ทูตอังกฤษคนแรกที่ประกอบพิธีฮัจญ์

นายไซมอน คอลลินส์ (Simon Collins) อายุ 64 ปี ถือเป็นเอกอัครราชทูตอังกฤษคนแรกที่ประกอบพิธีฮัจญ์ เมื่อเข้ารับอิสลามหลังจากใช้ชีวิตกับชาวมุสลิมนานกว่า 30 ปี และกล่าวว่า ข้าพเจ้ารับอิสลาม หลังจากได้รับทราบแก่นแกนของอิสลามที่แท้จริง

เข้ารับราชการในตำแหน่งเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศอังกฤษ โดยตลอดชีวิตราชการ เขาต้องไปประจำตำแหน่งที่ประเทศแถบตะวันออกกลางหลายประเทศ เช่น อิรัก ซีเรีย กาตาร์ คูเวต จอร์แดน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เยเมน ตูนิเซียและล่าสุดเมื่อปี 2015 รับตำแหน่งเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำกรุงริยาด ประเทศซาอุดิอาระเบีย จนกระทั่งเขาสามารถพูดและอ่านภาษาอาหรับได้อย่างแตกฉาน ซึ่งทำให้เขาใช้โอกาสศึกษาแก่นแท้ของอิสลามอย่างจริงจัง จนกระทั่งในปี 2011 เขาได้ประกาศรับอิสลามและได้แต่งงานกับสตรีชาวซีเรียชื่อฮูดา

ในปี 2016 ทั้งสองคนได้ประกอบพิธีฮัจญ์ ทำให้นายไซมอน คอลลินส์ กลายเป็นเจ้าหน้าที่ในกระทรวงต่างประเทศอังกฤษตำแหน่งเอกอัครราชทูตคนแรกในประวัติศาสตร์ของประเทศที่ประกอบพิธีฮัจญ์

ทางด้านกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษก็ได้ยินยันข่าวดังกล่าว และถือเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่สามารถกระทำได้ โดยกระทรวงการต่างประเทศจะไม่ก้าวก่ายแต่อย่างใด

อ่านเพิ่มเติมได้ที่
https://www.sarayanews.com/print.php?id=387799
https://www.bbc.com/arabic/worldnews/2016/09/160915_uk_ambassador_hajj
https://www.rt.com/uk/359422-saudi-ambassador-muslim-convert/

แผนสกัดตุรกี

บทความร้อนๆ ของอิบรอฮีม กราฆูล บรรณาธิการ yenisafak นสพ.ตุรกี สายนิยมรัฐบาล (ตอนที่ 2)

อิหร่านแบกรับความผิดเท่ากับรัสเซียในการโจมตีอิดลิบและกองกำลังตุรกีที่นั่น เมื่อเร็ว ๆ นี้ มิหนำซ้ำ ในความเป็นจริง ผู้ที่ดำเนินการโจมตีเหล่านี้ส่วนใหญ่ได้รับคำสั่งจากอิหร่านและสมุนในซีเรีย

ไม่มีข้อสงสัยใดๆ สำหรับทุกคนในวันนี้ว่าประเทศทั้งสองใช้ข้อตกลงแอสตานาและโซซี เป็นเครื่องมือประวิงเวลาให้ระบอบอะซัด และเล่นเหลี่ยมกับตุรกี

เหมือนกับที่สหรัฐอเมริกาที่ได้ทำสัญญากับตุรกีหลายครั้ง เพื่อประวิงเวลาให้องค์กรการก่อการร้าย PKK ในซีเรียตอนเหนือ แต่อเมริกาไม่เคยทำตามข้อตกลงดังกล่าว ตอนนี้รัสเซียกำลังใช้กลยุทธ์เดียวกัน พวกเขากำลังล้อเล่นกับตุรกี

• เราจะโจมตีระบอบอะซัดในทุกหนแห่ง

สิทธิ์ของตุรกีในการป้องกันตัวเองไม่อยู่ภายใต้ “การต่อรอง”ใดๆ

ประธานาธิบดีแอร์โดฆานกล่าวว่า “เราจะโจมตีระบอบอะซัดทุกหนทุกแห่ง ถ้าเริ่มการโจมตีเราก่อน” เป็นวลีที่พิสูจน์ว่า เกิด “นิยามใหม่” ในสงครามซีเรีย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการเจรจาทางการเมืองกับรัสเซียเป็นพื้นฐานหลัก และการหารือกับสหรัฐอเมริกาเป็นเรื่องสำคัญ แต่สงครามซีเรียได้กลายเป็นสงครามกับตุรกีไปแล้ว

ขอพูดอย่างตรงไปตรงมา พวกเขาจุดชนวนสงครามในซีเรียโดยมีเป้าหมายที่ตุรกี เนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งของแผน “กดทับตุรกีไม่ให้โต” พวกเขาวางแผนและดำเนินการตามแผน “ทางผ่านของกลุ่มก่อการร้าย” ที่ทอดยาวจากชายแดนอิหร่านไปจนถึงทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และได้รับการสนับสนุนจากอเมริกาด้วยรถบรรทุกหลายพันคันที่เต็มไปด้วยกระสุนเพื่อสร้าง “แนวหน้าต่อต้านตุรกี”

สำหรับตุรกีนั้น ได้ทำ “ปฏิบัติการโล่ห์ยูเฟรติส Euphrates Shield” “ปฏิบัติการกิ่งมะกอก” และ”ปฏิบัติการต้นน้ำสันติภาพ Spring of Peace” เพื่อปกป้องตัวเองและปกป้องดินแดนของอนาโตเลียเท่านั้น จุดยืนของตุรกีในอิดลิบและดินแดนที่ลึกเข้าไป เป็นการปกป้องตัวเอง และเป็นสิทธิ์ที่ไม่สามารถต่อรองได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

• การปิดล้อมในเขตซีเรีย ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก ทะเลอีเจียนและทะเลดำ

• เราจะไม่ถอย !

ทั้งอเมริกาและรัสเซีย ไม่ควรมองความพยายามของตุรกีในการหาทางออกทางการเมืองว่าเป็น “ความอ่อนแอ” ยุคที่ตุรกีเอาตัวรอดและดำเนินนโยบายกลับไปกลับมาระหว่างอเมริกาและรัสเซีย หรือมหาอำนาจอื่นๆ ได้สิ้นสุดไปแล้ว

แผนที่ของมหาอำนาจทั่วโลกมีการเปลี่ยนแปลงแล้ว เช่นเดียวกับสัญญานของตุรกีในการค้นหาอำนาจ และมุมมองต่อภูมิภาคและต่อโลกได้เปลี่ยนแปลงไป แล้ว เรากำลังเผชิญกับสถานการณ์ใหม่ ที่สามารถรักษาความอยู่รอดของเราได้โดยการพัฒนา และเพิ่มความแข็งแกร่ง หรือจะถอยยอมแพ้

ไม่เคยปรากฏในช่วงเวลาใดๆ ในประวัติศาสตร์ของตุรกีว่า ตุรกีรักษาความอยู่รอดของตนโดยการถอย

พวกเขาเหล่านั้นดำเนินแผนการปิดล้อมตุรกีทุกด้าน จากซีเรีย ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก ทะเลอีเจียนและทะเลดำ โดยมีเจตนาเพื่อกดทับตุรกีไม่ให้โต นี่คือจุดประสงค์ของแผนทั้งหมดที่พวกเขาได้ดำเนินการ และดำเนินการผ่านกลุ่ม PKK องค์กรก่อการร้ายกูเลน และฝ่ายการเมืองที่พวกเขาจัดตั้งขึ้นในตุรกี

อ่านตอนที่ 1 คลิ๊ก > https://www.theustaz.com/?p=2909

อ่านบทความต้นฉบับ https://m.yenisafak.com/ar/columns/ibrahimkaragul/2042780

โดย Ghazali Benmad

Fake News | เฟสบุ๊ค“องค์กรพลังชาวพุทธ”เผยแพร่ข่าวปลอม ระบุว่ามัสยิดเกิน100แห่ง ทั่วเมืองเชียงใหม่

ข่าวปลอม เฟสบุ๊ค “องค์กรพลังชาวพุทธ” เผยแพร่ข่าวปลอม (Fake News) ระบุว่า ที่เชียงใหม่เกิน 100 มัสยิด พร้อมเขียนข้อความลงวันที่ 17 กพ. เวลา 08.36 น. ว่า #อาการสาหัส มุสลิมบุกหนัก

theustaz.com ได้ตรวจสอบข้อมูลจากข้อมูลทางการพบว่า ในจังหวัดเชียงใหม่มีมัสยิด 17 แห่งในจำนวนนี้มี 3 แห่งที่ยังไม่ได้รับจดทะเบียน

โปรดดู > https://bit.ly/2P4K5Rm

theustaz.com เห็นว่า ข้อมูลที่องค์กรพลังชาวพุทธนำเสนอนั้น เป็นข้อมูลที่เป็นเท็จและส่อเจตนาสร้างความแตกแยกในสังคม ขัดแย้งกับหลักธรรมของพุทธศาสนาที่สอนให้พุทธศาสนิกชนดำรงตนให้เป็นคนดี ไม่พูดปดและถือว่าการพูดโกหกเป็นการฝ่าฝืนศีล 5 ข้อที่ 4 คือตั้งใจงดเว้นจากการพูดเท็จ พูดคำหยาบ คำส่อเสียด เพ้อเจ้อ เพราะโดยธรรมชาติของมนุษย์แล้วจะไม่หลอกหลวง และเบียดเบียนซึ่งกันและกันด้วยวาจา หรือคำพูด ซึ่งแตกต่างจากสัตว์ อาทิ สุนัขที่อยู่ในบ้าน เมื่อมีสุนัขตัวอื่น หรือมนุษย์คนอื่นเดินผ่านมา มันจะส่งเสียงเห่าในทันที แต่มนุษย์เราโดยปกติไม่ได้เป็นเช่นนั้น ที่อยู่ดีๆ เราจะด่า หรือว่าใครโดยไม่มีเหตุอันสมควร (ดู https://www.sanook.com/horoscope/98197/)

จึงใคร่เชิญชวนให้ “องค์กรพลังชาวพุทธ” ได้ตระหนักในเรื่องนี้ พร้อมนำปฏิบัติหลักคำสอนทางศาสนาอย่างเคร่งครัด เพื่อเป็นเยี่ยงอย่างแก่พุทธศาสนิกชนต่อไป

ล่าสุดคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเชียงใหม่โดยประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเชียงใหม่ นายกวินธร วงศ์ลือเกียรติ ได้ทำหนังสือ ลงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2563 ถึงผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร้องเรียนพฤติการณ์ยุยงปลุกปั่นสร้างความเกลียดชังระหว่างศาสนาด้วยข้อมูลบิดเบือนอันเป็นเท็จ โดยกลุ่มอปพส. และถือว่า นับเป็นภัยความมั่นคงอันร้ายแรงที่จะสร้างความแตกแยกระหว่างผู้คนในสังคมไทย และหากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องไม่ใส่ใจหรือไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ความขัดแย้งนี้ได้ จะส่งผลบานปลายสู่ความขัดแย้งรุนแรงระหว่างศาสนาได้ในที่สุดและอาจลุกลามนำไปสู่ถึงขั้นเลวร้ายที่สุดโดยถูกองค์กรศาสนาสุดโต่งข้ามชาตินำไปเป็นเงื่อนไขในการเข้ามาแทรกแซงสร้างความรุนแรงวุ่นวายในสังคมไทยได้ต่อไป

จึงเรียนมายังหน่วยงานราชการต่างๆที่เกี่ยวข้องได้โปรดดำเนินการโดยเร่งด่วนเพื่อจัดการและยุติความเคลื่อนไหวของกลุ่มอปพส. เพื่อไม่ให้ขยายวงความขัดแย้งที่อาจนำสู่ความรุนแรงในสังคมไทยได้ต่อไป

ชาวอิดลิบภายใต้เปลวเพลิง

อัลจาซีร่าห์ระบุชาวอิดลิบจำนวน 1.7 ล้านคนหนีตายไปยังชายแดนตุรกี หลังจากรัฐบาลบัชชาร์ที่ได้รับการสนับสนุนทางอาวุธอย่างเต็มที่จากรัสเซียและกำลังพลจากอิหร่าน ได้โจมตีเมืองอิดลิบตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว โดยอ้างว่า ปราบปรามกลุ่มก่อการร้าย

ล่าสุดรัฐบาลตุรกีได้ขีดเส้นตายให้บัชชาร์ถอยกำลังออกจากพื้นที่ในข้อตกลงภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้ ซึ่งหลายฝ่ายเชื่อว่า หากไม่ได้รับการตอบสนองจากขัอตกลง อาจเกิดการเผชิญหน้าครั้งใหญ่ระหว่างตุรกีฝ่ายหนึ่งกับรัสเซียและอิหร่านอีกฝ่ายหนึ่ง

เป็นที่น่าสังเกตว่า ขาวอิดลิบเกือบ 2 ล้านต้องอพยพหนีตายไปยังชายแดนตุรกี แทนที่จะได้รับการปกป้องจากรัฐบาลของตนเอง เพราะในความเป็นจริงรัฐบาลบัชชาร์อยู่ภายใต้การบริหารโดยรัฐบาลมอสโกและเตหะรานอย่างเบ็ดเสร็จแล้ว

อ่านเพิ่มเติม https://www.aljazeera.net/news/politics/2020/2/17/%D8%AA%D8%B7%D9%88%D8%B1%D8%A7%D8%AA-%D8%B3%D9%88%D8%B1%D9%8A%D8%A7-%D8%BA%D8%A7%D8%B1%D8%A7%D8%AA-%D8%AD%D9%84%D8%A8-%D9%85%D8%B9%D8%A7%D8%B1%D9%83-%D8%A5%D8%AF%D9%84%D8%A8-%D9%85%D8%A8%D8%A7%D8%AD%D8%AB%D8%A7%D8%AA-%D8%B1%D9%88%D8%B3%D9%8A%D8%A7-%D8%AA%D8%B1%D9%83%D9%8A%D8%A7

พวกเขาต้องการซีเรียเป็นแบบไหนกัน

อ่านความคิดเติร์ก ต่อจุดยืนตุรกีในอิดลิบ จากบทความร้อนๆ ของอิบรอฮีม กราฆูล บรรณาธิการ yenisafak นสพ.ตุรกี สายนิยมรัฐบาล (ตอนที่ 1)

ด้วยเหตุนี้กระมัง ที่โลกทั้งผองกำลังโดดเดี่ยวตุรกีและชี้หน้าตุรกีว่าเป็นประเทศก่อการร้าย


ความสัมพันธ์ระหว่างตุรกีและรัสเซียได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ในอิดลิบ
ผู้มีอำนาจในอเมริกา อังกฤษและอิสราเอล ได้รีบเร่งการเคลื่อนไหวทันที และไปถึงจุดที่เกือบจะทำให้พวกเขาพูดว่า “มาๆ เรามายิงเครื่องบินรัสเซียลำใหม่และเข้าสู่การทำสงครามต่อต้านรัสเซียเลย”

อย่าลืมว่า อเมริกาและอิสราเอลเคยมีการปฏิบัติเช่นนี้ ผ่านองค์กรก่อการร้ายกูเลน ก่อนการก่อกบฏเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม

พวกเขาต้องการให้ตุรกี-รัสเซีย เข้าสู่สงครามที่ใกล้เข้ามา ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป้าหมายไม่ใช่ซีเรีย แต่เพื่อจุดชนวนสงครามระหว่างตุรกีและรัสเซีย และเมื่อสงครามครั้งนี้ระเบิดขึ้น ตะวันตกจะเริ่มต้นจู่โจมตุรกีเพื่อจัดตั้งรัฐสำหรับองค์กรก่อการร้ายกูเลน

• อเมริกาและอังกฤษสนับสนุนฝ่ายไหน ?

ในทุกวันนี้ อเมริกาและสหราชอาณาจักรยังไม่ยอมแพ้ที่จะให้การสนับสนุนกลุ่มดังกล่าวในลักษณะเดียวกับในอดีต ผ่านแถลงการณ์ต่อเนื่องเพื่อจุดชนวนวิกฤติระหว่างตุรกีและรัสเซีย แผนการที่วางอยู่บนโต๊ะมีการแทนที่องค์กรก่อการร้ายกูเลนด้วยตัวเลือกอื่น ๆ โดยเฉพาะตัวเลือกที่มีลักษณะอนุรักษ์นิยม

เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่จะวิเคราะห์ทุกอย่างตามขนาด ผลกระทบและฐานะที่แท้จริง เพราะตุรกีเคยเสียหายสำหรับการยอมจำนนต่อบางฝ่ายที่มีวาระซ่อนเร้น บางคนจุดชนวนสงครามในซีเรียและโยนมันลงในความรับผิดชอบของตุรกี และผู้ที่ปลุกระดมความคิดเห็นของสาธารณะชนเกี่ยวกับสงครามในเวลานั้น กลับซุกหัวในความเงียบหลังจากที่ตุรกีอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก

• สำหรับสถานการณ์ตอนนี้เป็นดังนี้

ปัญหาของอิดลิบเป็นปัญหาของผู้ลี้ภัยชาวอาหรับสุหนี่หลายล้านคน ที่ได้รับการทอดทิ้งจากระบอบการปกครองของซีเรีย “เขตลดระดับความรุนแรง” เกิดขึ้นจากการบรรลุข้อตกลงระหว่างตุรกีและรัสเซีย จากนั้นอิหร่านและระบอบการปกครองของดามัสกัสก็ได้ให้สัตยาบัน ซึ่งการกำหนดเขตลดระดับความรุนแรงเป็นวิธีในการปกป้องพลเรือนนับล้าน

• ทำไมรัสเซียและอิหร่านไม่ออกมาพูดแม้แต่คำเดียวเพื่อต่อต้านสิ่งที่อเมริกาและ PKK กำลังทำ ?

ทำไมอิหร่านถึงเงียบเฉยต่อการกระทำของอิสราเอล?

ดูเหมือนว่ารัสเซียและอิหร่านเชื่อว่าความแข็งแกร่งของระบอบการปกครองดามัสกัสเพิ่มมากขึ้น พวกเขาจึงเรียกร้องให้ตุรกีถอนตัวจากภูมิภาคดังกล่าว โดยการเรียกร้องสู่ “ความเป็นหนึ่งเดียวของซีเรีย” แต่ในขณะที่พวกเขาทำเช่นนั้น พวกเขาไม่พูดอะไรเลยเพื่อต่อต้านสิ่งที่อเมริกาและ PKK กำลังทำอยู่ ทั้งๆที่พวกเขาสามารถควบคุมดินแดนได้ถึงหนึ่งในสามของพื้นที่ซีเรียทั้งหมด

ทั้งรัสเซียและอิหร่านหรือแม้แต่ระบอบการปกครองของซีเรีย ไม่มีการต่อต้านการยึดครองของอเมริกาและกลุ่ม PKK และพวกเขาไม่เคยพูด – โดยเฉพาะอิหร่าน- เกี่ยวกับการโจมตีของอิสราเอลต่อดามัสกัส

• พวกเขาต้องการซีเรียแบบไหน รัฐสำหรับชนกลุ่มน้อยทางนิกาย? สถานะของชาวอาหรับสุหนี่หลายล้านอยู่ที่ไหน ?

พวกเขากำลังพูดถึงซีเรียหนึ่งเดียวอะไร ? ซีเรียแบบไหน ? พวกเขากำลังพูดถึงชนกลุ่มน้อยในนิกายที่ระบอบการปกครองของดามัสกัสสนับสนุน? ชะตากรรมของผู้พลัดถิ่นและผู้ลี้ภัยหลายล้านคนในอิดลิบ และผู้ลี้ภัยอื่น ๆ อีกหลายล้านคนในตุรกีเป็นอย่างไร ?

ซีเรียสำหรับคนเหล่านี้อยู่ที่ไหน ระบอบการปกครองของดามัสกัสเป็นรัฐบาลชนกลุ่มน้อยซึ่งไม่ได้รับการยอมรับจากประชากรส่วนใหญ่ ซีเรียหนึ่งเดียวแบบไหนที่รัสเซียและอิหร่านต้องการ

อ่านตอนที่ 2 คลิ๊ก > https://www.theustaz.com/?p=2949

ถอดความโดย Ghazali Benmad

อ่านบทความต้นฉบับ https://m.yenisafak.com/ar/columns/ibrahimkaragul/2042780

ตุรกี-รัสเซีย ใกล้ถึงจุดแตกหัก

อัลจาซีร่าวิเคราะห์ ตุรกี-รัสเซีย ใกล้ถึงจุดแตกหัก

รัฐบาลอะซัดและรัสเซีย ยังคงเดินหน้าถล่มเมืองอิดลิบ หวังขยี้ที่มั่นสุดท้ายของฝ่ายต่อต้าน ในขณะที่ตุรกีกร้าว อิดลิบเป็นเขตหวงห้ามตามข้อตกลงโซกี และแอสตานา เพราะพัวพันความมั่นคงภายในของตุรกี พร้อมส่งทหารเข้าเสริมกำลังตลอดเวลา

ในขณะที่รัสเซียอ้างว่าไม่ได้โจมตีฝ่ายต่อต้านแต่โจมตีกลุ่มก่อการร้าย

การถล่มของอะซัดและรัสเซียในครั้งนี้ ทำให้ชาวซีเรียนับล้านต้องอพยพมุ่งหน้าไปยังตุรกี

ต่อมาวานนี้ 16/2/2563 ประธานาธิบดีรัสเซียและตุรกีได้ต่อสายเจรจากัน แต่ไร้ผล หลังจากนั้น ประธานาธิบดีตุรกีออกมาแถลงยืนยัน ระบอบอะซัดต้องออกไปจากเขตลดความรุนแรงในอิดลิบ ตามข้อตกลงเดิมภายในสิ้นเดือนกุมภาพันธ์นี้ หาไม่แล้วตุรกีจะบังคับให้ออกไปเอง

ในขณะที่รัฐมนตรีต่างประเทศของรัสเซียยังคงยืนกราน ต้องใช้การทูตมาเจรจาหาแนวทางแก้ปัญหาอิดลิบ

ด้วยจุดยืนที่ขัดแย้งกันอย่างสุดขั้วและยังหาทางออกไม่ได้ นับเป็นความขัดแย้งครั้งรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤติซีเรีย และมีแนวโน้มการปะทะกันโดยตรงครั้งแรกระหว่างตุรกีกับรัสเซีย ( อัลจาซีร่า )

โดย Ghazali Benmad

เว็บไซต์ต้านข่าวลือภาคภาษาอาหรับ

เว็บไซต์ fatabyyano.net ก่อตั้งเมื่อปี 2014 มีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบข่าวปลอมหรือข่าวลือที่เผยแพร่ในโชเชียลภาคภาษาอาหรับ พร้อมนำเสนอข่าวคราวที่ถูกต้องและมีแหล่งข้อมูลที่เป็นที่น่าเชื่อถือ

เว็บไซต์ดังกล่าวได้ระบุว่า ตั้งแต่ไวรัสโควิด-19 (ไวรัสโคโรน่า) แพร่ระบาดในประเทศจีน มีข่าวเท็จมากมายที่ถูกนำเผยแพร่ในโลกโชเชียลภาคภาษาอาหรับที่ถูกเชื่อมโยงกับไวรัสร้ายนี้ ส่วนหนึ่งได้แก่

⁃ รัฐบาลจีนสั่งฆ่าผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เพื่อป้องกันการแพร่ขยายเนื่องจากรัฐบาลไม่สามารถรักษาได้

⁃ ชาวจีนจำนวน 20 ล้านคนรับอิสลาม หลังพบว่าชุมชนมุสลิมในประเทศจีนไม่มีการติดเชื้อไวรัสร้ายดังกล่าว

⁃ รัฐบาลจีนอนุญาตให้มีการอาซาน และละหมาดในมัสยิดทั่วประเทศ เพื่อให้มุสลิมขอพรระงับการเผยแพร่ของไวรัสร้ายนี้

⁃ ประธานาธิบดีจีนได้ตะเวนเยี่ยมมัสยิดต่างๆทั่วประเทศจีน เพื่อรณรงค์ให้ชาวมุสลิมขอพรต่อพระเจ้า

⁃ รัฐบาลจีนสั่งฆ่าสุกรและนกจำนวนมาก เพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

ข่าวในลักษณะนี้ถูกนำเสนอโดยมีภาพและคลิปวิดีโอประกอบ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ แต่ในความเป็นจริง ข่าวดังกล่าวล้วนเป็นข่าวปลอมที่ไม่มีแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือมาสนับสนุนเลย

จึงขอความร่วมมือจากมุสลิมทุกคน ได้ระมัดระวังในการเสพข้อมูลต่างๆ และควรมีการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลข่าวสารตามคำสอนของหลักการอิสลามที่ได้กำชับมิให้มุสลิมตกเป็นเหยื่อของข่าวปลอม เพราะจะนำไปสู่การเป็นบุคคลที่เป็นจอมโกหกโดยไม่รู้ตัว

ทีมข่าวต่างประเทศ

Fake news ลวงให้เชื่อ หลอกให้แชร์

Fake news คืออะไร

คือ ข่าวปลอม ข่าวเท็จ ข่าวโกหก ข่าวลวง หรือข่าวที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง

ทำไมเราต้องรู้เท่าทันข่าวประเภทนี้
การแนะนำสิ่งปลอมว่าปลอม เป็นสิ่งที่ควรทำ แม้กระทั่งในดุอา นบียังสอนว่า

اللهم أرنا الحق حقا وارزقنا اتباعه وأرنا الباطل باطلا وارزقنا اجتنابه

“โอ้ อัลลอฮ ได้โปรดให้ฉันเห็นความจริงคือความจริง และโปรดให้ฉันได้ปฏิบัติตามความจริง โอ้อัลลอฮ์ ได้โปรดฉันเห็นความเท็จเป็นความเท็จ และให้ฉันได้ห่างไกลจากมัน”

การที่เรารู้ว่าจริงคือจริง และปลอมคือปลอม ถือเป็นความรู้ที่มีประโยชน์ แม้กระทั่งในชีวิตประจำวัน

ในทุกวันนี้ สังคมเราโดนหลอกเพราะรู้ของจริงเป็นปลอม และรู้ของปลอมว่าจริงนี่แหละครับ

สิ่งปลอมจึงมีทั่วทุกวงการ

บ้านเราจึงมีหะดีษปลอม ธุรกิจปลอม ข่าวปลอม เผยแพร่มากมาย

ต่อไปนี้เราควรรู้ศัพท์ใหม่สำหรับคนบางคนว่า fake news คืออะไรนะครับ

อ่านเพิ่มเติมได้ที่
https://www.etda.or.th/content/living-in-the-fake-news-era.html

Fake news | ชาวจีน 20 ล้านคนรับอิสลามหลังพบว่าชุมชนมุสลิมไม่มีใครติดไวรัสโควิด-19 (โคโรน่า)

สื่ออาหรับเผยแพร่ข่าวชาวจีนจำนวน 20 ล้านคน รับอิสลามหลังพบว่าชุมชนมุสลิมไม่มีใครติดเชื้อไวรัสซึ่งถือเป็นข่าวปลอมที่ไม่มีแหล่งข่าวทางการใดๆนำเสนอ

ในความเป็นจริงเชื้อไวรัสดังกล่าวสามารถติดเชื้อไปยังทุกคนโดยไม่เกี่ยวกับภาษา ศาสนาและชาติพันธ์ุแต่อย่างใด

ก่อนหน้านี้ สื่ออินโดนีเซียเผยแพร่ข่าวระบุว่าชาวอังกฤษจำนวน 3 ล้านคนรับอิสลามคราวเดียวกัน ซึ่งถือเป็นข่าวลวงเช่นเดียวกัน

มุสลิมทุกคนดีใจเมื่อทราบข่าวการรับอิสลามของพี่น้องทั่วโลก แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าเราจำเป็นต้องรับฟังข่าวปลอมหรือ เป็นผู้เผยแพร่ข่าวปลอมในเรื่องนี้

WHO ตั้งชื่อ”ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่” อย่างเป็นทางการ

WHO ตั้งชื่อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่อย่างเป็นทางการ เพื่อหลีกเลี่ยงการเรียกชื่อที่ตั้งทางภูมิศาสตร์แบบเฉพาะเจาะจง

องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศอย่างเป็นทางการสำหรับเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยใช้ชื่อว่า “โควิด-19” (Covid-19) ย่อมาจาก “coronavirus disease starting in 2019” หรือโรคที่เกิดจากไวรัสโคโรนาที่มีการเริ่มต้นในปี 2019

อ้างอิง : https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/865929?