ประธานาธิบดีเราะญับ ต็อยยิบ แอร์โดอานกล่าวสุนทรพจน์ในพิธีเปิดการประชุมสุดยอดอุละมาอฺอิสลามโลก ในหัวข้อ “A Common Strategy of Discourse and Action against Extremism Threatening the Ummah” จัดโดยสำนักกิจการศาสนา ณ สำนักงานประธานาธิบดี ประจำกรุงอิสตันบูล พระมหาราชวังโดลมาบาห์เช่ และให้เกียรติรับรองอาหารค่ำ พร้อมกล่าวต้อนรับนักวิชาการอิสลามและผู้นำทางความคิดจาก 90 ประเทศทั่วโลกจำนวน 200 คน
https://www.facebook.com/diyanetbasin/videos/1177096986793875
ประธานาธิบดีแอร์โดอานได้เน้นย้ำว่าการสังหารหมู่ที่โหดร้ายที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติได้เกิดขึ้นแล้วที่ฉนวนกาซาตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2023
ส่วนหนึ่งของเนื้อหาสุนทรพจน์ของผู้นำตุรเกียสรุปได้ดังนี้
“อิสราเอล ซึ่งได้ขยายอาณาเขตผ่านการยึดครอง การกดขี่และการสังหารหมู่อย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ก่อตั้ง จนกระทั่งวินาทีนี้ ซึ่งยังคงทำให้ผู้บริสุทธิ์ต้องหลั่งเลือด จนกระทั่งปัจจุบัน มีเด็ก 15,000 คนถูกสังหารอย่างโหดร้าย พี่น้องชาวปาเลสไตน์ถูกสังเวยชีวิต 35,000 รายส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและพลเรือน และอีก 80,000 คนได้รับบาดเจ็บ ผู้คนประมาณ 2 ล้านคนถูกบังคับให้อพยพออกจากบ้านและประเทศของตน กาซ่าซึ่งเคยเป็นเรือนจำเปิดขนาดใหญ่ ก่อนวันที่ 7 ตุลาคม ได้กลายเป็นสุสานขนาดใหญ่โตที่สุด ซึ่งเป็นตัวอย่างที่เราพบเห็นเฉพาะในเยอรมนียุคฮิตเลอร์เท่านั้น “
“ในช่วง 219 วันที่ผ่านมา เราได้เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ซึ่งไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ มีการทิ้งระเบิดถล่มโรงพยาบาล สถานที่มีเกียรติทางศาสนา โรงเรียน มหาวิทยาลัย ทำลายระบบส่ธารณูปโภคและชุมชนพลเรือน ซึ่งไม่มีใครแตะต้องได้ แม้กระทั่งเอ่ยถึงแม้เพียงประโยคเดียว”
“หลักการ กฎเกณฑ์และแนวปฏิบัติทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพ ได้ถูกเหยียบย่ำต่อหน้าต่อตาชาวโลก”
“เราสามารถมองเห็นใบหน้าที่แท้จริงของระบอบและองค์กรระหว่างประเทศที่ถูกกระชากอย่างชัดเจน ในขณะเดียวกันได้ประจักษ์ชัดว่าประเทศที่พูดถึงสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพในทุกโอกาสสนับสนุนผู้ที่สังหารชาวกาซ่าจำนวน 35,000 คนต่อหน้าสายตาชาวโลก”
“เราได้เห็นแล้วว่าองค์กรสื่อระหว่างประเทศไม่สามารถเอ่ยถึงนักข่าว 150 คนแม้เพียงประโยคเดียว ที่ถูกอิสราเอลสังหารอย่างเลือดเย็น เราได้เห็นแล้วว่าสหประชาชาติไม่สามารถปกป้องแม้แต่บุคลากรในสังกัดของตนเอง นับประสาอะไรกับชีวิตของชาวปาเลสไตน์”
“เราได้เห็นแจ้งแล้วว่าผู้ที่กล่าวเมื่อวานนี้ว่า “สิทธิในการประท้วงเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์’ แต่วันนี้พวกเขาไม่สามารถอดทนต่อการแสดงจุดยืนของกลุ่มผู้สนับสนุนปาเลสไตน์ได้”
ประธานาธิบดีแอร์โดอานกล่าวอีกว่า ดูเหมือนว่าสหภาพยุโรปยอมจำนนต่ออิสราเอลมากเกินไปที่จะเรียกร้องให้มีการหยุดยิง และกล่าวว่า “เราเห็นอธิการบดีที่ถูกไล่ออกจากงานเพียงเพราะพวกเขาวิพากษ์วิจารณ์อิสราเอล นักการเมืองก็สิ้นสภาพทั้งตำแหน่งและเกียรติภูม ศิลปินถูกคุกคาม และนักศึกษาไม่มีสิทธิพูดและเสนอความคิดเห็นใด ๆ ทั้ง ๆ ที่เราป่าวประกาศเรื่องเสรีภาพทางความคิด”
“เราได้เห็นแล้วว่าบรรดาผู้ที่โฆษณาตัวเองว่าเป็น ‘ดินแดนแห่งเสรีภาพ’ จู่ ๆ ก็หันไปพึ่งพาลัทธิฟาสซิสต์ เมื่อผลประโยชน์ของอิสราเอลตกเป็นเดิมพัน”
ประธานาธิบดีแอร์โดอานกล่าวย้ำว่า เราเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันและอยู่เคียงข้างกับชาวปาเลสไตน์ตั้งแต่วันแรก และจุดยืนนี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลง”
“เราเคยเห็นคนที่บิดเบือนความจริง นิ่งเงียบ โกหกและสร้างข้อมูลเท็จเพื่อสนับสนุนมาตรการโฆษณาชวนเชื่อของอิสราเอล เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตราหน้าว่าฆาตกรสงคราม ในฐานะชาวตุรกี เราได้แสดงน้ำใจเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันอย่างเต็มที่กับชาวปาเลสไตน์ตั้งแต่วันแรก เรากำลังใช้ความพยายามอย่างเข้มข้นเพื่อหยุดยั้งการนองเลือดในฉนวนกาซ่าและป้องกันการโจมตีของอิสราเอล เราเป็นประเทศที่ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ฉนวนกาซ่ามากที่สุด โดยมีจำนวนความช่วยเหลือประมาณ 54,000 ตัน เราส่งน้ำดื่มสะอาด 127 ตันทุกสัปดาห์ไปยังฉนวนกาซา ซึ่งอิสราเอลได้ทำลายทรัพยากรน้ำของตน ผู้ป่วยและผู้ได้รับบาดเจ็บจากฉนวนกาซามากกว่า 400 ราย รวมถึงผู้ป่วยโรคมะเร็ง ได้รับการรักษาในโรงพยาบาลในประเทศของเรา”
ประธานฝ่ายกิจการศาสนา ศ. ดร. อาลี อัรบาช ชี้ให้เห็นในสุนทรพจน์ของท่านว่าทุกวันนี้ โลกกำลังผันผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดช่วงหนึ่งในประวัติศาสตร์ ภายใต้ปัญหาอันสลับซับซ้อน เช่น สงคราม ความยากจน การก่อการร้าย และความสิ้นหวัง ท่านกล่าวว่า “โลกต้องการค่านิยมสากลของศาสนาอิสลาม ศีลธรรมอันดีงามและหลักการที่ยึดถือความจริงมากขึ้นกว่าเดิม ในทางกลับกัน เราสังเกตด้วยความเสียใจว่าชาวมุสลิมผู้ซึ่งควรนำความหวังมาสู่โลกด้วยข้อความแห่งความเมตตาของศาสนาอิสลาม ต้องเผชิญกับปัญหาร้ายแรงในโลกนี้”
ท่านระบุว่า ระยะห่างระหว่างความจริงของอิสลามกับชีวิตและความสับสนยุ่งเหยิงของชาวมุสลิมยังเบียดบังความหมายของศาสนาอิสลามสำหรับมนุษยชาติด้วย
“น่าเสียดายที่ชาวมุสลิมอ่อนแอเกินไปและไม่มีศักยภาพพอที่จะนำเสนอหลักการสากลของศาสนาอิสลามแก่มนุษยชาติ เรารู้ว่าอิสลามมีวิสัยทัศน์ของมนุษย์ที่เน้นไปที่สิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐาน พระองค์ทรงมีหลักความจำเป็นพื้นฐานคือ รักษาศาสนา ชีวิต สติปัญญา ทรัพย์สิน ศักดิ์ศรีและวงศ์ตระกูล มีวิสัยทัศน์ด้านสิ่งแวดล้อมที่เน้นการตระหนักถึงความรับผิดชอบและศีลธรรมอันดี มีแนวคิดเรื่องกฎหมายที่รับรองชีวิตที่มีเกียรติและปลอดภัย “มีวิสัยทัศน์ของศิลปะที่เป็นสัญลักษณ์ของความสง่างามและสุนทรียศาสตร์”
“เราได้ให้ความสำคัญกับวิกฤตมนุษยชาติที่เกิดขึ้นที่กาซ่า โดยเชิญนักวิชาการประมาณ 200 คนจาก 90 ประเทศเข้าร่วม เพื่อดึงดูดความสนใจของโลกไปที่เหตุการณ์สังหารหมู่ในปาเลสไตน์และฉนวนกาซาหลังวันที่ 7 ตุลาคม 2023 “ ประธานสำนักกิจการศาสนากล่าวทิ้งท้าย
https://www.facebook.com/diyanetbasin/videos/467237259197378
เอื้อเฟื้อรูปและข่าว : Diyanet İşleri Başkanlığı
โดยทีมข่าวต่างประเทศ