพื่อชาวมุสลิมในแคชเมียร์” และว่า อินเดียได้เริ่มวางแผนการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ต่อชาวมุสลิมแล้ว

ตอฮา  คลินช์ กล่าวเสริม: “เพื่อยืนยันสิ่งที่ศาสตราจารย์ ดร.คอลิด อาบู อัลฟัดล์ กล่าว การโจมตีทางกายภาพและการคุกคามต่อชาวมุสลิมได้เพิ่มขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาในบางเมืองในอินเดีย อีกทั้ง โมดี้ นายกรัฐมนตรีอินเดียได้ทำพิธีเปิดวิหาร “Ram Janmabhoomi Mandir” ในเมืองทางตอนเหนือของอุตตรประเทศ บนสถานที่ที่เป็นที่ตั้งของมัสยิดบาบารี ซึ่งมีอายุย้อนไปถึงสมัยโมกุล”

มัสยิดบาบารีถูกทำลายลงในปี 1992 โดยกลุ่มชาตินิยมฮินดู และเกิดการจลาจลที่คร่าชีวิตผู้คนไปอย่างน้อย 2,000 คน โมดีประสบความสำเร็จในการได้รับการสนับสนุนจากชาวฮินดูต่อต้านอิสลามผู้คลั่งไคล้ผ่านการรณรงค์อย่างแข็งขันในการจัดตั้งวัดฮินดูแทนมัสยิด ซึ่งทำให้เขาเข้าใกล้อำนาจมากขึ้น

ศิลปิน นักแสดง และนักเขียนชื่อดังในอินเดียมีส่วนร่วมในการเปิดวัดดังกล่าว ในขณะที่ชาวฮินดูที่มารวมตัวกันในสถานที่เฉลิมฉลองได้เผารูปของบาบูร์ ชาห์  ผู้ก่อตั้งรัฐสุลต่านโมกุลแห่งอินเดีย และสวดมนต์คำขวัญที่เป็นศัตรูต่อศาสนาอิสลามและมุสลิม

ฉากที่น่าตกตะลึงนี้เป็นหลักฐานที่ชัดเจนว่าความเป็นปรปักษ์ต่อบาบูร์ ชาห์ ซึ่งเสียชีวิตในปี 1530 ยังคงอยู่และกำลังดำเนินอยู่

ตอฮา  คลินช์ กล่าวต่อ: ในบริบทของเหตุการณ์ปัจจุบัน ย่านมุสลิมในมุมไบ หรือที่รู้จักกันในชื่อ “บอมเบย์เก่า” รวมถึงร้านค้า บ้านเรือน และสถานที่สักการะ ถูกโจมตีโดยกองกำลังติดอาวุธชาวฮินดู

การโจมตีครั้งนี้ส่งผลให้ร้านค้าหลายแห่งเสียหาย บ้านเรือนถูกบุกโจมตี และมีความพยายามที่จะเผามัสยิด ไม่จำเป็นต้องบอกว่า เมื่อมีการก่ออาชญากรรมและการละเมิดเหล่านี้ ตำรวจมุมไบก็แค่เฝ้าดูและเป่านกหวีด

กลุ่มติดอาวุธที่โจมตีชาวมุสลิมยอมรับหลักคำสอนของลัทธิ”ฮินดูทวา” ซึ่งเป็นลัทธิฟาสซิสต์หัวรุนแรงรูปแบบหนึ่งของลัทธิชาตินิยมฮินดู นายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี มีส่วนทำให้ลัทธินี้มีอำนาจเพิ่มมากขึ้น กองกำลังติดอาวุธเหล่านี้ไม่ลังเลที่จะก่ออาชญากรรมประเภทที่น่ากลัวที่สุดต่อชาวมุสลิม รวมถึงการสังหาร และการเผามัสยิด การก่อการร้ายที่พวกเขากระทำเรียกว่า “การก่อการร้ายด้วยหญ้าฝรั่น” โดยอ้างอิงถึงหญ้าฝรั่นที่ทำให้เสื้อผ้าของตนแตกต่าง

ในทศวรรษที่ผ่านมา ความสัมพันธ์อินเดีย-อิสราเอลมีพัฒนาการที่โดดเด่น โดยก้าวขึ้นสู่ระดับ “หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์” การพัฒนานี้เกิดขึ้นพร้อมกับการลงนามข้อตกลงหลายฉบับในสาขาต่างๆ ตั้งแต่ข่าวกรองไปจนถึงเทคโนโลยี และจากการศึกษาไปจนถึงวัฒนธรรม

บางทีคุณลักษณะที่โดดเด่นที่สุดของความร่วมมือครั้งนี้ก็คือความคล้ายคลึงกันในตรรกะของการยึดครองที่อิสราเอลทำกับปาเลสไตน์ กลายเป็นแหล่งที่มาของแรงบันดาลใจและเป็นแนวทางสำหรับรัฐบาลอินเดียในการปฏิบัติกับประชากรมุสลิม ไม่ว่าจะอยู่ในอินเดียหรือในแคชเมียร์ ซึ่งรัฐบาลโมดีกำลังทำงานเพื่อเลียนแบบรัฐบาลเนทันยาฮูโดยสิ้นเชิง ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่แคชเมียร์ถูกเปรียบเทียบกับปาเลสไตน์ และถูกเรียกว่า “ปาเลสไตน์แห่งเอเชีย”


Cerdit: Ghazali Benmad

จากสงครามเล็ก ๆ กลายเป็นสงครามระดับโลก

สงครามของอิสราเอลในฉนวนกาซาซึ่งดำเนินไปนานกว่า 116 วันโดยมีการหยุดยิงสั้นๆ เพียงไม่กี่วัน ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงฉนวนกาซา แต่กำลังขยายและขยายจากฉนวนกาซาไปยังเลบานอนตอนใต้ จากนั้นอียิปต์ ราฟาห์ เยเมนทางตอนใต้ของอาระเบีย  ชายแดนระหว่างจอร์แดน ซีเรีย และอิรัก (ซึ่งเป็นที่ตั้งของฐานทัพอัล-ทันฟ์ของอเมริกา) ชายแดนซีเรียและอิรัก จากนั้นก็เป็นชายแดนจอร์แดน ซึ่งเป็นที่ตั้งของฐานทัพอเมริกา “Tower T-22”

สงครามไม่ได้ขยายตัวในชั่วข้ามคืน แม้ว่ามหาอำนาจจะเข้าร่วมตั้งแต่เริ่มต้นในฐานะผู้ให้การสนับสนุนหลังปฏิบัติการน้ำท่วมอักซอ ซึ่งประเทศสำคัญๆ หลายประเทศเข้าร่วมในการรุกรานฉนวนกาซา แต่ประเทศเหล่านี้กระตือรือร้นที่จะสนับสนุนการทำสงครามเฉพาะภายในฉนวนกาซาเพื่อให้อิสราเอลบรรลุวัตถุประสงค์  เป้าหมายที่ประกาศ ณ ขณะนั้นคือการกำจัดกลุ่มฮามาสและปลดปล่อยนักโทษ แต่ก็ไม่บรรลุเป้าหมายใดเลยและดูเหมือนว่าจะไม่มีวันบรรลุผล…

ทุกวันนี้เราเห็นสงครามในทะเลแดงและกลุ่มฮูตีมุ่งเป้าไปที่เรือที่มหาอำนาจเป็นเจ้าของ  สงครามได้มาถึงจุดที่มุ่งเป้าไปที่กองกำลังอเมริกันในจอร์แดนโดยไม่ต้องกลัวการลงโทษหรือปฏิกิริยาจากประเทศที่มีอำนาจมากที่สุดในโลก

ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การกำหนดเป้าหมายไปที่กองกำลังอเมริกันในจอร์แดน อิรัก และซีเรีย เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเพิ่มขึ้นของความโกรธเคืองของชาวอาหรับที่มีต่อรัฐบาลของประเทศมหาอำนาจเหล่านั้น และจากความกล้าของภาคประชาชนที่อาจเป็นภัยต่อการที่มีต่อการดำรงอยู่ของอเมริกาในโลกอาหรับ  โดยเฉพาะหลังจากการต่อต้านของชาวปาเลสไตน์ที่บุกโจมตีอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2566 ในปฏิบัติการน้ำท่วมอัลอักซอ 

ตลอดระยะเวลาการทำสงครามของอิสราเอลกับประชาชนชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซาในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะขยายขอบเขตของสงครามยกเว้นในแนวรบเลบานอนตอนใต้ และในขนาดและเวลาและสถานที่ที่จำกัด แต่วันนี้ภาพ วิธีการ และผลลัพธ์ล้วนแตกต่าง

อย่างไร ?

1- สงครามในวันนี้ถือเป็นสงครามที่ยาวนานที่สุดในฉนวนกาซาและประเทศอาหรับ ในประวัติศาสตร์ของการขัดแย้งด้วยอาวุธกับกลุ่มไซออนิสต์

2- สงครามในปัจจุบันประกอบด้วยแนวรบหลายแนวและในรูปแบบที่แตกต่างกัน ตั้งแต่การปิดเส้นทางเดินเรือบางส่วนในทะเลแดงไปจนถึงการขัดขวางกลไกทางเศรษฐกิจของศัตรูและพันธมิตร (สงครามเศรษฐกิจ)

3- สงครามในปัจจุบันรวมถึงการยิงขีปนาวุธพิสัยไกลและโดรนซึ่งไม่ได้มุ่งเป้าไปที่กลุ่มไซออนนิสต์ แต่มุ่งเป้าไปที่ฐานทัพของอเมริกาในสามประเทศ ได้แก่ อิรัก จอร์แดน และซีเรีย

4- สงครามในวันนี้ได้มาถึงศาลยุติธรรมระหว่างประเทศแล้ว และพรุ่งนี้สงครามจะไปถึงศาลอาญาระหว่างประเทศผ่านทางประเทศอาหรับและไม่ใช่อาหรับ ยุโรปและละตินอเมริกา (สงครามทางกฎหมาย)

5- สงครามในปัจจุบัน ในด้านหนึ่งได้ขยายขอบเขตออกไปภายในอิสราเอล  มีความขัดแย้งทางการเมืองในคณะรัฐมนตรี ความขัดแย้งทางทหารในสภาสงครามของอิสราเอล รวมถึงความขัดแย้งทางสังคมกับครอบครัวของตัวประกัน และระหว่างกลุ่มหัวรุนแรงและกลุ่มหัวรุนแรงน้อยกว่าในอิสราเอล อีกทั้งขอบเขตของความขัดแย้งยังขยายออกไปและทำให้เกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงกับอเมริกา หุ้นส่วนและผู้สนับสนุนทางการเงินรายหลักในการทำสงคราม และนายกรัฐมนตรีอิสราเอลได้กลายเป็นภัยคุกคามต่ออนาคตของรัฐบาลไบเดน และพรรค ในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง

6- สงครามในปัจจุบันได้เคลื่อนตัวไปตามถนนและจัตุรัสของประเทศหลักๆ ในยุโรปที่สนับสนุนอิสราเอลนี้ เช่น เยอรมนีและอังกฤษ  ซึ่งรัฐมนตรีต่างประเทศ เดวิด คาเมรอน ประกาศว่าพวกเขากำลังพิจารณารับรองรัฐปาเลสไตน์ ซึ่งเป็นก้าวใหม่และสำคัญมาก  ความขยับที่โดดเด่นและจุดยืนของสเปนและเบลเยียมในยุโรปถือเป็นจุดยืนที่ก้าวหน้ามากและแตกต่างจากจุดยืนของสหรัฐอเมริกา  ไม่ต้องพูดถึงจุดยืนของรัฐสภายุโรปที่เรียกร้องให้หยุดยิง

7- ทั้งหมดนี้หมายความว่าสงครามไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการถืออาวุธและการต่อสู้ตามบ้านอีกต่อไป แต่เป็นสงครามแห่งความกดดันบนท้องถนนต่อนักการเมืองและผู้บัญชาการทหาร ซึ่งเป็นเรื่องใหม่เช่นกัน

8- สงครามในปัจจุบันเกี่ยวข้องกับการต่อต้านในเลบานอนและการต่อต้านในอิรัก และหากมองอย่างใกล้ชิด จะพบว่าอิรักมีฐานทัพอเมริกา เช่นเดียวกับซีเรีย จอร์แดน คูเวต กาตาร์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งหมายความว่าทหารอเมริกันตกเป็นเป้าของการต่อต้านในภูมิภาคซึ่งเป็นเรื่องประวัติการณ์

9- สงครามในปัจจุบัน แม้ว่ากองทัพอาหรับอย่างเป็นทางการจะไม่เข้าร่วมสงครามก็ตาม แต่กองกำลังที่ไม่เป็นทางการได้เติบโตขึ้นและกลายเป็นคู่แข่งที่แข็งแกร่ง ไม่ใช่สำหรับกองกำลังของไซออนิสต์ แต่สำหรับกองทัพอเมริกัน เรือรบและเรือประจัญบานตะวันตกในภูมิภาค ซึ่งเชื่อว่าสงครามในอนาคตทั้งหมดจะเป็นสงครามของกองกำลังหรือกองกำลังติดอาวุธที่ไม่เป็นทางการ ซึ่งหมายความว่าสงครามเหล่านี้จะอยู่นอกเหนือการควบคุมและยากที่จะตรวจสอบ

10- สงครามในปัจจุบันแพร่หลายในสื่อ โทรทัศน์ และในโซเชียลมีเดีย ในลักษณะที่เปิดโปงแนวปฏิบัติของอิสราเอล และอเมริกันที่มีต่อพลเรือนไร้อาวุธ และเป็นที่ชัดเจนว่าการสนับสนุนของอเมริกาต่ออิสราเอลนั้นตกอยู่สภาพวิกฤติ จากการต้องเผชิญกับการรู้เท่าทันของประชาชนและการปฏิเสธสิ่งที่เกิดขึ้น

11- สงครามในปัจจุบันกำลังขยายตัวในสังคมอาหรับโดยเฉพาะประเทศที่ติดกับปาเลสไตน์และประเทศอื่น ๆ ยามเมื่อได้พบกับการไร้ความสามารถและความเงียบงัน หรือสิ่งทีบางคนมองว่า เป็นการทรยศและการสมรู้ร่วมคิดกับอิสราเอล ความโกรธแค้นก็เพิ่มขึ้นและเสียงก็ดังขึ้น เพื่อประณามรัฐบาลอาหรับและเรียกร้องให้ออกไป หรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่สนับสนุนอิสราเอล หรือนิ่งเงียบ ไม่ทำอะไรเพื่อยุติการรุกราน  ทำให้รัฐบาลเหล่านั้น ต้องเผชิญกับทางเลือกที่จำกัดและยากลำบาก ซึ่งอาจจะเป็นการตอบสนองข้อเรียกร้องของประชาชน หรือการปะทะที่จะเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าจะล่าช้าก็ตาม

12- สงครามในปัจจุบันไม่เพียงแต่เป็นระดับภูมิภาคในแง่ที่ว่าขอบเขตของมันอยู่ภายในภูมิภาคเท่านั้น แต่ยังอยู่ระหว่างการพัฒนา และอาจขยายไปสู่ระดับทวีปหรือแม้กระทั่งระดับโลก  หลังจากที่รัฐแอฟริกาใต้ยื่นเรื่องร้องเรียนซึ่งศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้รับฟ้องเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา สนับสนุนให้ประเทศอื่นๆ  เช่น โคลอมเบียและโบลิเวีย ในละตินอเมริกา ทำซ้ำรูปแบบนี้โดยการยื่นเรื่องร้องเรียนต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ

สงครามวันนี้ ไม่ได้มีลักษณะเหมือนสงครามก่อนวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2566 และแน่นอนว่า ผลของสงครามครั้งนี้จะแตกต่างจากที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ แม้ว่าจะมีการหยุดยิงในฉนวนกาซาก็ตาม เพราะว่าสงครามไม่ได้อยู่ในฉนวนกาซาหรือในปาเลสไตน์อีกต่อไป แต่เป็นสงครามหลายทิศทาง หลายแรงจูงใจ หลายแนวรบ และหลายภูมิภาค

สงครามวันนี้ได้ทำให้ภาคประชาชนร่วมมือกัน ชาติต่างๆร่วมมือกัน   และปลุกจิตสำนึกของมนุษย์ที่ถูกหลอกด้วยคำขวัญจอมปลอม เช่น ประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน  หลังจากที่ได้ออกมาจากใต้ซากปรักหักพังและพบว่าผู้ที่กำลังเข่นฆ่าผู้คน คือผู้ที่ชูสโลแกนการปกป้องสิทธิมนุษยชน


Cerdit : Ghazali Benmad

ขอแสดงความยินดีแก่ประธานสหพันธ์อุลามาอ์อิสลามนานาชาติ (คนใหม่)

ชัยค์อาลี กอเราะฮ์ดาฆี ได้รับเลือกเป็นประธานสหพันธ์อุลามะอ์อิสลามนานาชาติ ด้วยคะแนนเสียงข้างมาก ในระหว่างการประชุมสมัยที่ 6 ที่กรุงโดฮา  กาตาร์ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ที่เริ่มการประชุมสมัชชาใหญ่สมัยที่ 6 ภายใต้สโลแกน  “เราเกื้อหนุนศาสนาของเรา พัฒนาประชาชาติของเรา และสนับสนุนอักซอของเรา” โดยจะสิ้นสุดในวันที่ 11 มกราคมนี้

สหพันธ์ฯ ประกาศว่า ชัยค์อาลี กอเราะฮ์ดาฆี ชนะตำแหน่งประธานสหพันธ์ด้วยคะแนนเสียงข้างมาก 91.51 เปอร์เซ็นต์

ชัยค์อาลี กอเราะฮ์ดาฆี ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสหพันธ์ฯ และได้รับแต่งตั้งเป็นประธานต่อจากชัยค์อะหมัด รัยซูนีย์ ซึ่งเข้ารับตำแหน่งนี้ ในปี 2018 ต่อจากชัยค์ยูซุฟ  กอรฎอวีย์ ผู้ก่อตั้งสพันธ์ฯ ผู้ล่วงลับ

ชัยค์อาลี กอรเราะฮ์ดาฆี เกิดปี ค.ศ.1949 เป็นชาวพื้นเมืองของภูมิภาค Qara Dagh กอเราะฮ์ดาฆ ในจังหวัดสุลัยมานียะฮ์   ของเคอร์ดิสถาน ในอิรัก  เป็นนักวิชาการด้านกฎหมายอิสลาม  สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขากฎหมายอิสลาม   ในกรุงแบกแดดในปี 1975 และปริญญาโทสาขานิติศาสตร์อิสลามเปรียบเทียบ จากมหาวิทยาลัยอัลอัซฮัรอัลชารีฟ ในปี 1980 และปริญญาเอกสาขากฎหมายอิสลามและกฎหมายทั่วไป ที่มหาวิทยาลัยอัลอัซฮัร อัล-ชารีฟ – ในด้านสัญญาและธุรกรรมทางการเงิน ในปี 1985 ด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1  ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ในปี 1990 และเป็นศาสตราจารย์ในปี 1995

สหพันธ์อุลามาอ์อิสลามนานาชาติ นิยามตัวเองเป็น “สถาบันเอกชนที่เป็นอิสระไม่ขึ้นกับรัฐบาลใด เพื่อการรักษาอัตลักษณ์ของประชาชาติอิสลาม และเผชิญกับกระแสการทำลายล้างและการต่อต้านอิสลาม” ก่อตั้งขึ้นในปี 2004 โดยมีชัยค์ยูซุฟ  กอรฎอวีย์ ผู้ก่อตั้งสหพันธ์ฯ ผู้ล่วงลับเป็นประธานสหพันธ์ฯ คนแรก

สหพันธ์ฯ ประกาศว่า “สมาชิกที่เข้าร่วมในสมัชชาใหญ่ของสหพันธ์ได้เลือกรองประธาน ได้แก่ ชัยค์มุฮัมมัด อัลฮัสซัน วะลัดอัลดาโด ร้อยละ 95, ชัยค์อิซอม อัลบาชีร์ และชัยค์อาหมัด อัลคาลิลี ร้อยละ 89 และชัยค์มูฮัมหมัด กอร์มาซ 86 เปอร์เซ็นต์ ชัยค์ซาลิม ซักกอฟ อัลจุฟรีย์ ได้รับร้อยละ 79 และ ชัยค์อับดุลมะจีด  นัจจาร์  ได้ร้อยละ 77

ชัยค์มุฮัมมัด อัลฮัสซัน วะลัดอัลดาโด
ชัยค์อิซอม อัลบาชีร์
ชัยค์อาหมัด อัลคาลิลี
ชัยค์มูฮัมหมัด กอร์มาซ
ชัยค์ซาลิม ซักกอฟ อัลจุฟรีย์
ชัยค์อับดุลมะจีด  นัจจาร์

Cerdit : Ghazali Benmad

การสาปแช่งจากอัลลอฮ์

อัลลอฮ์ได้สาปแช่งพวกเขาในอัลกุรอานว่า พวกเขาจะต้องประสบกับความต่ำช้าและความขัดสน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ยกเว้น

1. พวกเขาจะยึดมั่นกับสายเชือกแห่งอัลลอฮ์ด้วยการปฏิบัติตามคำสั่งของพระองค์ ไม่ฝ่าฝืนและทรยศต่อพระองค์

ซึ่งสายเชือกนี้ได้ขาดสะบั้นแล้ว เพราะพวกเขาคือกลุ่มชนที่ทรยศต่ออัลลอฮ์ด้วยการฝ่าฝีนคำสั่งของพระองค์ แอบอ้างดินแดนแห่งพันธะสัญญาด้วยการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ผู้คนที่บริสุทธิ์ มิหนำซ้ำยังกล่าวร้ายต่ออัลลอฮ์ด้วยคำพูดที่เลวทรามที่สุด ถึงขนาดกล่าวหาว่าอุซัยร์คือบุตรของอัลลอฮ์ تعالى الله عما يقولون علوا كبيرا

2. สายเชือกของมนุษย์ ซึ่งผู้คนทั่วโลกในทุกยุคทุกสมัยพากันขยาดกับพฤติกรรมอันต่ำตมของพวกเขา  โดยเฉพาะยุคปัจจุบันที่ชาวโลกได้เป็นสักขีพยานถึงความโหดร้ายและความบ้าคลั่งของพวกเขา  มนุษย์ประเภทเดียวที่ยอมจับมือกับพวกเขาคือระดับแกนนำใจโฉดที่ถือว่าตนเองคือตำรวจโลกที่สามารถทำอะไรก็ได้ตามใจสั่ง ซึ่งเป็นสายเชือกที่เปราะบางและอ่อนแอมากๆ เพราะอำนาจย่อมมีวันเสื่อมคลาย ความยิ่งใหญ่ของชาติมหาอำนาจในอดีตย่อมสิ้นสุดด้วยการสิ้นสลายด้วยปัจจัยง่าย ๆ ที่แสนธรรมดา ฟาโรห์ตายเพราะจมน้ำ กอรูนถูกธรณีสูบ นัมรูดจอมเกรียงไกรตายด้วยยุงพิษ ฮิตเลอร์ฆ่าตัวตาย เอเรียล ชารอนตายในสภาพที่ทรมานสุด ๆ หลังจากต้องรักษาตัวในห้องไอซียูนานกว่า 8 ปี ทิ้งชีวิตตนเองในถังขยะแห่งประวัติศาสตร์ที่ไม่มีใครกล้าพูดถึงแม้กระทั่งลูกหลานของตนเอง


โดย Mazlan Muhammad

โอ้ผู้ที่ยืนบนหลุมฝังศพข้า

.يا واقفا يتذكرني على قبري

.لا تتعجب كثيرا من أمري

.كنت بالأمس واقفا على قبر غيري

.كما وقفت الآن على قبري

.هكذا جاءك غدا دورك

.كما جاءني بالأمس دوري

.لكل له دور يدوره

.ومتى يكون فلا يدرى

.أقريب أم بعيد ذلك الدور

.أليس الفجر صبحا بقريب


.واهي سي برديري انتوق مڠيڠتي کو دأتس ڤوساراکو

.جاڠن کامو ترلالو سديه دأتس ڤمرݢين اين

.کلمارين اکو جوݢا ڤرنه برديري دأتس ڤوسارا صحابتکو

.سڤرت سکارڠ کاو سدڠ برديري دأتس ڤوسارا کو

.دمکينله بيسوق اکن تيبا ݢيليران مو

.سڤرت ݢيليران کو تله تيبا کلمارين

.ستيڤ کيت اکن منمؤي ݢيليرانڽ

.دي تيدق مڠتهوي بيلاکه ݢيليرانڽ چوما

.اداکه همڤير تيبا اتو ماسيه جأوه دمات

.بوکنکه فجر تتڤ منجلما جوا


โอ้ผู้ที่ยืนอยู่บนหลุมฝังศพข้าเพื่อไว้อาลัยข้า

เจ้าอย่าโศกเศร้าอาดูรกับการจากไปของข้า

วันวานข้าก็ยืนบนหลุมฝังศพของสหายข้า

เหมือนที่เจ้ากำลังยืนบนหลุมฝังศพข้า ณ ตอนนี้

พรุ่งนี้อาจถึงคิวของเจ้า

เฉกเช่นเมื่อวานได้ถึงคิวของข้า

เราทุกคนต่างมีคิวกันถ้วนหน้า

เพียงแต่ไม่มีใครหยั่งรู้วันเวลาที่แน่นอน

 อาจจะใกล้แค่คืบหรือยังไกลโพ้น

แสงอรุณยามเช้า จะต้องคืบคลานเข้ามามิใช่หรือ


Ibnu desa